ผู้ประกอบการ ธุรกิจโรงแรม ต่างปรับปรุงระบบและเทคโนโลยี รองรับความคาดหวังที่สูงขึ้นด้านความปลอดภัยการใช้บริการ
แม้อัตราการเข้าใช้บริการจะอยู่ในระดับต่ำเป็นประวัติการณ์ ภาคธุรกิจโรงแรมในเอเชียแปซิฟิกยังคงคาดหวังว่า ตลาดลูกค้าภายในประเทศจะสามารถฟื้นตัวได้เร็วหลังวิกฤติการณ์โควิด-19 คลี่คลาย และคาดด้วยว่าลูกค้าต่างชาติจะค่อยๆ ทยอยกลับเข้ามาในระยะต่อไป โดยในระหว่างนี้พบว่า เจ้าของและผู้ประกอบการโรงแรมหลายรายพยายามสร้างเสริมระบบด้านสุขอนามัยและความสะอาดภายในโรงแรมเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าที่ยังคงเข้าใช้บริการในช่วงนี้และที่จะกลับเข้ามาใช้บริการมากขึ้นหลังสถานการณ์โรคระบาดสิ้นสุดลง ตามการรายงานจากบริษัทที่ปรึกษาและบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ เจแอลแอล เมื่อเร็วๆ นี้ เครือบริหารโรงแรมระดับโลกหลายราย เช่น Hyatt, Marriott, Four Seasons และ Hiltons ได้ประกาศมาตรการด้านความปลอดภัย อาทิ การใช้เทคโนโลยีสเปรย์ระบบไฟฟ้าสถิตพ่นน้ำยาค่าเชื้อบนพื้นผิวห้องและวัตถุต่างๆ การร่วมกับบริษัทบริการทำความสะอาดฆ่าเชื้อ และการใช้ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพให้เข้ามาเป็นผู้ร่วมกำหนดแนวทางและต้นแบบใหม่ สำหรับแผนงานด้านสุขอนามัยของโรงแรม เช่นเดียวกับเครือบริหารโรงแรมของไทย เช่น กลุ่มโอนิกซ์ และกลุ่มอนันตรารีสอร์ท รวมจนถึงกลุ่มโอโวโลจากฮ่องกง ที่มีการยกเครื่องมาตรการความปลอดภัยด้านสุขภาพของโรงแรมในเครือด้วยเช่นกัน Alex Sigeda รองประธานฝ่ายบริหารสินทรัพย์ หน่วยธุรกิจบริการที่ปรึกษาด้านโรงแรมของเจแอลแอล กล่าวว่า “ในขณะที่ภาคธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ทกำลังอยู่ในช่วงของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ความพยายามต่างๆ ในการรับมือกับผลกระทบจากโควิด-19 ได้เร่งกระบวนการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวให้เกิดเร็วยิ่งขึ้น โดยมาตรการต่างๆ ที่เจ้าของและผู้ประกอบการโรงแรมดำเนินอยู่ในขณะนี้ เน้นที่การสร้างความมั่นใจในด้านความปลอดภัยของผู้เข้าใช้บริการและการได้รับการรับรองมาตรฐานที่เข้มงวดด้านสุขอนามัย”ปรับรับ New Normal
เอเชียแปซิฟิกเป็นภูมิภาคแรกที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และเป็นภูมิภาคแรกที่มีสัญญาณของสถานการณ์ที่ดีขึ้นด้วยเช่นกัน ตัวอย่างเช่น ปริมาณการเดินทางในจีนเริ่มปรับเพิ่มสูงขึ้น โดยในเทศกาลวันแรงงานที่มีวันหยุดติดต่อกันห้าวันเมื่อช่วงต้นเดือนพฤษภาคมนี้ มีรายงานปริมาณการเดินทางภายในจีนรวมมากถึง 115 ล้านเที่ยว ส่วนที่เกาหลีใต้ สายการบิน Asiana Airlines และ Korean Airs ได้กลับมาให้บริการเที่ยวบินภายในประเทศในความถี่เท่าเดิม ทางด้านเวียดนาม รัฐบาลได้ประกาศผ่อนปรนมาตรการรักษาระยะห่างทางสังคมและกลับมาเปิดการท่องเที่ยวภายในประเทศ เช่นเดียวกับไทยที่เริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์ลง สัญญาณบวกที่กำลังเกิดขึ้นดังกล่าว เร่งให้โรงแรมต้องคิดใหม่เกี่ยวกับรูปแบบการให้บริการต่างๆ ที่ดำเนินอยู่ เพื่อเตรียมรองรับการกลับมาของลูกค้า อาทิ การจัดไลน์อาหารบุฟเฟต์ ขั้นตอนการเช็คอินและเช็คเอาท์ รวมจนถึงการจัดสรรการใช้พื้นที่ในบริเวณล็อบบี้ ห้องจัดเลี้ยง-จัดประชุม และห้องพัก อีกทั้งยังมีการทบทวนการออกแบบเมนูต่างๆ การจัดที่นั่ง และระบบจัดการการจองคิว โดยเน้นความสำคัญมากขึ้นด้านสุขอนามัยและการป้องกันการปนเปื้อน นอกจากนี้ ยังมีการปรับเปลี่ยนโปรแกรมบริการสถานที่จัดเลี้ยงและการประชุมเพื่อให้สอดรับกับข้อกำหนดด้านความปลอดภัยในส่วนที่เกี่ยวกับบริการอาหารและการรักษาระยะห่างทางสังคม รวมไปจนถึงการพิจารณาปรับปรุงระบบไอทีเพื่อให้สามารถรองรับการประชุมทางไกลที่เพิ่มมากขึ้น เอเชียเป็นภูมิภาคแรกที่กลุ่มโรงแรมกำลังอยู่ในระหว่างประเมินวิธีที่จะให้บริการกับนักท่องเที่ยวที่เริ่มฟื้นตัวหลังจากเริ่มมีการผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์ภายใต้เงื่อนไขใหม่ทั้งในเรื่องของเกณฑ์การปฏิบัติและความคาดหวังต่างๆ ตัวอย่างเช่น โรงแรม Marco Polo Prince Hotel ซึ่งอยู่ระหว่างปรับปรุงในขณะนี้ กำลังขยายคลับเลาจ์ให้มีพื้นที่เพิ่มขึ้น 30% เพื่อให้ผู้เข้าใช้บริการมีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันได้ปรับลดพื้นที่สถานที่จัดประชุม-จัดเลี้ยงเพื่อรองรับการจัดงานที่เล็กลง “นอกเหนือจากการเพิ่มพื้นที่ในชั้นและการออกแบบที่ช่วยลดความแออัดและสอดรับมาตรการรักษาระยะห่างทางสังคมแล้ว อาจมีการเพิ่มจำนวนลิฟต์เพื่อลดความหนาแน่นของผู้ใช้ หรือแม้แต่ปรับลิฟต์ขนของให้เป็นลิฟต์โดยสารในช่วงเวลาที่มีแขกจำนวนมากใช้บริการพร้อมกัน” Sigeda กล่าว “รายละเอียดปลีกย่อยเล็กๆ น้อยๆ ได้รับความสำคัญด้วยเช่นกัน อาทิ ในส่วนของโรงแรมและห้องอาหาร มีการเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์และวัสดุพื้นผิวที่สามารถป้องกันเชื้อจุลินทรีย์ และง่ายต่อการทำความสะอาด”ทุ่มงบเทคโนโลยี
ธุรกิจโรงแรม หลายแห่งกำลังลงทุนด้านเทคโนโลยีเพิ่มมากขึ้นเพื่อให้ผู้เข้าพักได้รับความสะดวกสบายและปราศจากการแตะสัมผัส ในขณะที่เทคโนโลยีเช็คอินผ่านมือถือและบัตรผ่านเข้าออกแบบดิจิทัลที่มีการใช้อย่างแพร่หลายอยู่แล้ว แต่เมื่อมีโรคระบาดขึ้นทำให้เทคโนโลยีเหล่านี้ มีความสำคัญยิ่งขึ้นไปอีก Yanolja สตาร์ทอัพมูลค่ากว่าหมื่นล้านเหรียญสหรัฐในธุรกิจออนไลน์ด้านการเดินทาง เปิดเผยว่า สถานีบริการตนเองที่บริษัทประกาศเปิดตัวเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมามีความต้องการเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวนับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 Kim Jong-yoon ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Yanolja ได้เปิดเผยต่อสื่อมวลชนว่า บริษัทกำลังพัฒนาเทคโนโลยีที่จะช่วยให้ผู้ให้บริการที่พักสามารถรับเช็คอินได้ง่ายๆ โดยใช้เพียง QR code อีกหนึ่งตัวอย่างคือ การใช้หุ่นยนต์ที่พัฒนาโดยบริษัท SoftBank โรโบติกส์กับโรงแรมในโตเกียวที่ใช้เป็นโรงพยาบาลสนามรองรับผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีอาการไม่รุนแรง โดยนอกจากจะให้บริการต่างๆ ที่จำเป็น รวมถึงการส่งอาหารให้กับผู้ป่วยในห้องแล้ว หุ่นยนต์เหล่านี้ยังถูกตั้งโปรแกรมให้สามารถมีปฏิสัมพันธ์และให้กำลังใจผู้ป่วยได้ด้วย Sigeda กล่าวว่า “มีความเป็นไปได้ที่โรงแรมจะพิจารณาเทคโนโลยีอื่นๆ อีก อาทิ ตู้ฆ่าเชื้ออัจฉริยะ หรือเทคโนโลยีสแกนตรวจจับเชื้อโรคด้วยรังสีอัลตราไวโอเล็ตสำหรับในการทำความสะอาดห้องพัก และระบบเช็คอินที่สามารถติดตามเพื่อติดต่อผู้เข้าพักได้ นอกจากนี้ เทคโนโลยีจดจำใบหน้าและเอไอ คาดว่าจะเข้ามามีบทบาทในธุรกิจโรงแรมมากขึ้น” “เรายังคาดด้วยว่า ข้อมูลจะมีความสำคัญมากขึ้นในการดำเนินการโดยทั่วไปของโรงแรม โดยเฉพาะในส่วนที่เป็นห้องอาหารและสถานที่ที่นิยมใช้สำหรับเป็นที่จัดเลี้ยง-จัดประชุม โรงแรมอาจมีการใช้เทคโนโลยีที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการอาคารและพื้นที่ อาทิ เทคโนโลยีควบคุมการหมุนเวียนของอากาศ การดูแลคุณภาพของอากาศและน้ำ การตรวจวัดระดับความชื้นในอาคาร และการบริหารจัดการจำนวนคนในพื้นที่ส่วนกลางเพื่อป้องกันความแออัด” แม้ภาคธุรกิจโรงแรมจะอยู่ในภาวะชะงักงันขณะนี้ แต่แน่นอนว่าในท้ายที่สุด นักท่องเที่ยวจะกลับมา “เมื่อถึงวันนั้น ประสบการณ์ที่โรงแรมจะมอบให้กับผู้ใช้บริการจะต้องสอดรับกับ new normal หรือ ชีวิตวิถีใหม่ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ ความคาดหวังที่เพิ่มสูงขึ้นของนักท่องเที่ยวในด้านความเป็นส่วนตัว ความมั่นคงและความปลอดภัย” Sigeda กล่าว อ่านเพิ่มเติม: Bluebik แนะองค์กรเห็นความสำคัญ “เทคโนโลยี Cloud” พระเอกตัวจริงประหยัดค่าใช้จ่ายด้านไอทีไม่พลาดบทความด้านธุรกิจ ติดตามได้ที่ Facebook: Forbes Thailand Magazine