‘Linda Alvarado’ เจ้าแม่อสังหาฯ ผู้คิดต่าง - Forbes Thailand

‘Linda Alvarado’ เจ้าแม่อสังหาฯ ผู้คิดต่าง

FORBES THAILAND / ADMIN
16 Mar 2022 | 07:22 AM
READ 2234

ขณะที่เป็นนักศึกษา Linda Alvarado ปฏิเสธงานในห้องสมุดไปหางานที่ใช้แรงงาน นับจากนั้นอีกหลายทศวรรษนักธุรกิจใหญ่แห่งเมือง Denver ซึ่งสร้างฐานะด้วยตัวเองคนนี้ก็ได้ท้าทายขนบเดิมๆ ของงานก่อสร้าง อาหารจานด่วน และแม้แต่ในการแข่งเบสบอลเมเจอร์ลีก

Linda Alvarado เดินเข้าไปยังที่นั่งของเธอในสนามแข่งขันนัดรวมดาราของเบสบอลเมเจอร์ลีกปี 2021 ด้วยท่าทางราวกับเป็นนักการเมือง เธอแวะกอดและพูดคุยทักทายทุกคนตั้งแต่พนักงานร้านขายของชื่อ Roy ไปจนถึง Hal Roth ซีเอฟโอของ Colorado Rockies และในช่วงที่มีการฉายวิดีโอไว้อาลัย Hank Aaron ก่อนเกมเริ่ม เธอหยิบมือถือมาถ่ายรูปตัวเองคู่กับภาพนักเบสบอลชื่อดังผู้ล่วงลับ เธอประกาศว่า “เบสบอลอยู่ในสายเลือดของฉัน” Alvarado สวมสูทสีม่วงเหมือนสีหลักของยูนิฟอร์ม Rockies และเธอไม่ใช่แค่แฟนตัวยงทั่วไป ด้วยคำขอของ Roy Romer ผู้ว่าการรัฐ Colorado ในตอนนั้นทำให้เธอกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มนักลงทุนรุ่นก่อตั้งในปี 1991 แม้เธอจะถือหุ้นน้อยนิดแค่ 1% แต่ก็มีนัยสำคัญ เพราะเธอเป็นเจ้าของ MLB ชาวละตินคนแรกและเป็นเจ้าของผู้หญิงคนแรกที่สร้างฐานะด้วยตัวเอง “ฉันไม่ได้ใช้เงินสามี” เธอกล่าว “ฉันนี่แหละ เงินฉันเอง” ตั้งแต่นั้นมาทั้งอิทธิพลและเงินของ Alvarado มีแต่จะโตขึ้นเรื่อยๆ ในวันนี้เราเห็นงานของเธอได้ทุกหนทุกแห่งใน Denver บริษัท Alvarado Construction ที่เธอเป็นเจ้าของทั้งหมดมีผลงานสร้าง Mile High Stadium ของเมือง ซึ่งเป็นสนามของทีม Denver Nuggets และสนามบินนานาชาติ Denver รวมถึงสถานที่สำคัญอื่นๆ ด้วย บริษัทยังเป็นผู้สร้างร้านอาหารส่วนใหญ่ในเครือ Yum! Brands จากทั้งหมด 258 สาขา (Taco Bells, Pizza Huts และ KFC) ซึ่งบริหารโดย Palo Alto Inc. บริษัทบริหารร้านแฟรนไชส์ที่ Alvarado ถือหุ้น 51% และ Robert สามีของเธออีก 49% โดยธุรกิจหลังสุดนี้คิดเป็นทรัพย์สินส่วนใหญ่จากมูลค่า 230 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ของเธอ ที่ได้ทำให้เธอติดอันดับ 1 ใน 100 สตรีที่รวยที่สุดในประเทศด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเอง Alvarado เล่าว่า เธอประสบความสำเร็จเพราะไม่ไขว้เขวไปกับ “วิธีคิดตามขนบ” และนั่นทำให้เธอได้มีโอกาสทดลองสร้างนวัตกรรมอันหลากหลาย รวมถึงร้านดีไซน์ใหม่ของ Taco Bell สำหรับพื้นที่จำกัดกลางเมือง โดยครัวจะอยู่บนชั้น 2 และมีระบบสายพานอัตโนมัติเคลื่อนถาดลงมายังชั้นล่าง ส่วนภูมิหลังของ Alvarado เป็นอะไรที่ไม่ธรรมดา เธอเกิดเมื่อปี 1951 ด้วยชื่อ Linda Martinez ในบ้านดินแบบสเปนขนาด 2 ห้องนอกเมือง Albuquerque ในรัฐ New Mexico น้ำอย่างเดียวที่ไหลในบ้านนั้นคือ น้ำท่วมทุกหน้าร้อน เธอพูดติดตลกว่า “ฉันเคยนึกว่าเราทุกคนไปอยู่ที่สภากาชาดเพื่อพักตากอากาศช่วงหน้าร้อน” พ่อแม่ของ Alvarado สร้างบ้านเก่งโดยธรรมชาติ พ่อของเธอซึ่งเป็นนักเทศน์นิกายโปรเตสแตนต์จากเม็กซิโกและทำงานเป็น รปภ. ที่ Sandia National Laboratory สร้างบ้านดินหลังนั้นด้วยตัวเอง ส่วนแม่ของเธอมักจะพร่ำบอกเหมือนร่ายมนตร์อะไรสักอย่างว่า “Empieza pequeño, pero piensa muy grande” (เริ่มจากเล็กๆ แต่คิดใหญ่ๆ) สิ่งหนึ่งที่แปลกกว่าแรงผลักดันในฐานะผู้อพยพคือ ความมุ่งมั่นของบ้าน Martinez ที่ไม่ให้ลูกสาวทำงานบ้าน “ของผู้หญิง” เพื่อให้เธอตั้งใจเรียนอย่างเดียว ในฐานะลูกคนเล็กจากพี่น้อง 6 คน และเป็นลูกสาวคนเดียว Alvarado จึงถูกคาดหวังให้เล่นกีฬากับพวกพี่ชาย ตามที่พ่อของเธอพูดว่า “มีลูก 6 คนก็ตั้งได้ทีมหนึ่งแล้ว” แต่เมื่อโค้ชสมัยมัธยมปลายบอก Alvarado ว่า เด็กผู้หญิงลงแข่งกระโดดสูงไม่ได้แม่ของเธอเลยบุกไปโรงเรียนและเรียกร้องให้เปลี่ยนกฎ Alvarado ชนะกระโดดสูงและได้รางวัลนักกีฬาหญิงแห่งปี ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันความสามารถด้านกีฬาหลายอย่างของเธอ รวมถึงซอฟต์บอลด้วย  

- ใช้ชีวิตแบบไม่ไขว้เขวไปกับ “วิธีคิดตามขนบ” -

พละพลังที่มีอยู่เต็มกายได้นำพาให้ Alvarado ค้นพบอะไรบางอย่างและมันได้กลายเป็นก้าวย่างสำคัญสำหรับอาชีพด้านการก่อสร้างตอนเป็นนักเรียนทุนสาขาเศรษฐศาสตร์ที่ Pomona College ในรัฐ California เธอปฏิเสธคำแนะนำของทางคณะที่ให้เธอทำงานในห้องสมุดหรือโรงอาหาร แต่เธอขอไปทำงานฝ่ายดูแลสถานที่แทน เธอเล่าว่า เธออธิบายเหตุผลไปแบบนี้ “ฉันไม่ต้องใส่รองเท้าผู้หญิงให้เจ็บ...ฉันจะได้มีผิวสีแทน ได้ทำงานกับหนุ่มโสดเป็นโขยง แถมได้ค่าจ้างอีกด้วย”
ฝึกจากงานจริง ‘Linda Alvarado’ ณ สำนักงานใหญ่ใน Denver เธอเรียนรู้การบริหารโครงการก่อสร้าง ได้เร็วตั้งแต่งานแรก “โชคดีที่ฉันมีหัวหน้าที่ขี้เกียจ” เธอเล่าว่า “เขาสอนฉันหลายอย่าง เพราะอยากเลิกงานเร็วไปตีกอล์ฟ”
ประสบการณ์ทำงานดูแลสถานที่ได้เปิดประตูให้ Alvarado ได้งานที่บริษัทบริหารโครงการก่อสร้างในเมือง Los Angeles หลังเรียนจบในปี 1973 บวกกับอุบายเล็กน้อยเธอคิดว่าที่ได้สัมภาษณ์ก็เพราะเธอใช้แค่ตัวย่อชื่อในใบสมัครเพื่อปกปิดเพศที่แท้จริง มันเป็นวิธีที่เธอใช้ในภายหลังเวลาเซ็นสัญญาประมูลงานก่อสร้าง พวกคนงานก่อสร้างที่มีแต่ผู้ชายส่วนหนึ่งเรียกเธอว่า “spic chick” (ยัยอพยพ) และวาดรูปหยาบคาย เป็นรูป Alvarado เปลือยไว้ในห้องสุขาเคลื่อนที่ในเขตก่อสร้าง แต่เธอชอบเวลาเห็นตึกเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาจากพิมพ์เขียว เธอเลยตัดสินใจว่านี่แหละอาชีพของเธอ เธอลงเรียนด้านการประเมินโครงการ การสำรวจ และการจัดตารางงานด้วยคอมพิวเตอร์ และย้ายไป Colorado พร้อมสามี (เดตแรกคือไปดูการแข่งของทีม Dodgers) ในปี 1976 ตอนอายุ 24 ปี เธอเริ่มตั้งบริษัทของตัวเองโดยเชื่อว่าทักษะด้านคอมพิวเตอร์ที่มีจะทำให้เธอได้เปรียบ “มีคนบอกว่า ฉันต้องล้มเหลวแน่เพราะฉันเสียเปรียบ 2 เด้งจากการมีเชื้อสายสเปนและเป็นผู้หญิง” เธอเล่า “แต่ฉันบอกตัวเองว่า ขนาดในวิชาเลข ลบคูณลบยังได้บวกเลย” หลังจากโดนธนาคาร 6 แห่งปฏิเสธเงินกู้ พ่อแม่ของเธอจึงให้ยืมเงิน 2,500 เหรียญ แต่พวกเขาไม่ได้บอกเธอ จนกระทั่งเธอจ่ายคืนหมดแล้วว่าพวกเขาเอาบ้านไปค้ำเงินกู้ซึ่งอัตราดอกเบี้ย 24% เธอทำตามที่แม่ได้สั่งสอนมาโดยเริ่มรับงานเล็กๆ อย่างเทปูนร่องน้ำและทางเท้า และสร้างหลังคาป้ายรถเมล์ ในที่สุดเธอก็ได้เงินกู้เพื่อธุรกิจขนาดเล็กจากหน่วยงานรัฐบาล โอกาสครั้งสำคัญของเธอมาถึงในปี 1983 เมื่อ Joy Burns นักธุรกิจหญิงผู้ทลายกำแพงทางเพศอีกคนหนึ่งซึ่งก่อตั้ง Women’s Bank of Colorado ได้จ้างเธอปรับปรุง Burnsley Hotel ขนาด 17 ชั้น 80 ห้องในย่านดาวน์ทาวน์ของ Denver บททดสอบครั้งใหญ่เข้ามาในปี 1992 เมื่อช่างเหล็ก 2 คนตกลงมาตายระหว่างที่ Alvarado Construction กำลังสร้างสำนักงานที่สนามบิน Denver และในระหว่างที่งานทุกอย่างหยุดชะงักเพราะหน่วยงานอาชีวอนามัยและความปลอดภัยเข้ามาสอบสวน Alvarado ก็ต้องป้องกันไม่ให้ผู้รับเหมารายอื่นแย่งงานนั้นไป “ฉันต้องกอบกู้ชื่อเสียง ขึ้นมาใหม่” เธอกล่าว ณ วันนี้บริษัทก่อสร้างของเธอมีสำนักงานในรัฐ Arizona, California, Colorado และ New Mexico และกำลังทำโครงการให้ Kaiser Permanente, Xcel Energy และ PG&E  

- หลุดเข้าสู่ธุรกิจฟาสต์ฟู้ดแบบไม่ได้ตั้งตัว -

ระหว่างที่มุ่งมั่นทำบริษัทก่อสร้าง Alvarado ก็หลุดเข้าสู่ธุรกิจฟาสต์ฟู้ดแบบไม่ได้ตั้งตัว ในปี 1984 ขณะที่กำลังสร้างห้างในย่านทรุดโทรมของ Denver และเสาะหาเครือฟาสต์ฟู้ดแบรนด์ดังมาลงพื้นที่ Taco Bell ซึ่งตอนนั้น PepsiCo เป็นเจ้าของไม่คิดจะเสี่ยงเอง แต่ตกลงให้ Alvarado เปิดและบริหารร้านแฟรนไชส์ที่นั่นได้ ซึ่ง Robert ก็กระตือรือร้นที่จะทำ หลายปีต่อมาเมื่อ Taco Bell เสนอขอซื้อร้านคืน สองสามีภรรยาปฏิเสธและขอเปิดร้านที่อื่นเพิ่มอีกด้วย วันนี้ Palo Alto ของพวกเขาเป็นผู้ประกอบการร้านอาหารที่เป็นแฟรนไชส์ที่ใหญ่ที่สุดอันดับที่ 28 ของประเทศ โดยมีรายได้ทั้งปี 325 ล้านเหรียญจากร้านซึ่งส่วนใหญ่อยู่ใน Colorado, New Mexico และ California อดีตซีอีโอของ Yum! Greg Creed กล่าวว่า Alvarado ได้รับความนับถือจากบรรดาผู้บริหารแฟรนไชส์ด้วยกันจากการแบ่งปัน “เคล็ดลับด้านการค้า” ตั้งแต่วัสดุที่ดีที่สุดสำหรับสร้างร้าน จนถึงการจัดไฟ LED ให้น่าสนใจขึ้น และการตรวจสอบร้านด้วยโดรน นอกจากการลดเวลาสร้างร้านอาหารใหม่ สามีภรรยาคู่นี้ยังทดลองทุกอย่างตั้งแต่เครื่องสั่งอาหารกับเครื่องล้างจานดิจิทัล จนถึงการทำร้านอาหารรูปแบบใหม่ทั้งหมด พวกเขาสร้างร้านต้นแบบตามแนวคิด Taco Bell Cantina ซึ่งขายเบียร์และรายการอาหารพรีเมียม และเปิดรายการกีฬาทางทีวีเพื่อพยายามสร้างสถานที่ที่เหมาะสำหรับครอบครัวมาใช้เวลาร่วมกัน Alvarado ยังได้สร้างร้านต้นแบบที่แตกสายมาจาก Taco Bell ชื่อ Live Más (ตั้งชื่อตามแท็กไลน์การตลาดของเครือนี้คือ “Live More” (ใช้ชีวิตให้มากขึ้น) และกำลังทดลองทำตู้คอนเทนเนอร์ให้เป็นร้าน Taco Bell แบบป๊อปอัพด้วย เมื่อพูดถึงแฟรนไชส์สามีภรรยาคู่นี้แบ่งหน้าที่กันชัดเจน Robert มีหน้าที่บริหารกิจการร้านอาหาร แต่ Rob ลูกชายคนโตที่จบจากคณะการโรงแรมและร้านอาหารของ Cornell และมีปริญญาโทบริหารธุรกิจและปริญญาตรีด้านกฎหมายเพิ่งเข้ามารับหน้าที่แทนในช่วงหลัง ส่วน Alvarado ยังคงดูแลงานที่เธอเก่งและรัก นั่นคือการซื้อที่ดินและสร้างอาคาร “ฉันขออยู่ให้ห่างจากคำระคายหูอย่างทำอาหาร ซักล้าง ปัดกวาด”   เรื่อง: MARIA ABREU และ CHRIS HELMAN เรียบเรียง: พินน์นรา วงศ์วิริยะ ภาพ: THEO STROOMER อ่านเพิ่มเติม:
คลิกอ่านฉบับเต็ม และบทความทางด้านธุรกิจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ในรูปแบบ e-magazine