ลงทุนให้ได้กำไรในกิจการสีเขียว - Forbes Thailand

ลงทุนให้ได้กำไรในกิจการสีเขียว

FORBES THAILAND / ADMIN
07 Mar 2018 | 02:14 PM
READ 9889

เจ้าของธุรกิจคุณธรรมลงทุนอย่างยั่งยืนเพื่อปกป้องโลก ขณะที่ Karina Funk ลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทน

Karina Funk จิบน้ำราสเบอร์รี่โซดา พลางบรรยายคุณงามความดีของ Ball Corporation แห่ง Broomfield รัฐ Colorado บริษัทที่เป็นเจ้าของกระป๋องเครื่องดื่มอะลูมิเนียมซึ่งผลิตในทวีปอเมริกาเหนือถึง 43% ผู้จัดการการลงทุนสาวลงทุนก้อนโตใน Ball เธอมองว่าบริษัทดำเนินกลยุทธ์เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ซึ่งจะทำให้ได้เปรียบในการแข่งขัน “พวกเขาออกแบบฝาบนให้มีโครงสร้างที่แข็งแรง โดยใช้วัตถุดิบน้อยลง จึงได้เปรียบด้านต้นทุนมากกว่า” Funk เล่าขณะซดซุปถั่วเลนทิล เธอบอกว่าอะลูมิเนียมสามารถนำมารีไซเคิลได้ง่ายกว่าและมีราคาถูกกว่าพลาสติกหรือแก้ว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะใช้น้ำน้อยกว่า “Ball กำลังขยายธุรกิจในบราซิล และยังช่วยให้ภูมิภาคเหล่านี้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายความยั่งยืนด้วยการเปลี่ยนจากแก้วมาเป็นกระป๋อง” ที่ Brown Advisory บริษัทบริหารการเงินใน Baltimore นั้น Funk รับหน้าที่บริหารกลยุทธ์การลงทุนอย่างยั่งยืนมูลค่า 1.1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ นอกจากนี้เธอยังรับประทานมังสวิรัติ ทำงานอยู่ในสำนักงานของบริษัทที่ Boston และใส่ใจสิ่งแวดล้อมอย่างสุดหัวใจ แต่ละวันเธอขี่จักรยานเป็นระยะทาง 7 ไมล์ไปทำงานแม้กระทั่งในฤดูหนาว เธอกับสามีมีรถยนต์ของครอบครัวเพียง 1 คันและนำมาขับใช้งานเพียงเดือนละ 2 ครั้ง Karina Funk แห่ง Brown Advisory: การเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมไม่ใช่การล้างผลาญต้นทุนอีกต่อไป Funk คือผู้จัดการกองทุนเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน (Sustainable Growth Fund) ของ Brown Advisory ร่วมกับ David Powell ผู้จัดการกองทุนร่วมที่ขับรถยนต์ Prius แม้ว่าทั้งคู่ต่างสนใจเรื่องความยั่งยืน แต่เมื่อพูดถึงการบริหารกองทุนแล้ว ผลกระทบในด้านบวกที่มีต่อสิ่งแวดล้อมเป็นเพียงประเด็นรองเท่านั้น “ความยั่งยืนคือวิธีการค่ะ แต่ไม่ใช่ผลลัพธ์ปลายทาง” Funk กล่าว “เป้าหมายสุดท้ายของเราคือผลประกอบการ ซึ่งจะให้ได้อย่างนั้นเราต้องหาบริษัทที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง โดยดำเนินกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนเพื่อให้ดียิ่งขึ้นไปอีก” นับตั้งแต่ Brown เปิดตัวกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ที่มีการเติบโตอย่างยั่งยืน (Large-Cap Sustainable Growth) ในปี 2009 ปัจจุบันแนวทางดังกล่าวถือหุ้น 34 บริษัท ทำผลตอบแทนหลังค่าธรรมเนียมสุทธิ 15.6% ต่อปี และยังมีการเติบโตสูงถึง 50% นับตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมาเมื่อเปรียบเทียบกับดัชนี Russell 1000 Growth ที่ให้ผลตอบแทน 14.5% แม้ว่าจะเป็นเพียงสัดส่วนเล็กๆ ของทรัพย์สิน Brown Advisory ที่มีมูลค่ารวมทั้งสิน 6 หมื่นล้านเหรียญ วิธีการของ Funk และ Powell คือ ค้นหาบริษัทที่เข้าหลักเกณฑ์ 3 ข้อด้วยกัน คือ มีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง มีมูลค่าน่าสนใจ มีการลงทุนเชิงรุกในด้านกลยุทธ์เพื่อความยั่งยืน ไม่ใช่แค่เพื่อลดความเสี่ยงและป้องกันปรากฏการณ์สำคัญๆ อย่างการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศเท่านั้นแต่เพื่อที่จะคว้าโอกาสทางเศรษฐกิจด้วย Funk บอกว่า บริษัทชั้นนำในสหรัฐฯ บางแห่งบอกกับเธอว่า “นี่ไง รายงานด้านความยั่งยืนของเรา ดูสิว่าเราใช้พลังงานหมุนเวียนตั้งแค่ไหน” ซึ่งเธอจะถามกลับไปว่า “ถ้าอย่างนั้นทำไมประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของคุณจะต้องสนใจเรื่องนี้ด้วยล่ะ” ถ้าพวกเขาตอบไม่ได้ ก็แปลว่าบริษัทไม่ได้กำลังเชื่อมโยงกลยุทธ์ระยะยาวเพื่อความยั่งยืนเข้ากับกลยุทธ์ทางธุรกิจในระยะยาว และเธอก็ไม่สนใจจะลงทุนด้วย การลงทุนด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการ (ESG) มีความหมายแตกต่างกันออกไปสำหรับผู้จัดการการเงินแต่ละคน หลายคนตัดอุตสาหกรรมบางกลุ่มออกไปอย่างสิ้นเชิง เช่น เชื้อเพลิงฟอสซิลหรือยาสูบ ขณะที่บางคนอาจให้ความสำคัญกับความหลากหลายขององค์กร ส่วน Funk กับ Powell จะสนด้านการพัฒนาเชิงเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม แม้ว่าทั้งสองจะไม่ได้ถือหุ้นในบริษัทบุหรี่ เครื่องดื่มมึนเมา เกมอาวุธ หรือเชื้อเพลิงฟอสซิลเลย แต่พวกเขาก็ไม่ได้มีกฎเหล็กห้ามลงทุนในบริษัทเหล่านี้ David Powell ผู้จัดการร่วมกองทุนเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน: ทำปุ๋ยจากขยะแต่เพียงอย่างเดียวไม่ช่วยให้ผ่านมาตรฐานได้หรอก ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของกองทุนคือ Ecolab ซึ่งเป็นผู้ผลิตสารเคมีสำหรับล้างจานให้กับภัตตาคารต่างๆ รวมถึงผลิตภัณฑ์อื่นๆ Ecolab ลงทุนมหาศาลให้กับการวิจัยและพัฒนา เพื่อที่จะลดปริมาณการใช้น้ำและพลังงานในการล้างจาน ลูกค้าเองก็เล็งเห็น ขณะที่กองทุนลงทุนใน Ecolab ไป 47 เหรียญเมื่อปี 2010 เวลานี้ราคาซื้อขายอยู่ที่ราว 130 เหรียญเข้าไปแล้ว Funk กับ Powell เรียกความสอดคล้องของกลยุทธ์ธุรกิจกับกลยุทธ์เพื่อความยั่งยืนว่า “ความได้เปรียบทางธุรกิจอย่างยั่งยืน” ในการลงทุนนั้น ทั้งสองจะต้องเชื่อได้ว่าความได้เปรียบดังกล่าวจะส่งผลให้รายรับเติบโต ลดต้นทุน หรือเพิ่มมูลค่าแบรนด์ให้ได้เสียก่อน การลงทุนที่น่าสนใจบางครั้งจึงยังไม่เข้าตา ทั้งนี้ Powell มองว่า Sherwin-Williamsเป็น “บริษัทสีที่ยอดเยี่ยมมาก” แต่รายงานความยั่งยืนซึ่งมีบอกเล่าถึงพฤติกรรมต่างๆ เช่น การนำขยะมาทำปุ๋ยในห้องนั่งเล่นนั้นยังไม่น่าจะทำให้ตัวเลขผลประกอบการเปลี่ยนไปจากเดิมได้ อีกตัวอย่างคือ Tesla ซึ่งมีกระแสเงินสดที่น่าผิดหวังและแม้กระทั่งFunk เองยังไม่มั่นใจในความสามารถที่จะขยายกิจการนั้น ทำให้เธอจำต้องคัดหุ้นของบริษัทที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแห่งนี้ ออกจากพอร์ตการลงทุนเช่นกัน สำหรับนักลงทุนแล้ว สิ่งที่บอกได้อย่างชัดเจนคือตรวจสอบผลประกอบการ จากนั้นจึงเลือกยาตัวที่คุณต้องการได้เลย เรื่อง: JEFF KAUFLIN เรียบเรียง: ปาริชาติ ชื่นชม
คลิ๊กอ่านฉบับเต็ม "ลงุทนให้ได้กำไรในกิจการสีเขียว" ได้ที่ Forbes Thailand ฉบับ กุมภาพันธ์ 2561 ในรูปแบบ e-Magazine