Adar Poonawalla เดิมพันครั้งใหญ่ว่า Serum Institute of India ของตระกูลเขาจะเป็นหนึ่งในบริษัทแรกๆ ที่ผลิตวัคซีนโควิด-19 ได้
เมื่อโคโรนาไวรัสระบาดหนักทั่วโลกในช่วงต้นปี 2020 Adar Poonawalla ซีอีโอของ Serum Institute of India ซึ่งเป็นผู้ผลิตวัคซีนรายใหญ่ที่สุดในโลก (เมื่อวัดจากจำนวนโดสที่ผลิตและขาย) ต้องชั่งใจระหว่างตัวเลือกคือ “ไม่ทำอะไรเลยแล้วรอดูว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร หรือจะยอมเสี่ยงแล้วขึ้นไปวิ่งนำหน้า” ซีอีโอวัย 39 ปีเลือกแบบหลัง และเร่งกระหน่ำทำข้อตกลงจนบริษัทเอกชนแห่งนี้ขึ้นมาอยู่แถวหน้าในการแข่งขันพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ทั่วโลก เขาเล่าเรื่องนี้ผ่านการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์เมื่อปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมาจากสำนักงานใหญ่ของบริษัทในเมือง Pune ซึ่งเป็นการสัมภาษณ์ครั้งที่ 2 สำหรับบทความนี้ โดย Cyrus Poonawalla พ่อของเขาซึ่งมีทรัพย์สิน 1.15 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็นผู้ก่อตั้ง Serum Institute เมื่อปี 1966 และปัจจุบันยังเป็นประธานกรรมการ Serum Institute จับมือกับพันธมิตร 5 รายในช่วงราวครึ่งปีแรกของปี 2020 เพื่อจะเอาชนะไวรัสให้ได้ บริษัททำข้อตกลงครั้งใหญ่ที่สุดกับ AstraZeneca เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยยักษ์ใหญ่แห่งวงการเภสัชกรรมจากสหราชอาณาจักรให้สิทธิ์ Serum Institute เป็นผู้ผลิตวัคซีนชื่อ AZD1222 ซึ่งน่าจะใช้ได้กับโควิด-19 จำนวน 1 พันล้านโดส และจะส่งมอบได้ 400 ล้านโดสในปี 2020 ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับวัคซีนอื่น ปัจจุบัน Serum Institute ผลิตวัคซีนได้กว่า 1.5 พันล้านโดสต่อปี วัคซีนโควิดตัวนี้สร้างขึ้นจากการนำไวรัสหวัดในลิงชิมแปนซีมาดัดแปลงพันธุกรรม โดยนักวิจัยของ University of Oxford เป็นผู้เริ่มต้นพัฒนา และ AstraZeneca ได้สิทธิ์เป็นตัวแทนจำหน่าย “เราเป็นรายเดียว [ในอินเดีย] ที่มีกำลัง [การผลิต] มากพอ” Poonawalla กล่าว บริษัทจะขายวัคซีนครึ่งหนึ่งในอินเดียโดยใช้ชื่อแบรนด์ Covishield ส่วนอีกครึ่งหนึ่งบริษัทตัดสินใจว่าจะขายให้ประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนา AstraZeneca เริ่มการทดสอบทางคลินิกขั้นสูงกับอาสาสมัครหลายหมื่นคนในบราซิล แอฟริกาใต้ สหราชอาณาจักร และสหรัฐฯ ส่วน Serum Institute เริ่มต้นการทดสอบของบริษัทเองกับอาสาสมัคร 1,600 คนทั่วอินเดีย และสละโรงงานผลิต 3 โรงที่มีเพื่อเริ่มผลิตวัคซีนกว่า 60 ล้านโดสต่อเดือน และมีแผนจะเร่งผลิตให้ได้ถึง 100 ล้านโดสต่อเดือนภายในเดือนธันวาคม ปี 2020 แม้การทดสอบในหลายประเทศรวมถึงอินเดียจะต้องชะงักไปชั่วคราวหลังจากอาสาสมัครรายหนึ่งป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุในการทดสอบที่สหราชอาณาจักรเมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา แต่หลังจากนั้นก็เริ่มทดสอบต่อได้ “ถ้าการทดสอบไม่ถูกสั่งหยุด เราคงเริ่มปล่อยวัคซีนได้ในช่วงต้นปี 2021 เรื่องนี้ทำให้งานเราสะดุดมาก” Poonawalla กล่าว เขาประเมินว่าการทดสอบอาจยืดไปจนถึงเดือนมกราคม ปี 2021 “เรากำลังพยายามทุกวิถีทางเพื่อชดเชยเวลาที่เสียไป” Poonawalla ป้องกันความเสี่ยงให้การวางเดิมพันของเขาโดยการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ตัวอื่นๆ ร่วมด้วย “เราร่วมงานกับพันธมิตรอีกหลายรายทั้งในสหรัฐฯ สหราชอาณาจักร และยุโรป เพื่อหาวัคซีนที่น่าจะได้ผลอีก 4 ตัว” เขากล่าว “เราไม่เหมาเอาเองว่าวัคซีนแค่ตัวเดียวจะได้ผล การผลิตวัคซีนก็เหมือนนั่งรถไฟเหาะ ผลลัพธ์มันเหวี่ยงไปมาได้ทุกทาง เราต้องอดทนรอจนกว่าผลลัพธ์สุดท้ายจะออกมา” เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปีที่ผ่านมา Serum Institute จับมือกับ Codagenix บริษัทเทคโนโลยีชีวภาพสำหรับการทดสอบทางคลินกิ จากรัฐ New York เพื่อร่วมกันพัฒนาวัคซีนโควิด-19 แบบพ่นจมูก ในขณะเดียวกันบริษัทก็กำลังร่วมงานกับบริษัทยายักษ์ใหญ่ระดับโลกอย่าง Merck เพื่อพัฒนาวัคซีนอีก 1 ตัวด้วยการดัดแปลงไวรัสโรคหัดให้เป็นพาหะ นำแอนติเจนของโคโรนาไวรัสเข้าสู่ร่างกาย ตลาดอินเดียซึ่งเป็นบ้านของ Serum Institute กำลังต้องการวัคซีนด้วยความเจ็บปวด เพราะอินเดียมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 กว่า 6 ล้านราย (สถิติผู้ติดเชื้อในเดือนตุลาคมปี 2020) มากเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากสหรัฐฯ และมีผู้เสียชีวิตเนื่องจากการติดเชื้อกว่า 100,000 ราย โรคระบาดครั้งนี้ไม่ใช่แค่วิกฤตการณ์ด้านสาธารณสุข แต่ยังทำให้เศรษฐกิจอินเดียหดตัว 24% เมื่อเทียบกับปี 2019 ในไตรมาสที่สิ้นสุดเดือนมิถุนายน ปี 2020 ซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการล็อกดาวน์ทั่วประเทศเมื่อเดือนเมษายนและพฤษภาคม Serum Institute มองไปไกลกว่าการผลิตวัคซีน เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา บริษัทแห่งนี้ได้จับมือกับ Mylab Discovery Solutions บริษัทด้านการวินิจฉัยระดับโมเลกุล ในเมือง Pune เพื่อจะขยายไปผลิตชุดตรวจโควิด-19 ด้วย “เราคิดกันตลอดเวลาว่าจะช่วยปลดล็อกเศรษฐกิจได้อย่างไร เพราะถึงรอไปอีกปี วัคซีนก็อาจจะมาหรือไม่มาก็ได้” Poonawalla กล่าว Serum Institute วางแผนจะกดต้นทุนวัคซีนโควิด-19 ในอินเดียไม่ให้เกิน 3 เหรียญต่อโดส แต่ Poonawalla ก็ยอมรับว่าต้นทุนอาจสูงกว่านี้เล็กน้อยเมื่อได้รับอนุมัติทุกอย่างแล้ว เขากล่าวว่า รัฐบาลจะเป็นผู้ตัดสินใจว่า จะกระจายวัคซีนประมาณ 2.8 พันล้านโดส (ต้องฉีด 2 โดสต่อคน) ไปทั่วประเทศอย่างไรจึงจะดีที่สุด แต่หวังว่ารัฐบาลจะช่วยรับผิดชอบค่าใช้จ่ายให้ประชาชน เขากล่าวว่า “เราไม่เรียกร้องเงินจากรัฐบาลเลยสำหรับการอุทิศโรงงานผลิตทั้งหมด รวมทั้งกำลังคนค่าพลังงาน และอื่นๆ แต่เราขอแค่ให้ซื้อวัคซีนไปแจกฟรีให้ทุกคนเพื่อให้ประชาชนชาวอินเดียไม่ต้องจ่ายเงินซื้อวัคซีนโควิด-19” “ที่ผ่านมางานของ Serum Institute และผู้ผลิตวัคซีนรายอื่นๆ ไม่ค่อยมีใครให้ความสำคัญ ธุรกิจวัคซีนไม่ค่อยมีใครเห็นคุณค่าหรือกล่าวถึงเหมือนรถยนต์หรือสินค้าอุปโภคบริโภค” เขากล่าว “แต่ตอนนี้ผู้คนเห็นแล้วว่า การผลิตและวิจัยวัคซีนสำคัญต่อมนุษยชาติมากแค่ไหน”คลิกอ่านฉบับเต็มและบทความทางด้านธุรกิจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ในรูปแบบ e-magazine