Vinamilk ยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์นมของเวียดนามมีสตรีนักทุนนิยมผู้ได้รับการศึกษาจากมหาวิทยาลัยในรัสเซียเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ
เรื่อง: RALPH JENNINGS เรียบเรียง: เอมวลี อัศวเปรม Mai Kieu Lien ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลเวียดนามให้ไปศึกษากระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์นมที่มหาวิทยาลัยในสหภาพโซเวียตเปิดสอนโดยเฉพาะ ซึ่งนั่นเป็นแบบปฏิบัติของลัทธิคอมมิวนิสต์ในยุค 70 แต่วิธีการของ Lien ในการทำธุรกิจทุกวันนี้เป็นแบบทุนนิยมล้วนๆ เมื่อ Lien กลับมาเวียดนามในปี 1976 เธอเข้าทำงานกับบริษัทผู้ผลิตผลิตภัณฑ์นมแห่งใหม่ของรัฐบาลเวียดนาม ภายในระยะเวลาปีเดียวเธอได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้จัดการ ห้าปีต่อมาขึ้นเป็นรองผู้อำนวยการโรงงาน และในปี 1993 เธอเข้าบริหารงานหน่วยงานที่ปัจจุบันรู้จักกันในนามบริษัท Vietnam Dairy Products หรือ Vinamilk ปี 2003 Lien นำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และนับแต่นั้นมาบริษัทผลิตภัณฑ์นมที่ใหญ่ที่สุดของเวียดนามซึ่งควบตำแหน่งบริษัทมหาชนใหญ่อันดับ5 ก็กลายเป็นบริษัทเนื้อหอมในตลาดหลักทรัพย์ Ho Chi Minh City Stock Exchange บริษัทที่เคยผลิตนมข้นหวานด้วยโรงงานที่มีเพียงสองแห่งตอนนี้มีมูลค่าตลาดสูงถึง 9.4 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในประเทศที่รัฐบาลเป็นเจ้าของวิสาหกิจจำนวนมาก อันเป็นอุปสรรคต่อการสร้างผลประกอบการที่ดีนั้น Lien บริหารธุรกิจให้เกิดความสำเร็จเช่นนี้ด้วยการผลักดันให้เกิดการดำเนินงานที่ฉับไวบวกกับแนวทางการบริหารแบบสากล และปีนี้ Vinamilk เข้าสู่อันดับ Fab 50 เป็นครั้งแรก และถือเป็นบริษัทสัญชาติเวียดนามแห่งแรกที่เข้ามาติดในทำเนียบของเรา นับตั้งแต่มีการจัดอันดับกันมาตั้งแต่ปี 2005 หุ้นของ Vinamilk มักเป็นที่ชื่นชอบของบรรดานักลงทุนต่างชาติที่ต้องการมีส่วนในเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็วของเวียดนามและเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาหุ้นของ Vinamilk กลายเป็นที่ต้องการของนักลงทุนต่างชาติยิ่งกว่าเดิมด้วยการเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ในตลาดหุ้นที่สามารถเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นของต่างชาติเป็นมากกว่าร้อยละ 49 (รัฐยังถือหุ้นร้อยละ 45) ข่าวนี้ทำให้ในช่วงระหว่าง 1 กรกฎาคม ถึง 19 สิงหาคม ราคาหุ้นของบริษัทขยับขึ้นถึงร้อยละ 20 “ในฐานะผู้จัดการ คุณต้องรับผิดชอบผลการดำเนินงานของบริษัทและการตัดสินใจทั้งหมด และคุณจะต้องทำตัวเป็นผู้บุกเบิกหรือผู้นำตลาดอยู่เสมอ” Lien กล่าวระหว่างการให้สัมภาษณ์ผ่านล่ามเธอย้อนอดีตให้ฟังว่าเมื่อปี 1983 Vinamilk ออกผลิตภัณฑ์โยเกิร์ตเป็นครั้งแรกท่ามกลางการตอบรับจากผู้บริโภคเวียดนามที่ไม่สู้ดีนักใครๆ ก็บอกว่า Vinamilk ควรหลีกเลี่ยงการสู้รบปรบมือกับภาคครัวเรือนที่ทำโยเกิร์ตรับประทานเอง อันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติในเวียดนาม “แต่สิ่งที่ฉันเป็นห่วงคือคุณค่าทางโภชนาการที่ดีต่อร่างกาย” Lien กล่าว เธอเองรับประทานโยเกิร์ตเป็นประจำทุกวัน “ปรากฏว่าโยเกิร์ตของเราขายหมดเกลี้ยงผู้บริโภคชอบมาก นี่คือตัวอย่างของความรับผิดชอบและการเป็นผู้บุกเบิก” Vinamilk ยังเป็นต่อเหนือแบรนด์จากต่างประเทศที่เริ่มเข้ามาตีตลาดเวียดนามในยุค 90 โดยตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ตัวแทนขายของ Vinamilk ทุกคนจะขายสินค้าโดยตรงกับซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านค้าอื่นๆ เพื่อกำจัดพ่อค้าคนกลาง ซึ่งช่วยบริษัทประหยัดต้นทุนไม่น้อย Fiachra Mac Cana กรรมการผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์เวียดนามเผยว่า ตอนนี้ Vinamilk ส่งสินค้าให้กับร้านค้าปลีกและร้านอาหารถึง 230,000 แห่ง และมีร้านค้าของตัวเอง 100 แห่ง ครองตลาดผู้บริโภค 92 ล้านคนของเวียดนามโดยมีเครือข่ายการจัดจำหน่ายที่ไม่มีใครสามารถต่อกรได้โดยไม่ต้องขาดทุนมานานกว่า 10 ปี บริษัทใหญ่ๆ จากต่างแดนที่เข้ามารุกตลาดเวียดนามมีทั้ง Dutch Lady, Friesland Foods และ Nestlé Vietnam ด้วยการอัดแคมเปญการตลาดมาอย่างต่อเนื่องแต่ Vinamilk ยังมีผลการดำเนินงานโดดเด่น ปี 2014 Vinamilk ซื้อหุ้นร้อยละ 70 ของ Driftwood Dairy ผู้จัดหานมและน้ำผลไม้ให้โรงเรียนในพื้นที่ตอนใต้ของ California และเมื่อเดือนที่แล้วได้เข้าซื้ออีกร้อยละ 30 ที่เหลือ การเข้าซื้อกิจการดังกล่าวทำให้ Vinamilk มีโอกาสได้เรียนรู้มาตรฐานการผลิตชั้นเยี่ยมและเข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ๆ ซึ่งในปีนี้บริษัทยังเปิดโรงงานร่วมทุนกับบริษัทการค้าใน Phnom Penh ที่กัมพูชาด้วย CEO วัย 63 ปี กล่าวว่าเธอบริหาร Vinamilk ภายใต้หลักธรรมาภิบาลที่เป็นสากลเธอได้ “เปลี่ยนวิธีคิด” ของพนักงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามหลักนั้น การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ทำให้บริษัทหลุดจากการควบคุมของรัฐ เป็นวิสาหกิจที่ดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่าเดิมมาก ติดอยู่แค่ว่ารัฐบาลยังคอยควบคุมงบการตลาดของ Vinamilk “ช่วงนั้นนักลงทุนพากันถามว่า ‘ทำไมต้องทำ IPO’” Lien เล่า “เราเป็นบริษัทที่มีกำไรสูง แต่ท้ายสุดแล้วเราก็ตัดสินใจขายหุ้น IPO ไม่เช่นนั้น Vinamilk ต้องใช้เวลาเป็นปีเพื่อรอรัฐบาลอนุมัติเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการทำธุรกิจในแต่ละครั้งเป็นการเสี่ยงที่จะสูญเสียส่วนแบ่งตลาดให้กับคู่แข่งที่คล่องตัวกว่า การตัดสินใจใดๆ ตอนนี้ทำได้ใน 2-3 สัปดาห์เท่านั้น” Lien กล่าว แก่นแท้ในวัฒนธรรมองค์กรของ Vinamilk ถูกจารึกอยู่บนกำแพงด้านในอาคาร Vinamilk Tower ซึ่งเป็นอาคารสีขาวสูง 12 ชั้น ใน Ho Chi Minh City ที่ใช้เป็นสำนักงานใหญ่ของบริษัท Lien อ้างว่าเป็นกระบวนการ “การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง” ที่ช่วยให้บริษัทสามารถแข่งขันได้ในตลาด พนักงาน 6,600 คน ได้รับคำสั่งให้รายงานปัญหาที่แก้ไขไม่ได้ด้วยตัวเองแก่หัวหน้างานเพื่อขอความช่วยเหลือภายใน 24 ชั่วโมงหลังจากพบปัญหานั้นคาดว่ากำไรสุทธิของบริษัทจะสูงขึ้นเป็น 418 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปีนี้ เทียบกับ 355 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปีที่ผ่านมา 20 กรกฎาคมที่ผ่านมา Vinamilk สร้างกระแสความสนใจในหมู่นักลงทุนเมื่อประกาศให้นักลงทุนต่างชาติสามารถถือหุ้นของบริษัทได้มากกว่าครึ่งและมีความเป็นไปได้ว่าจะสามารถเข้าซื้อได้หมดจากจำนวนที่ Vinamilkถือ รัฐบาลเวียดนามซึ่งก่อนหน้านี้เกรงว่าต่างชาติจะเข้ามามีอิทธิพลมากเกินไป ได้ออกพระราชกำหนดเมื่อเดือนมิถุนายน 2015 อนุญาตให้มีการถือครองหุ้นส่วนใหญ่โดยต่างชาติ เพื่อเป็นหนทางให้บริษัทสามารถระดมทุนได้ง่ายขึ้นและเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจมีบริษัทจดทะเบียนไม่กี่บริษัทจาก 700 กิจการภาครัฐที่ขาดทุน และได้กดดันให้ Lien เห็นชอบกับการจ่ายปันผล แม้ในปี 2013 จะมีการแปรรูปรัฐวิสาหกิจทั้งที่เป็นการแปรรูปโดยสมบูรณ์และแปรรูปบางส่วนมากถึง 4,000 วิสาหกิจ แต่รัฐบาลยังเป็นเจ้าของวิสาหกิจอีก 1,300 แห่งแต่เพียงผู้เดียว Kevin Snowball CEO ของ PXP Vietnam Asset Management บริษัทจัดการกองทุนใน Ho Chi Minh City ที่มีทรัพย์สิน 177 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ให้ความเห็นว่า Vinamilk น่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้บริษัทยักษ์ใหญ่อื่นๆ ในตลาดหุ้น ยกเลิกเพดานการถือหุ้นของต่างชาติด้วยเช่นกัน “เรารู้สึกว่าความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจะช่วยกระตุ้นให้บริษัทจดทะเบียนอื่นๆ เดินรอยตาม อันจะเป็นการส่งเสริมการเข้าถึงในอีกหลายเดือนนับจากนี้และเรายังคาดว่าตลาดจะพยายามผลักดันการดำเนินการดังกล่าวอย่างต่อเนื่องนับจากนี้” Lien เชื่อว่าในอีกห้าถึงสิบปี Vinamilk วางเป้าที่จะครองส่วนแบ่งตลาดในเวียดนามร้อยละ 80 สำหรับสินค้าหลักของบริษัทบริษัทวางแผนจะใช้เครื่องจักรเข้ามาทำงานมากขึ้น เพิ่มแม่วัวจาก 14,000 ตัว เป็น40,000 ตัว “เราคิดว่าเมื่อมีกองทุนต่างชาติรายใหม่เข้ามาลงทุนในเวียดนาม Vinamilk จะเป็นตัวเลือกแรกของพวกเขา”คลิ๊กอ่านฉบับเต็ม "อุตสาหกรรมนมรีดกำไร" ได้ที่ Forbes Thailand ฉบับ NOVEMBER 2016 ในรูปแบบ e-Magazine