หลังจากที่ Le Hong Diep Thao แยกทางกับนายใหญ่แห่ง Trung Nguyen เธอก็เดินหน้าผลิตแบรนด์กาแฟส่งออกไปทั่วโลก
Le Hong Diep Thao ดำรงตำแหน่งประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารผู้อยู่เบื้องหลัง King Coffeeซึ่งเป็นแบรนด์กาแฟที่กำลังเจิดจรัสอยู่ในเวียดนาม บริษัทของเธอจำหน่ายเมล็ดกาแฟแปรรูปอยู่ใน 60 ประเทศ เพียงปีแรกก็ลุ้นทำยอดขายถึง 60 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาก็เพิ่งเปิดโรงงานแห่งที่ 2 อย่างยิ่งใหญ่ ตั้งอยู่ห่างจาก Ho Chi Minh City ออกไป 40 ไมล์ แต่เรื่องราวเบื้องหลังกลับน่าสนใจยิ่งกว่า Le Hong Diep Thao แยกทางกับ Dang Le Nguyen Vu และในเวลานี้กำลังเดินเรื่องหย่าร้าง Dang Le Nguyen Vu คือบุรุษที่ Forbes Asia ยกย่องให้เป็น “ราชากาแฟ” แห่งเวียดนาม ตลอดระยะเวลาที่ทั้งสองครองคู่กันมากว่า 20 ปี (แต่เมื่อปี 2012 บทความของเราไม่ได้กล่าวถึงเธอ) เขาปั้น Trung Nguyen Group จนก้าวขึ้นเป็นโรงคั่วกาแฟและผู้ค้าปลีกกาแฟคุณภาพดีชั้นนำของประเทศ โดยมี Thao รับหน้าที่ดูแลกิจการในต่างประเทศ เธอเปิดร้านกาแฟขึ้นในสิงคโปร์ ซึ่งเป็นประเทศที่เธอจัดตั้งบริษัท TNIขึ้นมาและเป็นบริษัทแม่ของ King Coffee นั่นเอง เวลานี้ ทั้งคู่อยู่ระหว่างเจรจาในชั้นอนุญาโตตุลาการและกำลังดำเนินการหย่าร้างในขั้นตอนสุดท้าย แต่มีแนวโน้มว่าเธอน่าจะยังคงเป็นผู้ถือหุ้นรายเล็กแต่มูลค่ามหาศาลใน Trung Nguyen ต่อไป Dang Le Nguyen Vu ราชากาแฟแห่งเวียดนาม ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Trung Nguyen Group Vu และ Thao มีสไตล์การบริหารงานที่แตกต่างกันในหลายๆ กรณี เช่น พื้นเพในการทำธุรกิจของ Vu มาจากพื้นที่ราบสูงห่างไกลและเป็นอิสระที่เขาโปรดปราน ขณะที่ Thao มองว่าการแข่งขันในตลาดไม่ใช่เกมที่จะมีผู้ชนะได้เพียงคนเดียว “ฉันใช้เวลาปั้นธุรกิจนี้ 2 ปี เหมือนเป็นลูกแท้ๆ เลย” เธอกล่าวถึง King Coffee “ลูกชายคนแรกของฉันชื่อ Trung Nguyen ฉะนั้น ฉันไม่ได้คิดแข่งกับ Trung Nguyen Group หรอกค่ะ King Coffee คือฝันที่เป็นจริงที่จะสร้างแบรนด์กาแฟ ‘เมดอินเวียดนาม’ ที่แข็งแกร่ง ฉันอยากให้ Trung Nguyen ประสบความสำเร็จไปเรื่อยๆ เคียงข้างกับ King Coffee” เวียดนามคือประเทศผู้ผลิตกาแฟรายใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกต่อจากบราซิลมานานหลายปี ปัจจุบันผลิตกาแฟถึง 1 ใน 5 ของโลก ตอนที่ Forbes Asia สัมภาษณ์ Vu ในปี 2012 เขาครองอันดับ 1 ในธุรกิจส่งออกของเวียดนามที่มีมูลค่าทะยานแตะ 3,500 ล้านเหรียญ นับแต่นั้นมา เวียดนามก็ไม่สามารถก้าวขึ้นสู่ตัวเลขนั้นได้อีกเลย เนื่องจากผลผลิตได้รับความเสียหายจากสภาพอากาศที่เลวร้าย เวียดนามเป็นประเทศผู้ผลิตกาแฟรายใหญ่อันดับ 2 ของโลกรองจากบราซิล มีส่วนแบ่งตลาดกาแฟถึง 1 ใน 5 ของโลก (Cr: ancientcapitaltravel.com) ขณะที่ราคาเมล็ดกาแฟทรุดตัว ผู้ผลิตกาแฟอย่าง Vu และ Thao จึงต้องหารือกันว่าจะเพิ่มมูลค่าให้กับกาแฟเวียดนามให้ได้มากที่สุดอย่างไร ในเมื่อไม่มีธุรกิจแปรรูปที่แข็งแกร่ง สถิติในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่า ในบรรดาผลผลิตกาแฟรวมของเวียดนามนั้น 95% เป็นการส่งออกเมล็ดกาแฟดิบ โดยมีเพียง 5% ที่แปรรูป ตัวอย่างเช่น Starbucks บุกตลาดเวียดนามในปี 2013 พร้อมกับเปิดตัว Dalat Blend ซึ่งเป็นแบรนด์กาแฟของเวียดนามป้อนร้านกาแฟ Starbucks ทั่วโลก กาแฟ 1 ถุง น้ำหนัก 250 กรัม มีราคา 12.50 เหรียญ หรือคิดเป็น 20 เท่า เมื่อเทียบกับราคาเมล็ดกาแฟในประเทศ Thao กับ Vu พบกันเมื่อปี 1994 ในเวลานั้นเขายังคงเป็นนักศึกษาอยู่ที่ Buon Me Thuot เมืองหลวงแห่งไร่กาแฟเวียดนาม Thao เล่าว่าครอบครัวของเธอช่วยสนับสนุนเงินทุนประเดิมสำหรับการเปิดร้านกาแฟแห่งแรก ชื่อว่า Trung Nguyen ต่อมาทั้งสองแต่งงานกันในปี 1998 จากนั้นเพียงไม่นานก็สามารถพัฒนาแบรนด์กาแฟที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเวียดนามขึ้นมาได้สำเร็จ Thao บอกว่าเธอมีหน้าที่ดูแลกิจการประจำวัน รวมทั้งวางแผนกลยุทธ์ร่วมกับสามีด้วย แต่หลังจากที่ชีวิตคู่ประสบปัญหา ธุรกิจส่งออกจึงโดนละเลยไปบ้าง จุดนี้เองเปิดช่องให้ Thao ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ของ King Coffee โดยมีการเปิดตัวในต่างประเทศ (เริ่มแห่งแรกที่สหรัฐฯ) ก่อนจะกลับเข้ามาทำตลาดในประเทศ ปัจจุบันเธอบริหารโรงงาน 2 แห่ง แห่งแรกอยู่ที่จังหวัด Bac Giang ทางตอนเหนือของประเทศ ซึ่งเป็นโรงงานผลิตกาแฟสำเร็จรูปแบรนด์ G7 ด้วย โรงงานแห่งนี้เปิดตัวขึ้นเมื่อปี 2012 ภายใต้การบริหารของ Trung Nguyen Group ส่วนโรงงานแห่งใหม่ผลิต King Coffee เป็นหลัก ในช่วงยุคทองของ Trung Nguyen เมื่อปี 2012 บริษัทมีโรงงาน 5 แห่ง มีร้านกาแฟในเครือ 40 ร้าน ประธาน Vu ดื่มด่ำกับทุกสิ่งทุกอย่าง เขาเล่าให้ฟังถึงสูตรผสมของปรัชญากับการค้า ขณะเดียวกันก็เริ่มปรากฏตัวต่อสาธารณชนน้อยลงไปทุกที ข่าวการหย่าร้างปรากฏตามสื่อในประเทศมาตลอด 2 ปีที่ผ่านมา พร้อมๆ กับที่ Trung Nguyen เริ่มสูญเสียความได้เปรียบในตลาด บริษัทปิดร้านกาแฟลงไปหลายแห่ง (รวมทั้งที่สิงคโปร์ด้วย) สวนทางกับคู่แข่งสำคัญๆ ที่เดินหน้าล่าส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นทุกทีๆ Le Hong Diep Thao ผู้บริหารหญิงวัย 44 ปีอยู่ระหว่างยื่นเรื่องหย่ากับสามี และเริ่มต้นก่อตั้งบริษัทกาแฟแห่งใหม่ King Coffee (Cr: TNI Corporation/nguoiduatin.vn) Thao บอกว่า นั่นยิ่งทำให้เธอกระหายอยากจะสร้าง King Coffee ให้กลายเป็นแบรนด์ระดับพรีเมียม “ฉันรู้จักตลาดดี จึงอยากพัฒนาอุตสาหกรรมกาแฟในประเทศ ฉันอยากเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาการเพาะปลูกกาแฟทั่วเวียดนาม ช่วยให้ชาวไร่ได้ปลูกกาแฟพร้อมรับประกันคุณภาพเมล็ดกาแฟ นั่นเป็นแผนการทำธุรกิจนี้ในระยะยาว” Thao กล่าว เธอยังบอกด้วยว่าเธอทำงานร่วมกับรัฐบาลในการส่งเสริมพื้นที่เพาะปลูกผ่านการลงทุนโดยตรง ผิดกับรูปแบบดั้งเดิมซึ่งชาวไร่จะต้องทำงานเพียงลำพัง จะเติบโตหรือไม่ก็ต้องขึ้นอยู่กับสภาพอากาศและตลาดที่ผันผวน เธอวางเป้าหมายว่าจะต้องเข้าถึงพื้นที่ให้ได้ 30% ของพื้นที่เพาะปลูกกาแฟรวมทั้งหมดในเวียดนาม หรือคิดเป็น 660,000 เฮกตาร์(ประมาณ 6,600 ตารางกิโลเมตร) ปัจจุบันเธอดำรงตำแหน่งรองประธาน Vietnam’s Coffee Association เรียกได้ว่าเป็นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างธุรกิจกับการเมือง สวนทางกับสามีที่แยกทางกันซึ่งเลือกที่จะถอยออกมามากกว่า เมื่อไม่นานมานี้ เธอเพิ่งจะติดตามนายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีเวียดนาม ในฐานะตัวแทนภาคธุรกิจเดินทางเยือนประเทศญี่ปุ่นและรัสเซียด้วย Thao บอกว่า ความท้าทายคือพลังของเธอ “หลายคนบอกว่าผู้หญิงคือช้างเท้าหลังสำหรับความสำเร็จของผู้ชาย คำถามตอนนี้คือ ผู้หญิงจะเป็นเท้าหน้าเพื่อก้าวสู่ความสำเร็จด้วยตัวเองได้หรือไม่ ฉันต้องลองดูแล้วล่ะ” เรื่อง: Lan Anh Nguyen เรียบเรียง: ปาริชาติ ชื่นชมอ่านบทความทางธุรกิจที่น่าสนใจอื่นๆ เพิ่มเติมได้ใน นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับ มกราคม 2561 ในรูปแบบ E-Magazine