ชาวอเมริกันนับล้านสูญเสียชีวิต และผู้คนอีกจำนวนมากได้รับผลกระทบระยะยาวจาก โควิด-19 ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขมาไตร่ตรองว่าอะไรบ้างที่เราพลาดไป อะไรที่เราทำถูก แล้วอนาคตดูเป็นเช่นไรบ้าง
เดือนมีนาคมปี 2020 ทุกคนก็ตระหนักได้ถึงความจริงที่ว่า โควิด-19 ได้คลืบคลานเข้ามายังสหรัฐฯ แล้วเมื่อ NBA ประกาศระงับฤดูกาล และนั่นก็เหมือนเป็นใบอนุญาตให้ผู้เล่นในแวดลงอื่นๆ ปิดตัวลงชั่วคราว ไม่ก็สั่งให้ทำงานจากบ้าน ณ ตอนนั้น มีตัวเลขผู้ติดเชื้อที่ยืนยันแล้วราวๆ 3,000 คน และมีผู้เสียชีวิตจากโควิดราวๆ 60 คน
อีก 2 ปีต่อมา ตัวเลขก็ทับถมกันมาเรื่อยๆ และจากตัวเลขคร่าวๆ จาก Johns Hopkins University ณ วันพุธที่ 9 มีนาคมนี้แสดงให้เห็นว่า มีเคสผู้ป่วยติดโควิดที่ได้รับการยืนยันแล้วมากกว่า 79 ล้านราย และจำนวนผู้เสียชีวิตรวมมากกว่า 960,000 ราย ผู้คนนับล้านต้องได้รับการรักษาในโรงพยาและอีกนับล้านรายงานว่าพวกเขายังคงมีอาการอยู่แม้ว่าจะผ่านมาแล้วหลายอาทิตย์ หรือหลายเดือนก็ตาม โดยไม่รู้เลยว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร
“มันสูงกว่าที่ผมคิดไว้อย่างมหาศาล” Robert Wachter หัวหน้า Department of Medicine ประจำ University of California, San Francisco กล่าว “โดยเฉพาะเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2020 ที่มีการประกาศว่า เรามีวัคซีนที่มีประสิทธิภาพถึงร้อยละ 95 แล้ว”
Amanda Castel ศาสตราจารย์ด้านการแพร่กระจายของโรคจาก Milken Institute School of Public Health แห่ง George Washington University กล่าวในอีเมลว่าเธอเองก็ประหลาดใจเช่นกันที่สถานการณ์โรคระบาดยังคงมีอยู่จนถึงทุกวันนี้ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับการคาดการณ์ในช่วงแรกๆ ของเธอ “หากมองย้อนกลับไป ฉันคิดว่า ฉันนั้นเต็มไปด้วยความหวังมันจะหยุดเองได้เหมือนกับตอนที่ซาร์สระบาด”
สถานการณ์โรคระบาดที่เลวร้ายที่สุดเป็นเพียงความหลัง นี่คือสิ่งที่เหล่าผู้เชี่ยวชาญบอกกับทาง Forbes นี่ก็เพราะว่า ช่วง 2 ปีแรกทำให้เราได้มีเครื่องมือที่จะสู้กับทั้งโควิดและสถานการณ์โรคระบาดที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้ แต่พวกเขาก็ได้กล่าวว่า หากเพิกเฉยต่อสถานการณ์โรคระบาดที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศที่มีรายได้ตำ่กว่า นั่นอาจจะทำให้สายพันธุ์ใหม่ๆ กลับเข้ามาในรั้วสหรัฐฯ ได้อีกครั้ง
หนึ่งในบทเรียนที่เหล่าผู้เชี่ยวชาญไม่คาดคิดว่าพวกเขาจะได้เรียนรู้คือ พวกเขาได้เรียนรู้ว่าการตอบสนองต่อสถานการณ์โรคระบาดนี้แบ่งเป็นสองขั้วได้มากขนาดไหน โดยเฉพาะยิ่งเวลาผ่านไปเรื่อยๆ “ฉันประหลาดใจ และรู้สึกตื่นกลัวที่ได้เห็นว่ามุมมองทางการเมืองต่อสถานการณ์โควิด-19 มันแบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันได้ถึงขนาดไหน ในรัฐบางรัฐในสหรัฐ (อย่างเช่น ฟลอริดา เมื่อเร็วๆ นี้) ก็มีการสนับสนุนมาตรการด้านสาธารณสุขที่ตรงข้ามกับความจริงทางวิทยาศาสตร์ (และสามัญสำนึก) โดยตรงเลย” Steffanie Strathdee รองคณบดีด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพโลกแห่ง University of California, San Diego กล่าวในอีเมล
ความลึกซึ้งและความรุนแรงของความโกรธเกรี้ยวด้านการเมืองต่อเจ้าหน้าที่สาธารณสุขก็เป็นเรื่องที่น่าตกใจเช่นกัน Castel กล่าว “แค่คิดว่าหัวหน้าเจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุขตั้งแต่ระดับท้องถิ่น จนไปถึงระดับรัฐ และระดับประเทศได้รับข้อความขู่ฆ่าและโดนฟ้องเพียงเพราะคำแนะนำของพวกเขาที่มีหลักฐานรองรับก็เป็นเรื่องที่รับไม่ได้แล้ว”
“มันน่าเศร้า เพราะว่าผลของสิ่งนั้นคือ ผู้คนนับร้อย นับพันเสียชีวิต โดยพวกเขาอาจจะไม่ตายหากผู้คนตอบรับต่อเรื่องนี้โดยใช้วิทยาศาสตร์เป็นหลัก ไม่ใช่ความเห็นด้านการเมือง” Wachter เสริม
Wachter ยังได้กล่าวอีกว่า มันยากมากที่จะเข้าใจถึงตัวเลขของผู้ต่อต้านวัคซีนหากเทียบกับตอนก่อนที่สถานการณ์โรคระบาดจะเกิด “กลุ่มต่อต้านวัคซีนเคยมีจำนวนค่อนข้างน้อยและประปราย” เขากล่าว “และท่าทางว่านี่จะมาจากทั้งกลุ่มฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา บางทีดูเหมือนจะมาจากทางฝ่ายซ้ายมากกว่า”
สถานการณ์โรคระบาดที่เลวร้ายที่สุด (น่าจะ) เป็นเพียงความหลัง
“อีก 3-4 ปีข้างหน้า เราน่าจะ หวังว่านะ จะได้เห็นโรคโควิด-19 แปรตัวกลายเป็นเพียงความท้าทายด้านสาธารณสุขที่จะมีตัวเลขผู้เจ็บป่วยและเสียชีวิตน้อยลงมาก” Anand Parekh ประธานที่ปรึกษาการแพทย์แห่ง Bipartisan Policy Center กล่าวในอีเมล แต่สิ่งนี้จะไม่เกิดขึ้นถ้าเราปล่อยมันไว้เฉยๆ โดยเขาได้เสริมมาอย่างรวดเร็วว่า “จำเป็นจะต้องมีการเข้าถึงการป้องกัน การตรวจ และการรักษาที่ง่าย”
“ผมคิดว่าแนวทางที่น่าจะเป็นไปได้ที่สุดคือสิ่งที่คล้ายๆ กับสิ่งที่เป็นอยู่ในตอนนี้” Wachter กล่าว “โดยมีตัวเลขพุ่งขึ้นที่ไม่ได้สูงมากและเกิดขึ้นเป็นภูมิภาคๆ ไป บางทีอาจจะเกิดขึ้นตามฤดูกาล หรือบางทีอาจจะเกี่ยวข้องกับสถานะของวัคซีนในแต่ละภูมิภาค”
สิ่งที่ไม่มีใครรู้เลยในการคาดเดาครั้งนี้คือ เราไม่รู้เลยว่าจะมีโควิดสายพันธุ์ใหม่ๆ เกิดขึ้นอีกหรือไม่ โดย Strathdee ได้เตือนเราความเสี่ยงนั้นก็สูงเลยทีเดียวหากประเทศรายได้สูงทั้งหลายเลือกที่จะเพิกเฉยต่อสถานการณ์โรคระบาดที่กำลังเกิดขึ้นในที่อื่นๆ บนโลกใบนี้ “หากเราไม่ทำให้แน่ใจว่าประเทศที่มีรายได้ต่ำ และปานกลางสามารถเข้าถึงความเจริญก้าวหน้าด้านการแพทย์อย่างวัคซีน และการบำบัดได้ สายพันธุ์ใหม่ๆ ก็จะเกิดขึ้นและคุกคามเราทุกคน”
Long Covid อาจจะมีผลกระทบระยะยาว
ความท้าทายที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อที่พุ่งขึ้นในปีที่ 3 ของสถานการณ์โรคระบาดนี้ Wachter กล่าวว่า ความท้าทายนั้นคือผลกระทบจาก Long Covid ที่ยังเราไม่รู้อะไรมากเท่าไรนัก หากการประมาณขั้นตั้นที่เสนอว่า ผู้คนมากถึงร้อยละ 10 ถึง 20 กำลังเจอกับอาการที่ยังคงไม่หายไปสักที “นั่นคือผู้คนสิบกว่าล้าน และนั่นก็จะส่งผลกระทบต่อแรงงาน แล้วนั่นก็จะไปส่งผลกระทบต่อสมรรถนะทางเศรษฐกิจ”
นอกจากนั้น Castel ยังเสริมว่า Long Covid จะส่งผลกระทบอย่างหนักต่อระบบบริการสุขภาพเช่นกัน “จนกว่าเราจะรู้ว่าจะสามารถป้องกันและรักษา Long Covid ได้อย่างไรมากกว่านี้ เราคาดได้เลยว่าภาระก้อนโตจะตกไปอยู่กับระบบบริการสุขภาพในอนาคตอันใกล้นี้แน่นอน”
“ความชุกของ Long Covid ที่สูงนี้ก่อให้เกิดทุพพลภาพได้” Strathdee กล่าว “ซึ่งนั่นส่งผลกระทบตั้งต่อสุขภาพจิตและสุขภาพกาย รวมไปถึงคุณภาพชีวิตได้ ฉันไม่คิดว่าเรายังไม่เข้าใจดีว่านี่เป็นปัญหาใหญ่ขนาดไหน”
Wachter กล่าวว่าหนึ่งในสิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือ งานวิจัยในช่วงแรกๆ เตือนว่าโควิดอาจจะก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพในระยะยาว ต่างจากโรคทางระบบทางเดินหายใจส่วนมาก อีกทั้งยังมีงานวิจัยที่เผยแพร่เมื่อไม่นานมานี้ที่แสดงให้เห็นว่าแม้จะไม่รับผลกระทบจากการติดโควิดรุนแรงนัก แต่หลายต่อหลายครั้งก็เห็นได้ว่าผู้ที่ได้รับเชื้อได้รับความเสียหายในสมองมากกว่าผู้ที่ไม่เคยติดโควิดเลย
อีกหนึ่งอย่างที่พวกเขาค้นพบคือ ผู้ติดเชื้อโควิดมีอัตราเสี่ยงต่ออาการหัวใจล้มเหลวและอาการเส้นเลือดในสมองแตกอย่างเฉียบพลัน “หากนั่นเป็นจริงหล่ะก็ เรากำลังพูดถึงความเสี่ยงใหม่ที่ประชากรเกือบร้อยละ 40 ต้องเผชิญ” เขากล่าว “ความเสี่ยงที่สูงพอๆ กับคนที่มีความดันเลือดสูง หรือสูบบุหรี่ และนั่นก็เป็นปัญหาใหญ่มาก”
เครื่องมือสู้กับโรคในอนาคต
ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขเห็นตรงกันว่าโควิด-19 จะอยู่กับเราไปอีกนาน และนี่ก็ไม่ใช่สถานการณ์ครั้งสุดท้ายที่เราจะเผชิญด้วย พวกเขากล่าวว่า ช่วงเวลา 2 ปีที่ผ่านมานี้ ทำให้พวกเขาได้เข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าพวกเขาต้องเตรียมตัวอย่างไรหากมีการระบาดของโรคร้ายแรงเช่นนี้อีก
เมื่อพูดถึงไวรัสในช่องทางเดินหายใจอย่างโควิด-19 Strathdee กล่าวว่า “เราต้องมีหน้ากาก N95 ที่เข้ากับรูปหน้า ฟิลเตอร์ HEPA และสบู่ล้างมือดีๆ สักก้อน”
“การสวมใส่หน้ากากอนามัยเป็นอะไรที่ควรผลักดันตั้งแต่ช่วงแรกๆ ของสถานการณ์โรคระบาดแล้ว ดังที่ประเทศอื่นๆ เขาทำกัน” Parekh กล่าวอย่างเห็นด้วย และ Castel ก็เห็นด้วยเช่นกัน “หน้ากากอนามัยใช้ง่ายมากๆ หาซื้อก็ไม่ยากนัก และมีการทดสอบแล้วว่ามันมีประสิทธิภาพทั้งในการป้องกันผู้ส่วมใส่และผู้คนรอบๆ”
อีกหนึ่งเครื่องมือหลักที่จะช่วยสู้กับสถานการณ์โรคระบาดคือการตรวจหาโรค โดย Wachter กล่าวว่า “เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่เราทำผิดมหันต์ในช่วงแรกๆ คือการที่ไม่พยายามกระจายชุดตรวจดีๆ ออกไปอย่างรวดเร็ว” เขากล่าว “โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผมคิดว่านะ เราช้ามากๆ ในเรื่องพวกชุดตรวจที่ตรวจเองได้ ไม่ว่าจะเป็นทั้งการพัฒนาและกระจายชุดตรวจเหล่านั้นก็ตาม”
Esther Krofah กรรมการบริหารแห่ง FasterCures และ Center for Public Health ณ Milken Institute กล่าวว่า หนึ่งในสิ่งที่เกิดขึ้นในสงครามโควิดนี้คือการร่วมมือด้านการวิจัยระหว่างนักวิทยาศาสตร์ บริษัทต่างๆ และภาครัฐเพื่อที่จะผลิตวัคซีนและวิธีการรักษาอย่างรวดเร็ว นั่นเป็นบางสิ่งที่เธอหวังว่าจะคงอยู่ต่อไป
“เราต้องมั่นใจว่าเราสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่จะช่วยให้การร่วมมือในอนาคตเป็นไปได้” เธอกล่าว โดยนอกจากสร้างโครงสร้างพื้นฐานแล้ว เธอยังกล่าวอีกว่าเราต้องสร้าง “และความพยายามในก้าวต่อๆ ไปที่จะเปลี่ยนค่านิยมในวงการวิจัยทางการแพทย์ให้ตรงกับความต้องการเร่งด่วนของผู้ป่วย”
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเสนอว่าเราต้องมานั่งคิดเรื่องที่ตกเป็นข้อโต้เถียงในช่วงสถานการณ์โรคระบาดนี้ ซึ่งนั่นก็คือ การปิดโรงเรียน “หนึ่งในบทเรียนที่เราได้เรียนรู้กันคือผลกระทบแง่ลบของการปิดโรงเรียนต่อเด็กๆ” Wachter กล่าว “และผมคิดว่านี้จะมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของพวกเราครั้งต่อไป”
“การเรียนการสอนออนไลน์ แม้จะเกิดขึ้นอย่างประปรายเพราะจำเป็น ก็เป็นสิ่งที่เราควรนำพิจารณาอย่างใกล้ชิดสำหรับอนาคต หากเกิดการแพร่ระบาดของไวรัส เพื่อลดความเสี่ยงของนักเรียนและบุคคลากร และบุคคลากรที่ทำงานกับเด็กและผู้ปกครองโดยตรง” Parekh กล่าว
โรงพยาบาลต้องมีความพร้อมสำหรับโรคระบาดในอนาคตมากกว่านี้
โควิด-19 ส่งผลกระทบต่อโรงพยาบาลอย่างรุนแรง ทั้งหมอและพยาบาลที่ทำงานกันอย่างหักโหมจนแทบจะหมดไฟในช่วงสถานการณ์โรคระบาดที่ตัวเลขพุ่งสูง ท่ามกลางเตียงในแผนกผู้ป่วยหนักและแผนกอื่นๆ ที่เต็มแม้จะเพิ่มจำนวนแล้วก็ตาม ทางเหล่าผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า นั่นหมายความว่าโรงพยาบาลทั้งหลายต้องหาทางเพิ่มจำนวนเตียงให้ได้
“การเติมคลังและแพร่กระจายอุปกรณ์การแพทย์ฉุกเฉิน เพิ่มจำนวนบุคคลากรด่านหน้า และทำให้แน่ใจว่าระบบบริการด้านสุขภาพที่ใช้ทุนของรัฐบาลกลางกำลังทำอย่างเต็มที่” Parekh กล่าว
ส่วนทาง Wachter กล่าวว่าความท้าทายครั้งใหญ่สำหรับโรงพยาบาลทั้งหลายคือการเพิ่มความจำนวนเตียงให้ได้โดยไม่เข้าเนื้อตัวเอง “ไม่มีใครสามารถแบกรับค่าใช้จ่ายในการมีเตียงว่างเยอะๆ เผื่อเอาไว้ หรือมีจำนวนบุคคลกรการแพทย์เยอะๆ ได้” เขากล่าว อย่างไรก็ตาม สิ่งที่โรงพยาบาลทำได้คือมีอุปกรณ์และชุดป้องกันเชื้อโรคสำหรับบุคคลกรทางการแพทย์เก็บไว้ในคลัง “สิ่งที่ไม่ได้แพงหูฉี่ แต่เป็นอะไรที่คุณอยากมีเก็บไว้ในห้องใต้ดิน”
นอกเหนือจากการเตรียมตัวสำหรับตัวเลขที่พุ่งขึ้นในอนาคตให้ดีกว่านี้แล้ว ทางโรงพยาบาลทั้งหลายเองก็ต้องสามารถที่จะระบุภัยที่จะมาถึงได้ตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อที่จะได้ออกมาตรการสาธารณสุขที่เหมาะสมได้ โดย Strathdee กล่าวว่า “ฝ่ายสาธารณสุขและโรงพยาบาลต่างๆ ต้องพร้อมที่จะสอดส่องดูแลให้ได้ดีกว่านี้ ซึ่งนั่นก็หมายถึงการต้องมีระบบที่จะรายงานอย่างเป็นเวลาด้วย”
Castel สนับสนุนให้ทางโรงพยาลและเจ้าหน้าที่สาธารณสุขสื่อสารกันอย่างใกล้ชิดกว่านี้ “ส่วนมากแล้ว โรงพยาบาลทั้งหลายเป็นสถานที่เผ้ายาม และเป็นสถานที่แรกที่ผู้คนที่ติดเชื้อจะเสาะหาการดูแลรักษา ดังนั้นพวกเขาต้องสามารถทำงานกับสาธารณสุขได้อย่างใกล้ชิดเพื่อที่สามารถช่วยเหลือกันตรวจหาโรคแพร่ระบาดให้เจอได้อย่างรวดเร็ว”
สร้างความไว้ใจขึ้นมาใหม่ และสู้กับความเพิกเฉย
“การตอบรับต่อสถานการณ์โรคระบาดที่จะมีประสิทธิภาพต้องมี 3 อย่างด้วยกัน ความเป็นผู้นำด้านการเมือง ความเป็นเอกภาพระดับประเทศ และทรัพยากรที่มีทันเวลา” Parekh กล่าว และสองสิ่งแรกเป็นสิ่งที่หายากที่สุดตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา ผู้เชี่ยวชาญรายหนึ่งเผยความกังวลกับ Forbes โดยเขาเผยว่าความแตกแยกทางการเมืองแบบแบ่งขั้ว “ทำให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขไม่สามารถออกมาตรการตอบโต้ได้อย่างเต็มที่ในอนาคต”
อีกหนึ่งความท้าทายที่ประจักษ์ต่อเหล่าผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพในช่วงสถานการณ์โรคระบาดที่ผ่านมาไม่ได้มีเพียงปัญหาด้านการเมือง แต่คือความเพิกเฉยด้วย “ในวันที่ 24 พฤษภาคม 2020 ทาง New York Times ได้ออกปกพาดหัว ‘ผู้เสียชีวิตในสหรัฐฯ เกือบแตะ 100,000 การสูญเสียที่คำนวนไม่ได้’ และพวกเขาก็พิมพ์รายชื่อผู้เสียชีวิตดังที่เคยทำเมื่อเกิดเหตุ 9/11 ในเดือนธันวาคม 2020 ไม่นานนักหลังจากที่วัคซีนเริ่มมีอยู่ทั่วไป ตัวเลขผู้เสียชีวิตก็เข้าใกล้ 300,000 แต่ทาง Times ไม่ได้ลงเรื่องคล้ายๆ กันเลย (และก็ยังไม่ได้ลง)” Krofah กล่าว “ฉันกลัวว่าเราเฉยชากับตัวเลขไปแล้ว”
Wachter กล่าวว่า หากมีการพุ่งของตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิดอีกในไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ ก็คงเป็นเรื่องยากแล้วที่จะทำให้ผู้คนมีปฏิกิริยาตอบโต้ “ทุกคนรู้สึกไม่สนใจเรื่องนี้กันไปแล้ว” เขากล่าว “และความคิดที่ว่าคุณต้องกลับมาหลบๆ ซ่อนๆ อีกครั้งน่ะหรอ นั่นคงจะเป็นเรื่องยากมากที่เดียวที่จะโน้มน้าวให้พวกเขากลับมาทำแบบนั้นอีกครั้ง”
ผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆ เห็นด้วยว่าการแยกการเมืองออกจากสาธารณสุขจะกลายเป็นสิ่งที่จำเป็นในการที่จะสู้กับโรคระบาดในอนาคต โดยสิ่งที่สำคัญคือการสร้างความเชื่อใจในสถาบันต่างๆ ขึ้นมาใหม่ ตอบกลับด้วยการสื่อสารที่ชัดเจนและมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์หนุนหลัง แต่บางคนก็กล่าวว่า ในขณะเดียวกัน นี่ก็เป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นในปฏิสัมพันธ์ระหว่างเราทุกคนในทุกๆ วัน
สำหรับ Castel แล้ว สิ่งที่จำเป็นต้องมีคือความรู้สึกถึงความเป็นคอมมิวนิตี้เดียวกันที่เห็นได้ในช่วงแรกๆ ของสถานการณ์โรคระบาด อย่างตอนที่ “เพื่อนบ้านทั้งหลายอาสาช่วยเหลือผู้สูงอายุ และผู้คนที่เปราะบางกว่าจ่ายตลาด หรือไม่ก็ผลิตหน้ากากอนามัย หรือบริจาคอาหารให้กับบุคคลากรการแพทย์ที่ทำงานหามรุ่งหามค่ำ” เธอกล่าว “หากปราศจากความรู้สึกถึงความเป็นคอมมิวนิตี้นี้ เราจะมาไม่ถึงตรงที่ที่เรายินอยู่ในวันนี้เลย และฉันได้แต่เพียงหวังว่าหากเราต้องเผชิญกับโรคระบาดอีกครั้ง เราจะร่วมมือกันอีกครั้งในการพยายามที่จะช่วยเหลือและสนับสนุนซึ่งกันและกัน”
แปลและเรียบเรียงจากบทความ Covid Year Three Will Be Better, Experts Agree, Unless Rich Countries Ignore The Pandemic Elsewhere เผยแพร่บน Forbes.com
อ่านเพิ่มเติม: Rihanna เตรียมนำ Savage X Fenty เข้าทำ IPO ภายในต้นปีนี้
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine