Studio City ซึ่งตั้งอยู่สุดเขต Cotai Strip ทางทิศใต้ เป็นโอกาสให้ Ho ได้แสดงโมเดลธุรกิจใหม่สำหรับ Macau ที่แตกต่างจากที่ผ่านมาใน 2 ประเด็นหลัก คือ เขาทุ่มเงินหลายล้านเหรียญไปกับเครื่องเล่น รวมถึงการแสดงดนตรีและโชว์ต่างๆ แถมยังไม่มีการตั้งโต๊ะสำหรับบรรดาขาใหญ่ที่เรียกว่าแขก VIP “สิ่งที่ทำให้เราโดดเด่นและแตกต่างจากคู่แข่งคือความบันเทิงและจุดน่าสนใจของเรา” Studio City ซึ่งตกแต่งด้วยธีมภาพยนตร์ที่เจ๋งไปกว่านั้นคือ Golden Reel ชิงช้าสวรรค์รูปเลข 8 ที่สูงที่สุดในโลก
Ho กำลังเดินรอยตามแผนระยะยาว 5 ปีของรัฐบาลจีน ซึ่งก็คือการทำให้ Macau เป็น “ศูนย์กลางการท่องเที่ยวและสันทนาการของโลก” รัฐบาล Macau กำลังจัดสรรโต๊ะพนันใหม่ โดยให้ผู้ประกอบการบ่อนกาสิโนกำหนดให้มีจุดสนใจที่ไม่เกี่ยวข้องกับการพนัน เพียงอย่างเดียว แต่ธุรกิจที่ไม่ใช่การพนันทำรายได้เพียงร้อยละ 10 ของรายได้รวมของกาสิโนใน Macau หากเทียบกับร้อยละ 65 ของกาสิโนใน Las Vegas ขณะเดียวกันก็เกิดคำถามที่ว่า นักท่องเที่ยวอยากจะเสียเวลาและเงินไปกับกิจกรรมนอกโต๊ะมากแค่ไหน
Ho ชาวฮ่องกง วัย 38 ปี เป็นลูกชายคนโตสุดที่ยังมีชีวิตอยู่ของชายผู้สร้างสนามบินนานาชาติ Macauผู้นำเรือไฮโดรฟอยล์มาใช้แทนที่เรือกลไฟที่ย่นเวลาเดินทางจากฮ่องกงจากเดิม ทั้งคืนเหลือเพียง 1 ชั่วโมง และยังเป็นผู้กุมบังเหียนโรงแรม Lisboa อันลือชื่อตลอดเวลา 4 ทศวรรษ Ho ใช้ชีวิตวัยเด็กใน Toronto ทำงานด้านวาณิชธนกิจจนกระทั่ง Stanley ซึ่งบัดนี้มีอายุ 94 ปี และวางมือจากธุรกิจหลังประสบอุบัติเหตุหกล้มที่บ้านเมื่อปี 2009 เกลี้ยกล่อมเขาให้เข้าสู่ธุรกิจกาสิโน ก่อนอายุ 30 เขาเปิด Mocha Clubs เชนร้านสล็อต แมชชีนในสไตล์คาเฟ่ ในช่วงเวลาที่ตู้สล็อตแมชชีนใน Macau ยังเป็นเพียงความบันเทิงไกลตัว ต่อมาเขาจับมือกับ Crown Resorts ของ Packer ก่อตั้ง Melco Crown ซึ่งเข้าซื้อสัมปทานย่อยกิจการบ่อนกาสิโนสุดท้ายของ Macau
อีกหนึ่งธุรกิจของ Ho ซึ่ง Melco Crown ได้ดำเนินธุรกิจ City of Dreams มูลค่า 1.6 พันล้านเหรียญใน Manila
คลิ๊กอ่าน "Lawrence Ho เจ้าสัวเกาะฮ่องกง กับการเดินหมากธุรกิจครั้งใหญ่" ฉบับเต็ม ได้ที่ Forbes Thailand ฉบับ MARCH 2016 ได้ในรูปแบบ E-Magazine


