หุ้น Meta บริษัทแม่ของ Facebook ร่วงลงกว่าร้อยละ 25 ในวันพฤหัสบดีที่ 3 กุมภาพันธ์ 2022 ส่งผลให้บริษัทมีมูลค่า ณ ราคาตลาดสูญหายกว่า 2.3 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ หลังรายงานผลประกอบการรายไตรมาสที่สะท้อนให้เห็นว่า บริษัทมีผู้ใช้ลดลงสวนทางกับค่าใช้จ่ายซึ่งเกี่ยวเนื่องกับโครงการ ‘เมทาเวิร์ส’ ของบริษัทที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ล่าสุด Bloomberg รายงานว่า มูลค่าตลาดของบริษัทที่ลดลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งขณะนี้อยู่ที่ประมาณ 6.7 แสนล้านเหรียญ กำลังก้าวเข้าสู่
‘การทำลายล้างครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ตลาดของสหรัฐฯ’
โดยหุ้นของ
Meta ปรับตัวลงอย่างรวดเร็วหลังบริษัทรายงานผลประกอบการรายไตรมาสล่าสุดที่ต่ำกว่าการคาดการณ์ พร้อมย้ำเตือนถึงความท้าทายหลายประการต่อธุรกิจของบริษัทในปีนี้
จึงไม่น่าแปลกใจที่นักลงทุนหลายรายจะเดินหน้าเทหุ้นของยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีหลังทราบอัตราการเติบโตของผู้ใช้ที่ลดลงและค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นซึ่งเชื่อมโยงกับแผนการของบริษัทที่จะมุ่งเน้นไปที่ “เมทาเวิร์ส” หรือโลกเสมือนจริง
ที่เลวร้ายกว่านั้น Meta รายงานว่า Facebook สูญเสียผู้ใช้รายวันเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ เนื่องจากธุรกิจบนแพลตฟอร์มหลักชะลอตัว โดยผู้บริหารชี้ว่ามีสาเหตุมาจากกระแสความนิยมของ
TikTok ที่เพิ่มสูงขึ้น
ไม่เพียงเท่านั้น Zuckerberg ยังได้นำทรัพยากรส่วนใหญ่ไปลงทุนกับโครงการเมทาเวิร์ส ซึ่งคาดว่าได้ใช้เงินไปมากกว่า 1 หมื่นล้านเหรียญในปีที่แล้ว และมีแนวโน้มจะ “เพิ่มขึ้นอย่างมาก” ในปี 2022 นี้
ด้าน Forbes คาดการณ์ว่า
Mark Zuckerberg ผู้ร่วมก่อตั้ง Facebook มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิลดลง 2.86 หมื่นล้านเหรียญ อยู่ที่ 8.59 หมื่นล้านเหรียญ นับเป็นการปรับลดลงต่ำกว่าระดับ 1 แสนล้านเหรียญเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปีที่ผ่านมา
“นี่ไม่ใช่เพียงไตรมาสที่น่าผิดหวัง แต่เป็นสิ่งที่จะดำเนินต่อไปสำหรับ Meta” Adam Crisafulli ผู้ก่อตั้ง Vital Knowledge กล่าว
“การที่หุ้นจะฟื้นตัวอย่างรวดเร็วนั้นเป็นไปได้ยาก”
ในขณะที่แนวโน้มการเติบโตในระยะสั้นของ Meta นั้น “น่าผิดหวัง” ทว่าปี 2022 จะเป็นอีกปีที่สำคัญของบริษัทในการเดินหน้าเข้าสู่เมทาเวิร์ส ท่ามกลางการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจาก TikTok ความท้าทายที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงโฆษณาในระบบ iOS ของ Apple และการลงทุนที่มากขึ้นในเมทาเวิร์สจะส่งผลกระทบต่อรายได้ Facebook อย่างแน่นอน
ทั้งนี้ นับตั้งแต่ Facebook เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ด้วยการประเมินมูลค่าบริษัทราว 1 แสนล้านเหรียญในปี 2012 บริษัทได้รายงานอัตราการเติบโตของหุ้นทุกปี เว้นเพียงปี 2018 ที่แทนด้วยการรายงานมูลค่าบริษัท ณ ราคาตลาดที่เกือบแตะ 1 ล้านล้านเหรียญ
เพราะฉะนั้นแล้วการรายงานผลประกอบการในไตรมาสล่าสุดและการเทขายหุ้นที่ตามมาจึงเป็น ‘การพลิกผันครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์’ ของบริษัท
ซึ่งเผชิญกับเรื่องอื้อฉาวมานานหลายปี
โดยครั้งสุดท้ายที่หุ้น Facebook ร่วงลงอย่างมากราวร้อยละ 20 เกิดขึ้นในเดือนมีนาคม 2018 หลังบริษัทถูกวิพากษ์วิจารณ์จากความล้มเหลวในการจัดการข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ แต่ก็ใช้ระยะเวลาเพียง 2 เดือนในการฟื้นตัวกลับมาอยู่ที่จุดเดิม
“เราได้เห็นสิ่งนี้เกิดขึ้นในปี 2018 เนื่องจาก Facebook เปลี่ยนรูปแบบการนำเสนอจากฟีดเป็นสตอรี่ . . . การเติบโตของรายได้ชะลอตัวลงเป็นเวลา 3 ใน 4 ก่อนที่จะเร่งขึ้นอีกครั้ง” James Lee แห่ง Mizuho กล่าว
แปลและเรียบเรียงโดย ชญาน์นัทช์ ธนินท์พงศ์ภัค จากบทความ Facebook Faces An ‘Existential Moment’ After $230 Billion Stock Crash เผยแพร่บน Forbes.com
อ่านเพิ่มเติม:
4 เทรนด์พฤติกรรมผู้บริโภค ยุค Metaverse