แม้ Frank Slootman จะไม่ได้ลงมือก่อตั้งบริษัท แต่ในประวัติศาสตร์แห่งการดำเนินธุรกิจไม่มีใครที่สามารถพลิกไอเดียให้กลายเป็นความสำเร็จได้มากมายขนาดนี้อีกแล้ว ล่าสุดเขาบันทึกประวัติศาสตร์หน้าใหม่ด้วยการส่ง Snowflake เสนอขายหุ้น IPO ด้วยมูลค่า 8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ นับเป็นการเสนอขายหุ้น IPO มูลค่าสูงสุดแห่งวงการซอฟต์แวร์ และวันนี้เขานำเรื่องราวมาบอกเล่าให้ฟัง
ก่อนหน้าไม่เกินวันแรงงาน เห็นได้ชัดว่า การเสนอขายหุ้น IPO ครั้งที่ 3 ของ Frank Slootman นั้น จะไม่เหมือน 2 ครั้งที่ผ่านมา หลังจากการระบาดของโควิด-19 ได้ลดลงเป็นเวลาสั้นๆ ในช่วงฤดูร้อน การระบาดระลอกใหม่ก็กลับมาอีกครั้ง ทำให้กำหนดการโรดโชว์ของบริษัทคลังข้อมูล อย่าง Snowflake ที่มีแผนตระเวนจัดงานเลี้ยงอาหารกลางวันและเปิดตัวผ่าน PowerPoint ตามห้องประชุมโรงแรมต่างๆ ทั่วโลกกลับต้องเปลี่ยนมาจัดช่องทางออนไลน์แทน Slootman วัย 62 ปี จับจองห้องสัมมนาอันไร้ชีวิตชีวาบนชั้น 2 ของสำนักงาน Snowflake ที่ Dublin ใน California เพื่อจัดการประชุมต่างๆ ซึ่งในเวลานี้มีมูลค่ารายชั่วโมงเทียบเท่าการประชุมเขียนรหัสในหอพักนักศึกษาที่ Harvard ของ Mark Zuckerberg เลยทีเดียว ตลอดระยะเวลา 7 วันเมื่อกลางเดือนกันยายนปีที่ผ่านมา เต็มไปด้วยตารางการประชุมทั้งแบบตัวต่อตัวและการพรีเซนเทชันขนาดใหญ่ Slootman ชายผู้มีบุคลิกดุดันโดยธรรมชาติพบปะกับผู้คนกว่า 1,000 คนทาง Zoom ไม่ว่าจะเป็นผู้จัดการกองทุนและวาณิชธนากรที่พร้อมกระโจนคว้าส่วนแบ่งจากการเสนอขายหุ้น IPO ของเขา แต่แทนที่จะเป็นการถาม-ตอบทั่วๆ ไป Slootman กลับโดนรัวยิงคำถามเสียเอง “ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ ‘ฉันชอบบริษัทนี้หรือเปล่า’ แต่เป็น ‘ฉันจะได้กี่หุ้น’” Slootman เล่าให้ฟังด้วยสำเนียงดัตช์ และเมื่อถามถึงการเสนอขายหุ้น IPO ในรูปแบบเสมือนจริงนี้ เขาบอกว่า “ผมชอบมากที่สุด” ขั้นตอนที่เหลือเป็นหน้าที่ของ Slootman ซึ่งเขาเข้ามาจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ เขารับตำแหน่งผู้บริหาร Snowflake เมื่อเดือนเมษายน ปี 2019 และในเวลาเพียง 6 เดือนเขาดึงตัวนักลงทุนรายใหญ่มาได้มากมาย รวมถึง Dragoneer Investments และ Salesforce ของ Marc Benioff ในช่วงเวลาเดียวกันนี้เขายังได้หารือกับนักวิเคราะห์งานวิจัย ซึ่งในที่สุดนักวิเคราะห์เหล่านี้ก็จะตั้งราคา IPO แบบขาขึ้น เมื่อ Slootman กับทีมงานของเขาเคาะระฆังซื้อขายเสมือนจริงทาง New York Stock Exchange (ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ดูงุ่มง่ามสมชื่อ) เขาระดมทุนได้ 3.4 พันล้านเหรียญ โดยมี Sales- force และนักลงทุนคนอื่นๆ คอยรอรับที่ราคาพื้น “เรารู้จักคนกลุ่มนี้ มาตั้งแต่เปิดเวทีครั้งก่อนๆ” Slootman กล่าวแบบไม่ยี่หระ ในวันที่ Slootman เข้ารับตำแหน่ง Snowflake มีมูลค่า 4 พันล้านเหรียญ หรือมากกว่ามูลค่าในวันแรกถึงกว่าเท่าตัว และยังคงมีมูลค่าเพิ่มขึ้นมหาศาลนับแต่นั้นเป็นต้นมา ปัจจุบันมีมูลค่าตามราคาตลาดที่ 8.1 หมื่นล้านเหรียญ จากยอดขายประมาณ 580 ล้านเหรียญ ส่วนตัวเขาเองมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิประมาณ 2.2 พันล้านเหรียญ นับว่าเป็นตัวเลขที่น่าอัศจรรย์อย่างแท้จริงสำหรับคนที่ไม่เคยมีส่วนร่วมในวันก่อตั้งบริษัทใดเลย Slootman บอกเสมอว่า เขาไม่มีสูตรความสำเร็จตายตัว แม้จะเคยสร้างปรากฏการณ์คล้ายกันนี้มาแล้วทั้งที่ Data Domain และ ServiceNow แต่หากได้คุยกับเขานานๆ คุณจะมองเห็นรูปแบบและพบว่า สิ่งที่เขาพูดไม่จริงเลย Slootman เป็นอดีตทหารเรือ เขาบริหารบริษัทก่อนเข้าสู่ช่วง IPO เหมือนเรือประสิทธิภาพสูงที่มีการขึงเชือกอย่างแน่นหนา โดยมีตัวเขาเองเป็นกัปตันผู้มีความมั่นใจอย่างแรงกล้า หากมีใครแสดงท่าทีแข็งข้อขึ้นมาแม้เพียงเล็กน้อย เขาพร้อมโยนทิ้งทะเลทันที “ตอนผมอายุน้อยกว่านี้ ผมอดทนได้มากกว่านี้ ผมคิดเสมอว่าจะสามารถสอนและนำทางคนไปยังที่ที่พวกเขาจะแสดงศักยภาพได้อย่างแท้จริง” Slootman กล่าว “ซึ่งปรากฏว่า จาก 100 ครั้ง คุณจะผิดไป 99 ครั้ง ตอนนี้ผมจึงฟิวส์ขาดง่ายขึ้น แต่ผมก็ไม่เคยคิดว่าไล่ใครออกเร็วเกินไป มีแต่จะสายเกินไป” Slootman กล่าวเสริมว่า “ผมใช้สิทธิพิเศษในฐานะผู้บริหาร ไม่ต้องมาคอยอธิบายเหตุผล ไม่ต้องมาคอยชี้นำใคร ผมแค่รู้ว่านี่คือสิ่งที่ผมต้องการ เพราะเรามีซีอีโอด้วยเหตุผลเพียงข้อเดียวเท่านั้นคือชัยชนะ เวลาที่คุณชนะจะไม่มีใครทำอะไรคุณได้ แต่เมื่อคุณแพ้ใครก็ช่วยไม่ได้เช่นกัน” เส้นทางสู่ American Dream ของ Frank Slootman ผ่านการเสนอขายหุ้น IPO มูลค่านับพันๆ ล้านเหรียญนั้นมีจุดเริ่มต้นจากการผลิตที่นั่ง Naugahyde ป้อนเข้าอุตสาหกรรมเรือและยานยนต์ Slootman เกิดที่เนเธอร์แลนด์ โดยมีคุณพ่อเป็นทหารผ่านศึกและคุณแม่เป็นศิลปินวาดภาพบุคคล เขามีชีวิตวัยเด็กที่ถูกควบคุมอย่างเคร่งครัดท่ามกลางความสำเร็จด้านวิชาการและการแข่งขันเรือใบ นอกจากนี้ เขายังเป็นนักศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์ที่โดดเด่นเอามากๆ ที่ Erasmus University Rotterdam และจบการศึกษาเร็วกว่ากำหนด 1 ปีเพื่อคว้าโอกาสฝึกงานในสหรัฐฯ โดยมี IBM เป็นนายจ้างในฝัน อย่างไรก็ตามเขาโดนบริษัทเจ้าของฉายา “Big Blue” ปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่าจนต้อง “คลานกลับขึ้นฝั่งพร้อมเงินติดตัว 100 เหรียญ” (เขาพูดประโยคนี้ให้ลูกจ้างฟังจนจำได้ขึ้นใจ) ที่ South Bend ใน Indiana และได้ฝึกงานอยู่ในอุตสาหกรรมหนังเทียมที่ดูจะเป็นไม้ใกล้ฝั่งเต็มที
บริหารด้วยความเด็ดขาด
Snowflake ก่อตั้งขึ้นเมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2012 ผลงานของ Dageville และ Cruanes ซึ่งเป็นชาวฝรั่งเศสและเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านฐานข้อมูลแห่ง Oracle โดยได้รับการสนับสนุนจาก Sutter Hill ที่มีนักร่วมลงทุนอย่าง Mike Speiser ดำรงตำแหน่งซีอีโอคนแรก บริษัทให้สัญญาว่า พวกเขาจะจัดการคลังข้อมูลที่ในเวลานั้นยังทำงานบนเครื่องเซิร์ฟเวอร์ของลูกค้าให้เหมือนกับที่ Amazon Web Services จัดการงานจัดเก็บข้อมูล Snowflake อาศัยผลการประมวลผลที่ยืดหยุ่นของระบบคลาวด์เสมือนเป็นซูเปอร์คอมพิวเตอร์ขนาดยักษ์เครื่องหนึ่ง ทำให้พวกเขาสามารถระบุและจัดระเบียบข้อมูลมหาศาล (และยังเพิ่มปริมาณอย่างต่อเนื่อง) ของลูกค้าได้ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลผู้บริโภค ยอดขายผลิตภัณฑ์ ต้นทุนต่อหัวของพนักงาน จากนั้นจึงทำการวิเคราะห์ข้อมูล ทั้งหมดอย่างรวดเร็วในราคาที่ย่อมเยามากพอที่จะสร้างประโยชน์ได้อย่างแท้จริง ในปี 2014 หรือ 2 ปีหลังจากที่ Speiser สร้างชื่อเสียงจากการเป็นผู้ขนส่งซอฟต์แวร์ เขายกให้ Muglia ดำรงตำแหน่งซีอีโอแทนตน Muglia ไม่ใช่ผู้บริหารไร้ชื่อ แต่เป็นถึงวิศวกรและเคยเป็น 1 ใน 4 ประธานบริษัท Microsoft ก่อนที่ Steve Ballmer จะมอบหมายให้ Satya Nadella เข้ามารับตำแหน่งแทน ส่วนที่ Snowflake นั้น Muglia เร่งผลักดันบริษัทเข้าสู่ตลาด โดยตั้งราคาเทียบเท่ากับโมเดลการบริโภครายวินาที (by-the-second consumption) ของ Amazon Web Services ซึ่งเป็นการเสนอทางเลือก “ชำระเงินเท่าที่ใช้งานจริง” แทนการสมัครสมาชิกประจำ จากนั้นจึงมุ่งเจาะกลุ่มเป้าหมายไปที่ลูกค้าของ Redshift ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์คู่แข่งของ Amazon เอง Speiser รู้สึกกังวลเกี่ยวกับการมุ่งระดมทุนของ Snowflake จึงติดต่อ Slootman ที่เขารู้จักผ่านคณะกรรมการในการลงทุนอีกแห่งหนึ่งคือ Pure Storage และชวนมาร่วมเป็นคณะกรรมการบริษัท หลังจากที่ Slootman สร้าง ServiceNow จนมีมูลค่าตามราคาตลาด 1.4 หมื่นล้านเหรียญก่อนปี 2017 (ปัจจุบันมีมูลค่าสูงกว่านั้นถึง 7 เท่าตัว) เขาก็หันมาให้ความสำคัญกับการนำการแข่งขันเรือใบอาชีพกลับมาแข่งที่ California พร้อมกับบริหารมูลนิธิเพื่อการอนุรักษ์และสวัสดิภาพของสัตว์จากฟาร์มของเขาที่ Montana พูดง่ายๆ ก็คือ มันน่าเบื่อมาก “ผมเห็นใจนักกีฬาควอเตอร์แบ็กที่ไม่รู้ว่าจะเกษียณอายุตัวเองอย่างไรขึ้นมาทันที” เขากล่าว
คลิกอ่านฉบับเต็ม และบทความทางด้านธุรกิจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนกันยายน 2564 ในรูปแบบ e-magazine
