Aditya Puri เป็น managing director ของ HDFC Bank ซึ่งเป็นธนาคารที่มีมูลค่าสูงที่สุดในอินเดีย เขายึดหลักง่ายๆ สองประการในการบริหารธนาคาร นั่นคือ สามัญสำนึกและวินัย โดยเขาบอกว่าการที่เราจะทำอะไรสักอย่างนั้น เราต้องเป็นคนกำหนดว่าต้องทำอะไรและเราต้องยึดสิ่งที่ต้องทำเอาไว้ให้มั่น “ธุรกิจธนาคารมันไม่ได้ซับซ้อนอะไรมากมาย และคุณต้องพยายามทำให้มันเป็นเช่นนั้นต่อไปเรื่อยๆ”
ผลของการทำตามวิธีที่เขาบอกก็คือ HDFC Bank เป็นธนาคารที่มีมูลค่าตลาด 4.3 หมื่นล้านเหรียญ มีฐานลูกค้าเกือบ 32 ล้านคน และเครือข่ายสาขากว่า 4,000 แห่งกระจายอยู่ตามเมืองต่างๆ เกือบ 2,500 เมือง “เราไม่ต้องเครียดกับพอร์ตสินเชื่อของเรา อัตรากำไรของเราแข็งแรงดี เครือข่ายสาขาของเราก็กระจายอยู่ทั่วประเทศ เรามีเทคโนโลยีที่ล้ำหน้า และเงินกองทุนที่เพียงพอ” Puri บอก เขามีสิทธิ์ที่จะคุยได้ เพราะเขาสร้าง HDFC Bank ขึ้นมาจากที่ไม่มีอะไรเลยจนมันกลายมาเป็นธนาคารเอกชนที่ใหญ่เป็นอันดับสองของอินเดีย รองจาก ICICI Bank โดยหลังจากที่บริหารธนาคารแห่งนี้มา 21 ปี เขานับเป็นผู้บริหารที่ทำหน้าที่มายาวนานที่สุดในบรรดาธนาคารเอกชนของอินเดีย และยังเป็นผู้บริหารธนาคารที่มีรายได้สูงที่สุดอีกด้วย โดยในปีที่ผ่านมาเขาได้รับค่าตอบแทนสูงถึง 1.2 ล้านเหรียญ ซึ่งถือว่าสมน้ำสมเนื้อกับผลงานที่เขาทำ ในปีที่ผ่านมา (ปิดงวดปีบัญชีในวันที่ 31 มีนาคม) HDFC Bank มีรายได้ 9.8 พันล้านเหรียญ เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 17% ในขณะที่กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 21% เป็น 1.7 พันล้านเหรียญ ผลประกอบการที่น่าประทับใจนี้ทำให้ธนาคารติดอันดับ Fab 50 ของเราอีกครั้งในปีนี้เป็นปีที่เก้า ซึ่งเป็นบริษัทเพียงแห่งเดียวที่อยู่ในทำเนียบของเรายาวนานขนาดนี้ นับตั้งแต่ที่เราเริ่มจัดอันดับบริษัทดาวเด่นที่มีขนาดใหญ่และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในปี 2005 ในปัจจุบัน เศรษฐกิจอินเดียอยู่ในภาวะที่ต้องการแรงหนุน โดยในปีงบประมาณ 2015 สินเชื่อขยายตัวแค่ 9% เท่านั้น ลดลงจาก 14% ในปีก่อนหน้า “ความท้าทายที่สำคัญในระยะสั้นก็คือการทำให้ขยายตัวให้ได้”Jignesh Shial นักวิเคราะห์กลุ่มธนาคารของ Quant Capital ในมุมไบ กล่าวและเสริมว่า “ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเรากำลังอยู่ในช่วงของการชะลอตัว ทั้งการบริโภคที่ลดลง การชะลอตัวของเศรษฐกิจในเขตชนบท หรือแม้แต่ภาคอสังหาริมทรัพย์และยานยนต์ก็ยังไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่” ตลอดหลายปีที่ผ่านมา Puri ซึ่งมีอายุ 64 ปีเป็นผู้นำเพียงคนเดียวของ HDFC Bank ซึ่งก่อตั้งโดยบริษัทที่ให้บริการสินเชื่อบ้านยักษ์ใหญ่อย่าง Housing Development Finance Corp ในปี 1994 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่อินเดียเพิ่งเปิดโอกาสให้มีการตั้งธนาคารเอกชนขึ้นมาได้ ซึ่งนับตั้งแต่ตอนที่เริ่มก่อตั้ง HDFC Bank ทางธนาคารก็ได้เลือก Puri เข้ามาเป็นผู้บริหาร โดยก่อนหน้าที่เขาจะมาร่วมงานด้วยนั้น Puri เป็น chief executive ของ Citibank Malaysia โดยมีประสบการณ์เกือบ 20 ปีในการทำงานที่ Citibank ในหลายเมืองของอินเดีย กรีซ ซาอุดิอาระเบีย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ “จุดแข็งที่สุดของ HDFC ก็คือความต่อเนื่องของการบริหาร เพราะมีผู้นำเพียงคนเดียวมาตลอดสองทศวรรษ” Shial กล่าว “Puri รู้ว่าหลังฉากเป็นยังไง และกระบวนการคิดของเขาก็ชัดเจนและตรงไปตรงมาอย่างมาก” HDFC Bank เริ่มทำธุรกิจด้วยการปล่อยสินเชื่อให้กับบริษัทขนาดใหญ่ประเภท blue-chip และต่อมาไม่นานก็เริ่มเข้าไปจับกลุ่มมนุษย์เงินเดือนที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วในอินเดีย โดยธนาคารมีลูกค้าจำนวนมากที่เปิดบัญชีกับธนาคารเพื่อรับโอนเงินเดือน และเมื่อจำนวนคนทำงานในวัยหนุ่มสาวเพิ่มขึ้น ธนาคารก็โตไปพร้อมๆ กับคนกลุ่มนี้ ด้วยการให้บริการบัตรเครดิต สินเชื่อรถยนต์ และสินเชื่อส่วนบุคคล ในเดือนกุมภาพันธ์ ธนาคารได้ระดมทุนเพิ่มอีก 1.6 พันล้านเหรียญเพื่อให้เงินกองทุนครบตามเกณฑ์และสามารถรองรับการเติบโตในอนาคตได้ โดยธนาคารมีแผนที่จะเปิดสาขาเพิ่มอีก 300 สาขาในปีหน้า Puri เชื่อว่าการเติบโตในอนาคตส่วนใหญ่จะมาจากชุมชนในเขตกึ่งเมือง และในเขตชนบทของอินเดีย ซึ่งมีประชากรอาศัยอยู่มากถึง 60% ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ ทั้งนี้ เกือบ 55% ของสาขาธนาคารตั้งอยู่ในเขตดังกล่าว “เราต้องชิงตลาดในเขตกึ่งเมือง และในเขตชนบทของอินเดียมาเป็นของเราให้ได้” เขาบอก นอกจากนี้ ธนาคารยังมุ่งให้ความสำคัญกับบริการ digital banking โดยหวังว่าจะสามารถดึงดูดชาวอินเดียรุ่นหนุ่มสาวที่ต้องการซื้อของ ชำระเงิน และลงทุนผ่านโทรศัพท์มือถือให้มาใช้บริการของธนาคาร โดยทางธนาคารเปิดโอกาสให้ลูกค้าสามารถทำธุรกรรมบนโทรศัพท์มือถือได้มากกว่า 75 ประเภท HDFC กำลังเผชิญกับการแข่งขันอย่างดุเดือดจากธนาคารเอกชนอื่น อย่างเช่น ICICI และ Axis Bankโดย ICICI ซึ่งในปีที่แล้วมีรายได้ 1.5 หมื่นล้านเหรียญ ถือเป็นธนาคารที่มีชื่อในด้านของการบุกเบิกบริการใหม่ๆ โดยเป็นธนาคารแรกที่หันมาจับตลาดในกลุ่มรายย่อยอย่างจริงจัง ในช่วงที่เพิ่งเปิดทำการในปีแรกๆ HDFC ก็ได้นำนวัตกรรมด้านการธนาคารหลายๆ อย่างที่ ICICI เป็นผู้ริเริ่มมาใช้ แต่ปรากฏว่าในปีที่แล้ว กำไรสุทธิของ HDFC โตแซงหน้า ICICI ไปแล้วในขณะที่ HDFC มีสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้น้อยกว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่ Puri มั่นใจในแนวคิดอะไรสักอย่าง เขาจะเดินหน้าเต็มตัว เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เขาไปที่ Silicon Valley และได้ไปเยี่ยมบริษัทต่างๆ ทั้ง Apple Facebook และ Google และในตอนท้ายเขาก็ได้ข้อสรุปว่า “เราจะต้องการ Apple Pay ไปทำไม ในเมื่อเราก็สามารถสร้าง HDFC Pay เองได้” ในขณะเดียวกัน มีข่าวว่า HDFC Bank จะควบกิจการกับ Housing Development Finance Corp.บริษัทแม่ซึ่งปีที่แล้วมีรายได้ 8 พันล้านเหรียญและถือหุ้นใน HDFC Bank อยู่ 22% ถ้ามีการควบกิจการกันจริงก็จะทำให้ HDFC Bank กลายเป็นหนึ่งในสถาบันการเงินที่ใหญ่ที่สุดในอินเดีย สูสีกับ State Bank of India เลยทีเดียว “การควบกิจการกันมันเป็นเรื่องที่ง่ายมากแบบไม่ต้องใช้หัวคิดเลย” Parekhบอก “ในระยะยาว มันเป็นเรื่องสมเหตุสมผลถ้าเงื่อนไขต่างๆ ถูกต้อง แต่เราต้องได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานกำกับดูแล และต้องมั่นใจว่าจะไม่มีผลเสียต่อผู้ถือหุ้นของทั้งสองบริษัท” อ่านเพิ่มเติมคลิ๊กอ่าน "ทำให้เรียบง่ายเข้าไว้" ฉบับเต็มได้ที่ Forbes Thailand ฉบับ SEPTEMBER 2015