Cloudinary บนเส้นทางที่น้อยคนจะเลือกเดิน - Forbes Thailand

Cloudinary บนเส้นทางที่น้อยคนจะเลือกเดิน

FORBES THAILAND / ADMIN
27 Oct 2021 | 08:00 AM
READ 978
บริษัทเทคโนโลยีที่ขึ้นแท่นเป็นกิจการระดับยูนิคอร์นส่วนใหญ่จะโตขึ้นมาได้โดยอาศัยแรงสนับสนุนทางการเงินจากกองทุน VC ใน Silicon Valley แต่ Cloudinary ไม่ได้เป็นแบบนั้น เพราะกิจการผลิตซอฟต์แวร์ด้านการตลาดแห่งนี้ สามารถทำกำไรได้ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มเปิดกิจการ และก่อสร้างตัวด้วยการยืนบนลำแข้งของตัวเองมาจนมูลค่ากิจการพอกพูนขึ้นจนเกือบจะถึงระดับพันล้านเหรียญสหรัฐฯ แล้ว Itai Lahan ยืนยันอย่างหนักแน่นว่าผู้ประกอบการที่ทะเยอทะยานควรที่จะพึ่งพิงเงินทุนจากนักลงทุนจากธุรกิจเงินร่วมลงทุน (VC) เมื่อไรก็ตามที่มีโอกาส “วิธีเดียวที่จะทำให้บริษัท สามารถก้าวขึ้นแท่นเป็นกิจการระดับพันล้านเหรียญได้อย่างมั่นคงก็คือ อาศัยเงินทุนจาก VC” ซีอีโอของ Cloudinary กล่าว “มันเป็นวิธีที่ช่วยให้บริษัทต่างๆ สามารถบรรลุเป้าหมายนั้นได้จริง” แต่จะว่าไปแล้ว Lahan ก็เข้าข่ายเป็นคนประเภท “พูดอย่างทำอย่าง” เพราะตัวเขาเองปฏิเสธข้อเสนอร่วมลงทุนจากธุรกิจเงินร่วมลงทุนไปครั้งแล้วครั้งเล่านับตั้งแต่ที่ Cloudinary เริ่มก่อตั้งขึ้นในปี 2012 โดยเขากับเพื่อนร่วมชาติอิสราเอลอีก 2 คน มาด้วยกัน คือ Nadav Soferman และ Tal Lev-Ami ร่วมแรงร่วมใจสร้างกิจการสตาร์ทอัพที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ใน Santa Clara รัฐ California ของพวกเขาขึ้นมาด้วยตัวเองจนมีสถานะเกือบจะเข้าขั้นยูนิคอร์นอยู่รอมร่อแล้ว ซอฟต์แวร์ของพวกเขาช่วยให้ CIOs ของกิจการลูกค้าเกือบ 7,500 ราย สามารถบริหารจัดการคอนเทนต์การตลาดออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นวิดีโอ โลโก้ และรูปภาพสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยพอร์ตลูกค้ามีแบรนด์ดังๆ อย่าง Nike, Peloton และ Neiman Marcus รวมอยู่ด้วย สำหรับรายได้ในปีที่แล้วโตราวร้อยละ 40 เป็นประมาณ 70 ล้านเหรียญ และมีการประเมินว่า บริษัทมีมูลค่าอย่างน้อย 900 ล้านเหรียญ โดยบริษัทติดอันดับในทำเนียบ Forbes Cloud 100 ติดต่อกันมา 3 ปีแล้ว Lahan บอกว่า บริษัทไม่เคยจำเป็นต้องใช้เงินทุนจาก VC เลย โดยผู้ก่อตั้งกิจการได้ไอเดียธุรกิจนี้ขึ้นมาตอนที่บริหารบริษัทที่ปรึกษาในอิสราเอล ซึ่งรับหน้าที่พัฒนาเทคโนโลยีให้กับกิจการสตาร์ทอัพอื่นๆ ในตอนนั้นพวกเขาพบว่า ซอฟต์แวร์ที่ต้องใช้ในการบริหารจัดการวิดีโอและรูปภาพมันล้าสมัยไปแล้ว และพวกเขาต้องสร้างอะไรที่ดีกว่านั้นขึ้นมาใช้แทน ซึ่งต่อมาลูกค้าที่ใช้บริการบริษัทที่ปรึกษาของพวกเขาได้กลายมาเป็นลูกค้ากลุ่มแรกๆ ของ Cloudinary กิจการของพวกเขาสามารถทำกำไรได้ทันทีตั้งแต่เริ่มเปิดดำเนินการเลยทีเดียว และนับจากนั้นบริษัทก็สามารถสร้างกระแสเงินสดได้มากเพียงพอที่จะรองรับการเติบโตในแต่ละปีได้ และสามารถเพิ่มจำนวนทีมงานได้จนถึง 300 คน โดยคาดว่า Ebitda ในปีที่แล้วจะอยู่ที่ 6 ล้านเหรียญ คิดเป็นประมาณ 9% ของยอดขาย “เราโชคดีที่เติบโตเร็วตั้งแต่ช่วงแรกๆ” Lahan กล่าว “เราได้เงินจากลูกค้า และมันก็มากเกินกว่าเป้าที่เราตั้งเอาไว้สำหรับปีต่อไปเสียอีกทั้งๆ ที่เราตั้งเป้าไว้สูงมากแล้ว” ทั้งนี้ซอฟต์แวร์ ช่วยให้การปรับขนาดและรูปแบบของคอนเทนต์ดิจิทัลสำหรับอุปกรณ์และเว็บเบราว์เซอร์ที่แตกต่างกัน ซึ่งเป็นงานที่น่าเบื่อสามารถทำได้แบบอัตโนมัติ และทำให้มั่นใจได้ว่าจะสามารถโหลดรูปและวิดีโอได้เร็วทันใจ ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในยุคที่ผู้บริโภคพร้อมจะคลิกหนีไปหน้าอื่นทันทีที่ต้องรอโหลดรูปหรือวิดีโอ นอกจากนี้ Cloudinary ยังใช้ปัญญาประดิษฐ์เพื่อแนะนำวิธีที่ดีที่สุดในการนำเสนอรูปภาพและวิดีโอเพื่อให้ได้รับความสนใจจากผู้ชมมากที่สุด ซึ่งยิ่งมีคอนเทนต์ดิจิทัลผ่านอัลกอริทึมของบริษัทมากเท่าไร ก็ยิ่งทำให้สามารถคาดการณ์ได้แม่นยำมากขึ้นว่า จะมีจำนวนผู้ชมและยอดคลิกมากน้อยแค่ไหน โดยในปัจจุบันมีคอนเทนต์ที่ผ่านกระบวนการประมวลผลและประเมินของ Cloudinary ประมาณ 500-2,000 ชิ้นต่อวินาที บริการต่างๆ ของบริษัทมีส่วนช่วยปกป้องและส่งเสริมแบรนด์ของลูกค้า โดยบริษัทอย่าง Bleacher Report ใช้ซอฟต์แวร์ของบริษัทเพื่อตรวจหาว่าวิดีโอที่คนอัปโหลดมีภาพอนาจารหรือมีเนื้อหาที่ล่อแหลมหรือไม่ เพื่ออ่อยเหยื่อให้ CIO ติดใจในบริการ จากนั้นจึงเปิดให้บริการฟรีสำหรับปริมาณคอนเทนต์ที่จำกัด และคิดเงินจากลูกค้าที่ใช้บริการในปริมาณมาก โดยมูลค่าข้อตกลงต่อปีของบริษัทอาจจะสูงถึงหลายล้านเหรียญเลยทีเดียว ทั้งนี้เมื่อสิ้นปี 2018 Cloudinary บริหารสินทรัพย์ดิจิทัลคิดเป็นมูลค่า 2.5 หมื่นล้านเหรียญ และเพิ่มเป็น 5 หมื่นล้านเหรียญเมื่อปลายปีที่แล้ว ซึ่งน่าจะยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องแม้ว่ากระแสอี-คอมเมิร์ซที่บูมเพราะสถานการณ์โรคระบาดจะแผ่วลงไป จากข้อมูลของ Adobe ยอดขายสินค้าออนไลน์ของสหรัฐฯ ในปี 2020 เพิ่มขึ้นจาก 42% ในปีก่อนหน้าเป็น 8.13 แสนล้านเหรียญ และคาดว่าจะทะลุ 1 ล้านล้านเหรียญเป็นครั้งแรกในปี 2022 บางบริษัทคลาวด์ชื่อดัง ซึ่งรวมไปด้วยผู้ผลิตซอฟต์แวร์สำหรับจัดการโครงการอย่าง Atlassian และ Qualtrics บริษัทวิเคราะห์ข้อมูลจาก Utah ถูก SAP เข้าซื้อกิจการด้วยราคา 8 พันล้านเหรียญ และพวกเขาก็พัฒนาขึ้นมาโดยไม่ได้พึ่งพาใครจนมีขนาดใหญ่มากก่อนที่จะเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ Jason Lemkin ซีอีโอของ SaaStr ซึ่งเป็นกิจการ VC กล่าวว่า ถ้าหากกิจการสตาร์ทอัพด้านคลาวด์สามารถสร้างแฟนพันธุ์แท้ได้ตั้งแต่ช่วงแรกที่เริ่มก่อตั้ง การตลาดแบบบอกต่อจะช่วยรักษาต้นทุนของกิจการให้อยู่ในระดับต่ำ “เมื่อคุณทำรายได้สัก 2-3 ล้านเหรียญแล้ว...คุณก็จะมีกระแสเงินสดเป็นบวก เพราะลูกค้า (ในปัจจุบัน) ของคุณจะช่วยสร้างกระแสลูกค้าในอนาคตให้กับคุณเอง” อย่างไรก็ตามมีสตาร์ทอัพเพียงไม่กี่แห่งหรอกที่จะโชคดีแบบนั้น Lahan จึงคิดว่า ผู้ประกอบการเกือบทุกรายควรเลือกใช้เงินทุนจาก VC ในช่วงที่กำลังเร่งหารายได้อยู่ “มันเป็นเกมตัวเลข” เขาบอก “มันถูกคิดมาอย่างดีแล้ว (การใช้เงินทุนจาก VC) มีข้อดีมากมายมหาศาลเลยทีเดียว” แต่ข้อเสียก็มีเหมือนกัน นั่นคือ สตาร์ทอัพนั้นจะต้องทนกับเสียงของนักลงทุนในคณะกรรมการ ซึ่งมักจะทั้งผลักและดันให้บริษัทเข้าตลาดหุ้นให้ได้ แต่กลุ่มผู้ก่อตั้ง ไม่ต้องเป็นกังวลกับเรื่องนี้ (บริษัทไม่มีคณะกรรมการด้วยซ้ำ) ทั้งนี้หลังจากเกิดสถานการณ์โรคระบาดขึ้นทางบริษัทก็หยุดจ้างพนักงานเพิ่ม แต่ไม่ได้ไล่ใครออก นอกจากนี้ บริษัทยังปรับลดเป้ารายได้ปี 2020 ลงเกือบ 8 ล้านเหรียญ เพื่อลดแรงกดดันต่อพนักงาน และยังช่วยผ่อนภาระทางการเงินของลูกค้าด้วยการเลื่อนกำหนดชำระเงินและให้ส่วนลดกับลูกค้าด้วย ข้อดีอีกหนึ่งข้อของการไม่มีนักลงทุนภายนอกมาถือหุ้นในบริษัทก็คือ ผู้ก่อตั้งทั้งสามรายยังคงถือหุ้นเกินกว่าเกินครึ่งอยู่เล็กน้อย และพนักงานของบริษัทถือหุ้นส่วนที่เหลือ ทั้งนี้พนักงานสามารถขายหุ้นบางส่วนออกไปได้ ทำให้มีบริษัท VC จำนวน 2 แห่งคือ Bessemer Venture Partners และ Salesforce Ventures เข้ามาถือหุ้นส่วนน้อยในบริษัทได้ แต่สัดส่วนการถือหุ้นของทั้งสองบริษัทยังอยู่ในระดับที่ต่ำมาก อย่างไรก็ตามถึงที่สุดแล้ว Lahan อาจจะทำตามคำแนะนำของเขาเองก็ได้ “ผมมั่นใจว่าถึงที่สุดแล้วเราจะต้องการเงินทุน (จากภายนอก)” เขาบอก “เมื่อถึงเวลาที่เราต้องการมัน ถ้าหากการเสนอขายหุ้น IPO เป็นหนทางที่ถูกต้อง เราก็จะขายหุ้น IPO” แต่เขายังบอกใบ้ว่า ยังมีทางเลือกอื่นๆ อีก ซึ่งรวมถึงการขายหุ้นให้กับนักลงทุนประเภท VC โดยตรง ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นก็เท่ากับว่า Lahan กลืนน้ำลายตัวเอง เรื่อง: Martin Giles เรียบเรียง: พิษณุ พรหมจรรยา ภาพ: Christie Hemm Klok  
คลิกอ่านฉบับเต็ม และบทความทางด้านธุรกิจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนกันยายน 2564 ในรูปแบบ e-magazine