คลื่นลมแรงแค่ไหนใจยังสู้ - Forbes Thailand

คลื่นลมแรงแค่ไหนใจยังสู้

FORBES THAILAND / ADMIN
23 Feb 2017 | 03:37 PM
READ 1572

หลังการเสียชีวิตของ Robert Oatley ดูเหมือนว่าตระกูล Oatley ซึ่งเป็นครอบครัวแรกในประเทศออสเตรเลียที่ทำธุรกิจแข่งขันเรือยอชต์จะหันไปให้ความสำคัญกับการขยายกิจการรีสอร์ต การกระจายการลงทุนไปในธุรกิจต่างๆ และการเตรียมตัวกลับมาคว้าชัยในการแข่งเรือรายการ Sydney-Hobart อีกครั้ง

ครอบครัว Oatley เป็นเจ้าของเรือยอชต์ที่ชื่อ Wild Oats XI ซึ่งนับเป็นเรือที่ทันสมัยที่สุดในทศวรรษก่อน แต่ด้วยเทคโนโลยีที่รุดหน้าทำให้ครอบครัว Oatley ต้องเร่งปรับปรุงเรือครั้งใหญ่ เรือ Wild Oats ที่ผ่านการปรับโฉมได้ฤกษ์เปิดตัวในวัน Boxing Day ของรายการแข่งเรือ Sydney-Hobart ปี 2015  แต่สภาพอากาศในวันนั้นไม่เอื้ออำนวยอย่างรุนแรง พายุที่พัดถล่มทำให้เรือยอชต์ราคาแพงระยับจำนวนมากเสียหายยับเยิน รวมถึงเรือ Wild Oats ที่หมดโอกาสได้สำแดงความเร็วและต้องรับความพ่ายแพ้ อย่างไรก็ตามทั้งกัปตันเรือและลูกทีมต่างก็ได้รับแชมเปญต้อนรับอย่างอบอุ่นหลังเสร็จสิ้นการแข่งขัน เสียงตะโกนให้กำลังใจดังมาแต่ไกลจากหนุ่มใหญ่รูปร่างกำยำที่สวมหมวกเบสบอลปักคำว่า Wild Oats เขาตรงดิ่งเข้าไปสวมกอดและทักทายลูกเรือทุกคนที่กลับเข้าฝั่งมาอย่างปลอดภัย ชายคนนั้น คือ Sandy Oatley บุตรชายของ Robert Oatley ซึ่งเข้ามารับช่วงบริหารกิจการของครอบครัวในฐานะซีอีโอต่อจากผู้เป็นบิดาตั้งแต่ปี 2001 และทำหน้าที่สานต่อเต็มตัวหลัง Robert จากไปอย่างไม่มีวันกลับเมื่อเดือนมกราคม 2016 ขณะเขามีอายุ 87 ปี ปัจจุบันอาณาจักรธุรกิจของ Oatley มีพนักงานรวมทั้งสิ้นประมาณ 1,500 คน นับรวมถึงกิจการไร่องุ่นเพื่อผลิตไวน์ที่ชื่อ Robert Oatley Vineyards และเกาะ Hamilton รีสอร์ตส่วนตัวที่ใหญ่ที่สุดในโลก แม้ Sandy จะได้รับคำชมเชยในการทำงาน แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ยอมรับคำชมนั้น “พ่อได้สร้างทุกอย่างไว้อย่างสมบูรณ์แบบแล้วต่างหาก เขาได้ส่งมอบเพชรเม็ดงามให้กับผม ส่วนผมมีหน้าที่สานต่อนโยบายต่างๆ ที่พ่อได้ทำไว้ซึ่งเราเรียกสิ่งนี้ว่า การเจียระไนเพชร” Sandy วัย 63 ปี เป็นบุตรชายคนโตของ Robert เขาได้เข้ามาเรียนรู้งานเพื่อเตรียมตัวรับช่วงกิจการต่อจากพ่อมาเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว พ่อของเขาเป็นกะลาสีเรือมาตลอดชีวิตจนได้รับการขนานนามว่า “ป๊อบอาย” ทั้งเขาและพ่อเป็นเหมือนส่วนที่เสริมส่งกันและกัน Robert ผู้พ่อจะมีบุคลิกแบบนักกีฬา เป็นคนกระฉับกระเฉง มีชีวิตชีวา โดยเขามักจะปรากฏตัวเป็นข่าวอยู่บ่อยๆ ในขณะที่ Sandy บุตรชายจะเป็นคนเก็บตัวไม่ค่อยให้สัมภาษณ์สื่อ แต่กระนั้นทีมงาน Forbes Asia สังเกตว่า Sandy เป็นคนที่มีไหวพริบปฏิภาณดีไม่แพ้ผู้เป็นพ่อ สำหรับ “ป๊อบอาย” เขาเป็นนักธุรกิจที่เก่งฉกาจหาตัวจับยาก เขาเป็นผู้ประกอบการที่มีความสามารถพิเศษในการซื้อกิจการมาในราคาถูกและนำไปขายต่อในราคาแพง และเขายังมีความว่องไวในเกมธุรกิจ Robert เกิดในปี 1928 ที่ย่าน Mosman ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากนคร Sydney เขาไม่เคยอายที่เกิดมาในครอบครัวชนชั้นแรงงาน ตัวเขาเองมีศักดิ์เป็นเหลนของ James Oatley นักโทษชาวอังกฤษที่ถูกจับและเนรเทศให้ไปอยู่ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งภายหลังได้กลายมาเป็นช่างทำนาฬิกาคนแรกของประเทศออสเตรเลีย ในปี 1943 ขณะที่ Robert ย่างเข้าสู่วัยรุ่น เขาสมัครเป็นพนักงานฝึกหัดในบริษัทเทรดดิ้งแห่งหนึ่งชื่อ Colyer Watson ตามคำแนะนำของพ่อ และได้ถูกส่งตัวไปทำงานที่ประเทศปาปัวนิวกินีซึ่งบริษัทมีธุรกิจโกโก้และกาแฟอยู่ที่นั่น หลังจากทำงานอยู่ได้สักระยะ เขาได้เจรจาขอซื้อหน่วยปฏิบัติการดังกล่าวจากบริษัทก่อนจะขยายธุรกิจดังกล่าวออกไปอย่างใหญ่โต
Robert Oatley ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ โดยเขาเสียชีวิตในเดือนมกราคม ปี 2016
ความสำเร็จในชีวิตของเขาส่วนใหญ่มาจากการที่เขามีสายตาที่เฉียบคมในการมองเห็นโอกาส เขาเข้าไปลงทุนในธุรกิจกาแฟก่อนที่เครื่องดื่มชนิดนี้จะได้รับความนิยมในออสเตรเลีย หลังจากที่เขาขายกิจการกาแฟที่ปาปัวนิวกินี เขาก็หันไปทำธุรกิจโรงกลั่นไวน์ Rosemount แทน ซึ่งกลายเป็นโรงกลั่นไวน์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของออสเตรเลียในเวลาต่อมา แต่เคล็ดลับที่สำคัญกว่านั้นในการทำธุรกิจ คือการรู้ว่าเมื่อไหร่ควรถอย Robert ตัดสินใจขายโรงกลั่นไวน์ที่ Rosemount ในปี 2001 เมื่อกระแสการบริโภคไวน์ได้รับความนิยมถึงขีดสุด เขาได้เงินจากการขายธุรกิจในครั้งนั้นประมาณ 1.2 พันล้านเหรียญ โดยไม่รอช้าเขาเดินหน้าทำธุรกิจใหม่ที่มีขนาดใหญ่กว่าเดิมหลายเท่า ในครั้งนี้เขาเจรจาซื้อเกาะ Hamilton ที่อยู่ใกล้ๆ กับ The Great Barrier Reef นี่เป็นบทพิสูจน์อีกครั้งว่าเขาไม่ใช่คนแรกที่มองเห็นโอกาส แต่เขาเป็นคนแรกที่ลงมือทำความฝันให้กลายเป็นความจริง สงครามราคาดำเนินไปอย่างดุเดือด และ “ป๊อปอาย” ยอมเพิ่มราคาเพื่อปิดดีลการซื้อขายครั้งนั้นด้วยเงินจำนวน 200 ล้านเหรียญ การซื้อเกาะครั้งนี้สร้างความร่ำรวยให้ “ป๊อบอาย” เป็นครั้งที่สาม Glenn Bourke ซึ่งเป็นซีอีโอคนปัจจุบันของเกาะ Hamilton แจกแจงความอัจฉริยะทางธุรกิจของ Robert ว่า “คิดดูสิ! เขาจับธุรกิจกาแฟในขณะที่ยังไม่มีใครในออสเตรเลียดื่มกาแฟด้วยซ้ำไป ตอนที่เขาเริ่มทำธุรกิจไวน์ก็เหมือนกัน คนออสเตรเลียสมัยก่อนดื่มไวน์ที่ไหนกัน ตามผับตามบาร์มีแต่คนที่ดื่มเบียร์ การซื้อเกาะแห่งนี้ก็ไม่ต่างจากการทำธุรกิจก่อนหน้า ผมคิดว่าเขาเห็นอะไรบางอย่างในเกาะนี้ และเขาทำมันได้สำเร็จ”  Forbes Asia คาดการณ์ว่า Robert มีสินทรัพย์สุทธิสูงถึง 850 ล้านเหรียญตอนที่เขาเสียชีวิตปัจจุบันสินทรัพย์ทั้งหมดของเขาอยู่ภายใต้การจัดการของกองทรัสต์ประจำตระกูล   เกาะ Hamilton หนึ่งในเกาะส่วนตัวที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก กุญแจความสำเร็จของเกาะ Hamilton มาจากการที่ Robert ลงทุนสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น ถนน สายไฟ ทำให้มูลค่าบ้านพักริมทะเลบนเกาะ Hamilton มีราคาเพิ่มสูงขึ้นเป็นสองเท่าในช่วง 5-7 ปีที่ผ่านมา และให้ผลตอบแทนโดยรวมประมาณร้อยละ 4-7 ต่อปี Sandy ทายาทธุรกิจกล่าวว่า เกาะ Dent อาจจะเป็นแหล่งทำเงินตัวต่อไป นอกจากนี้เขาต้องการพัฒนาและขยายการเติบโตไปในธุรกิจอื่นด้วย เช่น ฟาร์มเพาะพันธุ์สัตว์ใน Hunter Valley และธุรกิจเนอร์สซิ่งโฮม “เราเป็นพวกแสวงหาโอกาส แผนธุรกิจที่ทำไว้ก่อนหน้า เอาเข้าจริงก็ต้องปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ โอกาสผ่านเข้ามา คว้าอะไรได้ก็ต้องคว้าไว้ก่อน” เรามีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมว่า ทายาทรุ่นต่อไปของครอบครัว Oatley พร้อมที่จะนำเรือออกทะเลไม่ว่าลมจะเปลี่ยนทิศไปทางใด
คลิ๊กอ่านฉบับเต็ม "คลื่นลมแรงแค่ไหนใจยังสู้" ได้ที่ Forbes Thailand Magazine ฉบับ มกราคม 2560