<h2>HUBLOT เปิดตัวนาฬิกา Big Bang Unico Green SAXEM สีเขียวมรกตโปร่งแสงผลิตจากวัสดุ SAXEM เวอร์ชันใหม่ ด้วยผิวสัมผัสแวววาวและดีไซน์หรูหรา มีความแข็งแกร่งทนทานใกล้เคียงกับแซฟไฟร์ เรือนเวลาสุดหรูรุ่นใหม่นี้จึงผลิตออกมาให้ควรค่าแก่การสะสมเพียง 100 เรือน </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ด้วยแนวคิดไอเดียที่เรียบง่ายบางอย่างแต่กลับมีผลในทันที สำหรับคนอื่นอาจจะต้องใช้ทักษะความชำนาญ และเทคนิคต่างๆ เป็นอย่างมาก แต่สำหรับการผลิตวัสดุอย่าง SAXEM เราใช้เวลาในการวิจัยและพัฒนาราวๆ เกือบ 2 ปี จึงสามารถรังสรรค์วัสดุที่ประกอบขึ้นทางเคมีให้มีทนทานราวกับเนื้อวัสดุจากแซฟไฟร์ และยังมีโทนสีเขียวโปร่งแสงแบบสม่ำเสมอสวยงาม ทั้งหมดนี้ถือเป็นความสมบูรณ์แบบที่เหล่าบรรดานักสะสมนาฬิกาเรือนหรูต่างมองหาเป็นอันดับแรกของแบรนด์ Hublot นั่นก็คือ เอกลักษณ์ และ ความแตกต่าง”&nbsp; Ricardo Guadalupe ซีอีโอ ของ Hublot กล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ความโดดเด่นของตัวเรือนที่ทำจาก SAXEM ที่มีความทนทานประหนึ่งแซฟไฟร์นั้น ถือเป็นการผลิตด้วยทักษะความเชี่ยวชาญโดยเฉพาะจากทาง Hublot เพราะเป็นโลหะผสมจากอะลูมิเนียมออกไซด์ ซึ่งเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของแซฟไฟร์ และแร่ rare earth ที่หาได้ยาก​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false" style="min-width: 100%; width: 50%;"><figure style="margin: auto; width: 50%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/03/AkcqGCwbAEmvWgjee91D.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="AkcqGCwbAEmvWgjee91D.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="50%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="50," style="width: 100%;" data-index="0"></figure></div>​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/03/TLKFSannfaWpep63FxSb.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="TLKFSannfaWpep63FxSb.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้วยเฉดสีที่โปร่งแสง มีความแวววาวอย่างเห็นได้ชัด คือ นวัตกรรมแห่งกระบวนการผลิต SAXEM ที่สร้างความท้าทายแก่ Hublot เป็นอย่างมาก นับตั้งแต่ที่เริ่มผลิตในปี 2019 จากการเปิดตัวครั้งแรกของรุ่น Big Bang MP-11 หลังจากนั้นจึงได้พัฒนาต่อเนื่องจนเกิดเป็นรุ่นสีเหลือง Neon Yellow และ สีเขียวมรกต Emerald&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับ Big Bang Unico Green SAXEM รุ่นใหม่นี้ มาพร้อมกับตัวเครื่อง HUB1280 UNICO 2 โดยฟังก์ชันจับเวลานั้นได้รับการพัฒนาใหม่ให้เป็นระบบ Flyback หรือให้กดเริ่มจับเวลาครั้งใหม่ได้ทันทีโดยไม่ต้องกดหยุดและรีเซ็ตเข็มก่อน ถือเป็นอีกหนึ่งฟังก์ชันใหม่ล่าสุดสำหรับตระกูล Big Bang SAXEM ที่ผลิตออกมาเพียง 100 เรือนเท่านั้น สร้างความดึงดูดใจให้แก่เหล่านักสะสมที่นิยมความแตกต่างอย่างมีระดับได้ครอบครอง​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false" style="min-width: 100%; width: 50%;"><figure style="margin: auto; width: 50%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/03/szcMNa5BbtH74RF9gHA4.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="szcMNa5BbtH74RF9gHA4.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="50%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="50," style="width: 100%;" data-index="2"></figure></div>​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false" style="width: 50%; min-width: 100%;"><figure style="margin: auto; width: 50%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/03/u7KRan6B1Se6fbvF3ACz.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="u7KRan6B1Se6fbvF3ACz.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="50%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="50," style="width: 100%;" data-index="3"></figure></div> ​​​​เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ&nbsp;:&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/forbes-life/the-eye/my-grand-seiko-my-pride-luxury-watch-brand-iconic-sakura-model" alt="My Grand Seiko My Pride แบรนด์นาฬิกาลักชัวรีระดับโลก ถ่ายทอดความภูมิใจผ่านรุ่นไอคอนิก Sakura">My Grand Seiko My Pride แบรนด์นาฬิกาลักชัวรีระดับโลก ถ่ายทอดความภูมิใจผ่านรุ่นไอคอนิก Sakura</a>​ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

HUBLOT เผยโฉมใหม่ Big Bang Unico Green SAXEM 'เขียวมรกตโปร่งแสง' ทนทาน หรูหรา ผลิตออกมาเพียง 100 เรือน

​ทั้ง Big Bang อันเป็นรุ่นไอคอนิก กลไก Unico ที่ผลิตในโรงงานของตนเอง และเซรามิก วัสดุที่ผู้ผลิตนาฬิกาแบรนด์นี้เลือกสรร<div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/06/WGJskEFMXv2rvx5VrBo8.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="WGJskEFMXv2rvx5VrBo8.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="0"></figure></div>ต้อนรับซัมเมอร์ กับเฉดสีอันเป็นที่นิยมสูงสุดของโลก อย่าง สีฟ้า ที่เปรียบเสมือนสัญลักษณ์แห่งพรมแดนใหม่ๆ เพื่อค้นหาแรงบันดาลใจสู่การออกเดินทางและการสำรวจครั้งใหม่ สัมผัสความรู้สึกอิสระไปกับสีสันของ&nbsp;Big Bang Unico Sky Blue 42 mm&nbsp;สะท้อนความหมายของท้องฟ้าอันสว่างไสวและเปล่งประกาย โดยโทนสีนี้ยังให้ความรู้สึกสนุกสนาน เชื่อมโยงมายังสีของตัวเรือนเซรามิก โดยเซรามิกคือวัสดุที่ทาง&nbsp;Hublot&nbsp;มีความเชี่ยวชาญ นับตั้งแต่ปี ค.ศ.&nbsp;2019&nbsp;ทางแบรนด์ได้สร้างสรรค์เซรามิกสีสันสดใสและจดสิทธิบัตรเป็นครั้งแรกในโลก นับจากนั้นเป็นต้นมา ทางแบรนด์ได้คิดค้นเซรามิกในหลากหลายโทนสีที่สามารถนำมาใช้งาน เช่นเดียวกับ&nbsp;Big Bang Unico Sky Blue&nbsp;ที่ประกาศชัยชนะแห่งนวัตกรรมสู่วัสดุไฮเทคอันล้ำสมัยที่พร้อมจะเดินทางไปกับคุณในทุกๆ ที่<div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/06/XQJ7mFaHyRK2j2ind9bw.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="XQJ7mFaHyRK2j2ind9bw.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="1"></figure></div><div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/06/gE39PzkgaM4mPT9cFGGB.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="gE39PzkgaM4mPT9cFGGB.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="2"></figure></div><div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/06/CLQ4BRLMATMD3U71FmRf.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="CLQ4BRLMATMD3U71FmRf.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="3"></figure></div>ด้วยหน้าปัดที่คล้ายกับท้องฟ้าอันสดใสไร้ก้อนเมฆ เผยให้เห็นคอลัมน์วีลของกลไกจักรกลไขลานอัตโนมัติโครโนกราฟ คาลิเบอร์ HUB1280 (เอชยูบี1280) พลังงานสำรอง 72 ชั่วโมง ที่ผลิตขึ้นภายในโรงงานของตัวเอง ขณะที่กลไก Unico (ยูนิโค) นี้ทำหน้าที่ติดตามการเดินทางของเวลา Big Bang Unico Sky Blue ก็ชวนให้สัมผัสถึงความสว่างไสวและไร้กาลเวลา เข็มชี้และเครื่องหมายบอกเวลาเรืองแสงสีขาว ส่วนสกรูไอคอนิกทั้งหกตัวของแบรนด์โดดเด่นอยู่บนสีฟ้าของขอบตัวเรือนทำจากเซรามิกที่ตกแต่งด้วยงานขัดเงาและขัดด้านแบบซาติน พัฒนาขึ้นโดยใช้กระบวนการผลิตเฉพาะหนึ่งเดียวของแบรนด์ ในการนำเสนอซึ่งเฉดสีพิเศษและมอบซึ่งความสะดวกสบายด้วยคุณสมบัติที่ไม่ทำให้เกิดอาการระคายเคืองหรือแพ้ ทั้งยังสามารถปรับไปตามอุณหภูมิของผิว รวมถึงมีน้ำหนักเบาและทนทานสูงต่อการเกิดอ็อกซิเดชันและการเกิดรอยขีดข่วน ผลงานนี้จึงนับเป็นสหายอันสมบูรณ์แบบสำหรับทุกกิจกรรมในฤดูร้อนของคุณ Big Bang Unico รุ่น Summer ใหม่ล่าสุดนี้มาพร้อมกับสาย Velcro (เวลโคร) และตัวล็อกสายแบบสปอร์ต เช่นเดียวกับสายเวอร์ชันปกติที่ทำจากยางธรรมชาติเดินลายเส้นซึ่งเป็นไอคอนิกของแบรนด์ที่มาพร้อมหัวเข็มขัดปรับได้ทำจากไทเทเนียม ผลงานนาฬิกาที่ผลิตขึ้นในจำนวนจำกัดเพียง 200 เรือนรุ่นนี้ มีจำหน่าย ณ e-boutique (อี-บูติก)&nbsp;และบูติกทั้ง 130 แห่งของแบรนด์ที่ตั้งอยู่ในเมืองหลักๆ อันเป็นไอคอนิกและเอ็กซ์คลูซีฟของโลก&nbsp;สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ <a href="https://www.instagram.com/hublot/" alt="@Hublot">@Hublot</a> <a href="https://www.instagram.com/hublot_bangkok/" alt="@Hublot_Bangkok">@Hublot_Bangkok</a><div class="se-component se-video-container __se__float-none" contenteditable="false" style="width: 100%;"><figure style="width: 100%; height: 56.25%; padding-bottom: 56.25%; margin: 0px;"><iframe src="https://www.youtube.com/embed/DiqKPM5Qg6k" data-proportion="true" data-percentage="100%,56.25%" data-size="100%,56.25%" data-align="none" data-file-name="DiqKPM5Qg6k" data-file-size="0" data-origin="100%,56.25%" style="width: 100%; height: 100%;" data-index="0"></iframe></figure></div>

BIG BANG UNICO SKY BLUE หลอมรวมไว้ซึ่งสามองค์ประกอบคลาสสิคของ Hublot

แบรนด์ชั้นนำเปิดตัวที่สุดนาฬิกาหรู ในงาน Watches and Wonders Geneva 2023

<h2>แบรนด์สัญชาติสวิส HUBLOT เปิดตัว Big Bang Unico Summer Purple เรือนเวลาชั้นสูงใหม่เกาะเทรนด์มาแรงในฤดูร้อนนี้ พร้อมปลุกความสดชื่นด้วยเฉดสีสันอันโดดเด่น สดใส</h2>
สาวกแฟชั่นทั่วโลกลงมติว่าสีสันสดใส อันโดดเด่นได้หวนกลับอีกครั้งในฤดูกาลนี้ เห็นได้จากเทรนด์ Color blocking ตามงานแฟชั่นโชว์ต่างๆ จัดขึ้นตามมหานครแห่งแฟชั่นทั่วโลก ความสดใสและเต็มไปด้วยสีสันเหล่านี้ได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับแคมเปญใหม่ “Summer in the City” ของ HUBLOT และการเปิดตัว Big Bang Unico Summer Purple นาฬิกา Summer edition ใหม่ของนาฬิการุ่นดังประจำแบรนด์อย่าง Big Bang Unico มาในโฉมใหม่ด้วยลุคสีม่วงทั้งเรือน 
<img class="alignnone wp-image-65764 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/07/Hublot_Big-Bang-Unico-Summer-Purple_441.UL_.5820.NR-Horizontal2.jpg" alt="HUBLOT เปิดตัว Big Bang Unico Summer Purple ต้อนรับฤดูร้อน" width="631" height="480" />
ตัวเรือน 42 มม. ทำจากอลูมิเนียม วัสดุน้ำหนักเบาอันทันสมัย ตัวเรือนอโนไดซ์ตกแต่งด้วยงานขัดแต่งซาติน และขัดเงาในโทนสีม่วงทั้งหมด เข็มชี้และเครื่องหมายขีดบอกเวลามาในเฉดสีม่วงเดียวกัน เสริมความสามารถในการมองเห็นและเติมเสน่ห์ให้กับเรือนเวลาด้วยสัมผัสของสารเรืองแสงสีขาว ซึ่งเป็นสีที่เกิดขึ้นจากกระบวนการสร้างสรรค์เฉพาะ รับประกันได้ถึงความทนทานเหนือระดับ หมดกังวลเรื่องรอยขีดข่วนและการกระแทกต่างๆ


<figure><img class="wp-image-65762 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/07/Hublot_Big-Bang-Unico-Summer-Purple_441.UL_.5820.NR-PR-HR-B-2.jpg" alt="HUBLOT เปิดตัว Big Bang Unico Summer Purple ต้อนรับฤดูร้อน" width="679" height="480" /><figcaption> สายยางธรรมชาติ</figcaption></figure>
Big Bang Unico รุ่นฤดูร้อนนี้ ขับเคลื่อนด้วยกลไก HUB1280 manufacture caliber กลไกจักรกลโครโนกราฟที่มาพร้อมกับคอลัมน์วีลซึ่งสามารถมองเห็นได้ผ่านทางหน้าปัด อีกทั้งเรือนเวลาหรูสีสันสดใสนี้ยังมอบพลังงานสำรองได้ 72 ชั่วโมงอีกด้วย
นอกจากนี้ เพื่อให้รับกับลุคสีม่วงทั้งเรือน Big Bang Unico รุ่นต้อนรับฤดูร้อนนี้ยังมาพร้อมกับสายสองเส้นในสีเดียวกัน โดยสายแรกมาในรูปแบบของสาย Velcro เย็บตะเข็บสีเดียวกันผนึกด้วยตัวพับล็อกสายสไตล์สปอร์ต ส่วนสายเส้นที่สองเป็นสายยางธรรมชาติอันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ ทั้งสองสายมาพร้อมระบบ One-Click และตัวพับล็อกสายสามารถถอดเปลี่ยนได้


<figure><img class="wp-image-65763 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/07/Hublot_Big-Bang-Unico-Summer-Purple_441.UL_.5820.NR-PR-HR-B.jpg" alt="" width="679" height="480" /><figcaption> สาย Velcro</figcaption></figure>
นาฬิกาเรือนนี้ถูกออกแบบมาให้เข้ากับทุกคน แต่ใช้ว่าทุกคนจะสามารถเป็นเจ้าของได้ นาฬิกา Big Bang Unico เฉดสีม่วงนี้มีในจำนวนจำกัดเพียง 200 เรือนเท่านั้น ดังนั้น หากคุณสนใจก็สามารถช้อปได้ผ่านช่องทางออนไลน์ e-Boutique ของ HUBLOT และบูติกทั้ง 125 แห่งของแบรนด์ทั่วโลก
<img class="alignnone size-full wp-image-65761" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/07/Hublot_Big-Bang-Unico-Summer-Purple_441.UL_.5820.NR-FD-HR-B.jpg" alt="" width="600" height="480" />
Ricardo Guadalupe ซีอีโอแห่ง HUBLOT กล่าวถึงเรือนเวลาเรือนนี้ว่า “ฤดูร้อนนี้ ทาง HUBLOT ได้เฉลิมฉลองให้กับสีสัน ด้วยธีม “Summer in the City” ซึ่งฤดูกาลนี้จะอาบไปด้วยเฉดสีอันโดดเด่น สดใส และแคมเปญที่เต็มไปด้วยสีสัน”
และได้กล่าวต่ออีกว่า “การเปิดตัวบิ๊ก แบง ยูนิโค ซัมเมอร์ สีม่วงซึ่งสิ่งประดิษฐ์แห่งเครื่องบอกเวลาชั้นสูงนี้ ถือเป็นการบ่งบอกถึงความทันสมัยแห่งแฟชั่นอย่างแท้จริง” 
อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/the-red-passion-project-%e0%b8%aa%e0%b8%b1%e0%b8%87%e0%b8%aa%e0%b8%a3%e0%b8%a3%e0%b8%84%e0%b9%8c%e0%b9%80%e0%b8%9e%e0%b8%b7%e0%b9%88%e0%b8%ad%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%81.html">“The Red Passion Project” สังสรรค์เพื่อการกุศลสไตล์ Campari</a>


<hr />
<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

HUBLOT เปิดตัว Big Bang Unico Summer Purple ต้อนรับฤดูร้อน

4 ความใหม่จาก HUBLOT ในงาน WATCHES & WONDERS 2022

<h2>อยากจะโชว์สีนาฬิกาที่แท้จริงของคุณไหม? ณ ตอนนี้ได้มี นาฬิกาหรู หลายชิ้นงานที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาโดยได้แรงบันดาลใจมาจากสายรุ้ง ซึ่งมีให้เลือกแบบจัดเต็มครบทุกสี</h2>
บางคนเลือกที่จะฉลองกับสีสันบนหน้าปัดกับแบรนด์ นาฬิกาหรูอย่าง Roy G. Biv ขณะที่คนอื่นๆ ชอบสีสันที่แต่งแต้มบนตัวเลขบอกเวลาบนหน้าปัด แน่นอนชิ้นงานแห่งเวลาที่น่าตื่นตาตื่นใจมากที่สุดคือ ชิ้นสุดท้ายแห่งสายรุ้ง ที่ประดับด้วยเพชรสีจากการบรรจงสร้างสรรค์ขึ้นมาด้วยความประณีต พร้อมแต่งแต้มด้วยเพชรพลอยที่รายล้อมอยู่ในตัวเรือน แต่กระนั้น ชิ้นงานเหล่านี้มีสนนราคาสูงลิ่วเลยทีเดียว

&nbsp;

<img class="alignnone size-full wp-image-46682" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/06/Breitling.jpg" alt="" width="250" height="400" />
Breitling
Superocean Heritage ’57 Limited Edition

Breitling - Superocean Heritage ’57 Limited Edition นาฬิกาที่นำมาสร้างสรรค์ใหม่ จากนาฬิกาดำน้ำยุค 1950s โดยรุ่นพิเศษที่เข็มบอกเวลาเป็นสีรุ้งผลิตเพียง 250 เรือนในโลกเท่านั้น หน้าปัดและขอบสร้างจากวัสดุ Ceramic สีน้ำเงิน พร้อม Diving Scale ที่หมุนได้ 2 ทิศทางเหมือนรุ่นวินเทจ หลักชั่วโมงและเข็มบอกเวลาเป็นสีรุ้ง ตัวเรือนทำจาก Stainless Steel ขนาด 42 มิลลิเมตร กระจกหน้า Sapphire พร้อมเคลือบตัดแสงสะท้อน

&nbsp;

<img class="alignnone size-full wp-image-46683" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/06/Hublot.jpg" alt="" width="250" height="400" />
Hublot
Big Bang Unico Rainbow King Gold

Hublot - Big Bang Unico Rainbow King Gold ขนาด 42MM ตัวเรือนทำมาจาก King Gold 18K โดดเด่นด้วยหน้าปัดแบบโชว์กลไกภายในเครื่อง กลไกนาฬิกาขับเคลื่อนด้วยกลไกชุด Caliber HUB4700 (Chronograph) ทั้งนี้ Big Bang Unico Rainbow ผลิตออกมา 2 ขนาดคือขนาดหน้าปัด 42 มิลลิเมตร และขนาด 39 มิลลิเมตร

&nbsp;

&nbsp;

<img class="alignnone size-full wp-image-46684" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/06/Mido.jpg" alt="" width="250" height="400" />
Mido
Ocean Star Decompression Timer 1961 Limited Edition

Mido - Ocean Star Decompression Timer 1961 Limited Edition นาฬิกาที่ผลิตจำนวนจำกัด 1,961 เรือน พร้อมระบุหมายเลขประจำเรือนกำกับไว้ ณ ตำแหน่ง 6 นาฬิกาบนฝาหลัง ความพิเศษมาพร้อมสายนาฬิกา 3 เส้น สายสเตนเลสสตีลถัก สายหนังวัวสีดำ และสายหนังเคลือบสีดำ

ด้านกลไกอัตโนมัติ ความถี่การทำงาน 21,600 ครั้งต่อชั่วโมง จำนวนทับทิมรวม 25 ชิ้น สำรองพลังที่สะสมได้สูงสุดถึง 80 ชั่วโมง ด้านฝาหลังสลักรูปปลาดาว สัญลักษณ์ดั้งเดิมของตระกูล Ocean Star ในอดีต

<img class="alignnone size-full wp-image-46685" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/06/Parmigiani.jpg" alt="" width="250" height="400" />
Parmigiani
Tonda 1950 Tourbillion Double Rainbow

Parmigiani - Tonda 1950 Tourbillion Double Rainbow แบรนด์หรู Parmigiani ยกให้นาฬิกาหรูเรือนนี้เป็นงานศิลปะที่ถ่ายทอดฝีมือจากช่างอัญมณีที่ล้ำค่า ตัวเรือนสี Rose Gold ตกแต่งด้วยเพชร แซฟไฟร์ และอัญมณีที่ครบเฉดสี ด้วยขนาดหน้าปัด 40.20 มิลลิเมตร กลไกตูร์บิญองอัตโนมัติ ตัวเรือนบาง 3.4 มิลลิเมตร สำรองพลังงานได้ 48 ชั่วโมง สายหนังเลือกใช้หนังจาก Hermes

&nbsp;

<hr />

<a href="https://bit.ly/2SaUkIQ">คลิกอ่านบทความทางด้านธุรกิจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนพฤษภาคม 2564 ในรูปแบบ e-magazine</a>

<img class="alignnone wp-image-46468" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/06/183075132_2828850270663378_8969776902339753079_n.jpg" alt="" width="300" height="394" />

นาฬิกาหรู : เวลาแห่งสายรุ้ง

<h2 class="p1">Hublot (อูโบลท์) เปิดตัวนาฬิกา บิ๊ก แบง (Big Bang) เป็นครั้งแรกในปี 2005 และนับจากนั้นเป็นต้นมา นาฬิการุ่นนี้ก็ได้กลายเป็นตัวแทนของประเพณีการประดิษฐ์นาฬิกาสวิสแห่งสหัสวรรษที่สาม กระทั่งในปี ค.ศ. 2018 เวอร์ชั่น คอนเนคเต็ด (connected) รุ่นแรกของบิ๊ก แบง ก็ได้เปิดตัวขึ้นครั้งแรก</h2>
ศิลปะแห่งการผสมผสาน (Art of Fusion) ของแบรนด์ ที่เป็นการผสมผสานระหว่างประเพณีและนวัตกรรม วัสดุอันล้ำสมัยและเทคโนโลยีดิจิทัลล่าสุด 
เพื่อต้อนรับการแข่งขันฟุตบอลโลก ปี 2018 (2018 Football World Cup) ในรัสเซีย Hublot ได้เปิดตัวนาฬิกาคอนเนคเต็ดรุ่นแรกของแบรนด์ภายใน บิ๊ก แบง เรฟเฟอรี 2018 ฟีฟ่า เวิลด์ คัพ รัสเซีย (Big Bang Referee 2018 FIFA World Cup RussiaTM) ซึ่งติดตั้งด้วยการพัฒนาทางเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดที่ต่อยอดมาสู่เทคโนโลยีซึ่งสามารถสวมใส่ได้
โดยอุปกรณ์อันน่าทึ่งนี้ได้ถูกใช้งานทั้งโดยกรรมการตัดสินบนสนามแข่งขันและเหล่าแฟนฟุตบอล เสมือนดั่งสเตเดียมภาพที่พวกเขาสามารถมีส่วนร่วมในการแข่งขัน และสองปีต่อมา Hublot ก็ได้หวนคืนด้วยผลงานรุ่นใหม่ บิ๊ก แบง อี นาฬิกาคอนเนคเต็ดวอทช์ที่ติดตั้งด้วยเทคโนโลยีล่าสุด ซึ่งสามารถประยุกต์ใช้ได้กับทุกๆ รหัสการออกแบบอันเป็นต้นตำรับของบิ๊ก แบง ทั้งหมด
<img class="alignnone size-full wp-image-30784" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/06/big-bang-e-04.jpg" alt="" width="720" height="480" />
นาฬิกาอิเล็กทรอนิกส์ถูกสร้างสรรค์ขึ้นในสวิตเซอร์แลนด์ โดยการใช้กลไกควอตซ์ในยุค 1970s และห้าสิบปีต่อมา เรากำลังสืบทอดซึ่งสายเลือดแห่งนวัตกรรมเดียวกัน ด้วยการผลิตนาฬิกาสมาร์ทวอทช์รุ่นที่สอง ซึ่งบรรจุไว้ด้วยความซับซ้อน ล้ำสมัยทางเทคโนโลยีระดับสูงสุด
ขณะเดียวกันก็เป็นตัวแทนสื่อถึงคุณค่าแห่งความสวยงามในทุกมิติ บวกด้วยคุณสมบัติและความเป็นเลิศทางเทคนิคที่ผนึกความมั่นใจได้ถึงชื่อเสียงของคอลเลคชั่น บิ๊ก แบง และอุทิศศรัทธาอันแรงกล้ามากยิ่งขึ้นต่อคติพจน์ “Art of Fusion” ศิลปะแห่งการผสมผสานของเรา เราต้องการให้นาฬิกา บิ๊ก แบง อี หลอมรวมเป็นหนึ่งซึ่งวัสดุทางเทคนิคอันล้ำสมัยสูงสุดของ Hublot เข้ากับนวัตกรรมล่าสุดจากโลกดิจิทัลของวันนี้
<img class="alignnone size-full wp-image-30783" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/06/big-bang-e-02.jpg" alt="" width="600" height="480" />
บิ๊กแบง อี เต็มไปด้วยเทคโนโลยีอันซับซ้อนและล้ำสมัย เรือนเวลารุ่นนี้สอดรับอย่างสมบูรณ์แบบเข้ากับประเพณีการประดิษฐ์นาฬิกาของ Hublot ผ่านรหัสการสร้างสรรค์ทั้งหมดที่ได้ช่วยสร้างซึ่งชื่อเสียงของแบรนด์ และทำให้เป็นที่รู้จักอย่างทันทีโดยเหล่าผู้ซึ่งหลงใหลในเรือนเวลาและสาธารณชนเช่นกัน พันธุกรรมที่ดีนี้จึงส่องประกายแสงเจิดจรัสได้เสมอ!
ด้วยตัวเรือนซึ่งตัดออกจากวัสดุต่างๆ อาทิ เซรามิกสีดำหรือไทเทเนียม ภายใต้โครงสร้างแบบ “แซนด์วิช” สไตล์แห่งนวัตกรรมที่คิดค้นและประดิษฐ์ขึ้นโดย Hublot ในปี 2005 ด้วยความซับซ้อนอย่างสูงสุด
ตัวเรือนนี้ประกอบขึ้นจากชิ้นส่วนถึง 42 ชิ้น โดย 27 ชิ้นในนี้เป็นส่วนหนึ่งของ เค โมดูล (K Module) เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ขณะที่ “กรง” ทำหน้าที่บรรจุไว้ด้วยหัวใจดิจิทัลของนาฬิกา
<img class="alignnone size-full wp-image-30782" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/06/big-bang-e-01.jpg" alt="" width="720" height="480" />
ส่วนงานออกแบบของสกรูและปุ่มกด กระจกคริสตัลแซฟไฟร์กันรอยขีดข่วน และสายยาง-พร้อมทั้งหัวเข็มขัดปรับได้ที่คิดค้นขึ้นโดย Hublot ในปี ค.ศ. 1980 สำหรับนาฬิการุ่นคลาสสิค (Classic) และระบบ วัน คลิก (One Click) ซึ่งผ่านการจดสิทธิบัตรสำหรับถอดเปลี่ยนสลับสายได้อย่างง่ายดาย ล้วนเป็นองค์ประกอบที่แสดงออกถึงความอัจฉริยะของ Hublot อย่างไร้ข้อกังขา ผ่านองค์ประกอบหนึ่งสู่องค์ประกอบหนึ่งที่หลอมรวมกันเป็นนาฬิกา บิ๊ก แบง อย่างแท้จริง! 
นาฬิกา บิ๊ก แบง อี มีให้เลือกในตัวเรือนขนาด 42 มม. ทำจากไทเทเนียมหรือเซรามิก ขณะที่ตัวเลขบอกชั่วโมงสีโลหะติดตั้งอยู่ใต้กระจกคริสตัลแซฟไฟร์กันรอยขีดข่วนซึ่งหุ้มทับด้วยหน้าจอทัชสกรีนความละเอียดสูง AMOLED และเหมือนกันกับในเวอร์ชั่นนาฬิกาจักรกลของบิ๊ก แบง ที่เม็ดมะยมปรับหมุนได้ของรุ่นนี้ยังผสานไว้ด้วยปุ่มกดสำหรับเปิดการใช้งานและควบคุมโมดูลอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งพัฒนาขึ้นโดยความร่วมมือกับแบรนด์อื่นๆ ภายใน LVMH Group นาฬิการุ่นนี้จึงสามารถปรับประยุกต์และบรรจบกับทุกๆ ความต้องการของอูโบลท์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
<img class="alignnone size-full wp-image-30784" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/06/big-bang-e-04.jpg" alt="" width="720" height="480" />
Hublot ยังถ่ายทอดความเชี่ยวชาญทางประเพณีการประดิษฐ์นาฬิกาลงสู่สิ่งแวดล้อมทางดิจิทัลใหม่ โดยนักออกแบบใน Nyon ได้ร่วมมือกันพัฒนาหลากหลายฟังก์ชั่นการใช้นาฬิกาขึ้นมาใหม่ ซึ่งนอกเหนือจากฟังก์ชั่นแสดง "เวลาเพียงอย่างเดียว" (“Time Only”) ในรูปแบบอะนาล็อกแล้ว บิ๊ก แบง อี ยังบรรจุด้วยการตีความสุดเอ็กซ์คลูซีฟจากความสลับซับซ้อนของนาฬิกาตามประเพณี เช่นการแสดงปฏิทิน Perpetual Calendar พร้อมทั้งแสดงข้างขึ้นข้างแรมอย่างชัดเจนและแม่นยำ
<img class="alignnone size-full wp-image-30788" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/06/Big-Bang-e-Black-Ceramic-Perpetual-Calendar.jpg" alt="" width="720" height="480" />
หรือการแสดงเวลาไทม์โซนที่สอง (GMT) ซึ่งแสดงผ่านภาพของโลกในวิถีเสมือนจริงอย่างมาก โดยฟังก์ชั่นเหล่านี้ได้รับการปลุกฟื้นและเสริมข้อได้เปรียบจากการพัฒนาสิ่งที่จะสามารถเป็นไปได้สำหรับนำเสนอด้วยวิถีใหม่ของโลกดิจิทัล และแม้ว่าจะเป็นเทคโนโลยีแบบติดตั้งสำเร็จหรือ built-in Hublot ยังคงสร้างความเชื่อมั่นด้วยการรับประกันประสิทธิภาพการกันน้ำของนาฬิการุ่นนี้ได้ถึงระดับความลึก 30 เมตร 
เรือนเวลารุ่นนี้ขับเคลื่อนด้วยระบบปฏิบัติการ Wear OS by Google&#x2122; บิ๊ก แบง อี สามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการของเจ้าของสู่ประสบการณ์สุดล้ำแบบนาฬิกาสมาร์ทวอทช์ โดยผู้ใส่จะสามารถเข้าถึงแอปพลิเคชันต่างๆ บน Google Play ได้อย่างสะดวกสบาย และได้รับคำตอบอย่างฉับไวในทุกสถานการณ์ด้วย Google Assistant รวมถึงใช้จ่ายได้อย่างง่ายดายและรวดเร็วด้วย Google Pay
<img class="alignnone size-full wp-image-30785" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/06/Big-Bang-e-Titanium-GMT.jpg" alt="" width="720" height="480" />
และเพื่อมอบประสบการณ์เฉพาะบุคคลได้มากยิ่งขึ้น ผู้ใส่ยังสามารถปัดหน้าจอไปสู่ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ รวมทั้งติดตามสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงทีด้วยการแจ้งเตือนและข้อความ นอกจากนี้ หน้าปัดของนาฬิกายังออกแบบขึ้นพิเศษโดยเหล่า Brand Ambassador และ Friends of the Brand ผู้เปี่ยมด้วยพรสวรรค์ของ Hublot ที่จะค่อยๆ เผยโฉมออกมาให้ได้ติดตามกันอย่างต่อเนื่อง
โดย บิ๊ก แบง อี จะเปิดตัวนาฬิกาเอดิชั่นแรกซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ #HublotLovesArt ด้วยตัวเลือกของซีรีส์หน้าปัดแปดรูปแบบ ซึ่งได้มาจากภาพจินตนาการของศิลปินนักเล่าเรื่องอย่าง Marc Ferrero โดยทุกๆ สามชั่วโมง หน้าปัดนี้จะเปลี่ยนสีไป ซึ่งนั่นหมายความว่าหน้าปัดทั้งแปดรูปแบบจะแสดงไปตามลำดับตลอดช่วงระยะเวลา 24 ชั่วโมง
<img class="alignnone size-full wp-image-30789" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/06/big-bang-e-05.jpg" alt="" width="424" height="600" />
โดยแต่ละหน้าปัดจะมีเอกลักษณ์ของสีเฉพาะตัว ได้แก่ แฮปปี้ เยลโล่ (Happy Yellow), เมจิก บลู (Magic Blue), ออเรนจ์ ไดนาไมต์ (Orange Dynamite), ออล ไวท์ (All White), ลัคกี้ กรีน (Lucky Green), เมจิก เรด (Magic Red), เรนโบว์ สปิริต (Rainbow Spirit) และแบล็ก เมจิก (Black Magic)
แต่ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น เพราะทุกๆ หนึ่งชั่วโมงเต็มจะแสดงด้วยภาพแอนิเมชั่นที่ปรากฏขึ้นนานห้าวินาที ซึ่งนับเป็นวิถีแห่ง #HublotLovesArt ที่มาช่วยเติมสัมผัสแห่งสีสันและจังหวะให้กับแต่ละช่วงเวลาที่แตกต่างกันได้ตลอดทั้งวัน!
บิ๊ก แบง อี จะผลิตในสองเวอร์ชั่นแตกต่างกัน คือตัวเรือนไทเทเนียม และตัวเรือนแบล็ก เมจิก ทำจากเซรามิกสีดำ และยังนับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของ Hublot ที่นาฬิการุ่นนี้จะจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์บนเว็บไซต์ของแบรนด์ เช่นเดียวกับเครือข่าย Wechat ในประเทศจีน และหลังจากนั้นจึงจะมีวางจำหน่ายภายในบูติกและเครือข่ายตัวแทนจำหน่ายต่อไป

Hublot "Big Bang e" ศิลปะแห่งการผสมผสานที่งดงามทุกมิติ

ท่ามกลางแบรนด์หรูภายใต้อาณาจักร “LVMH” กว่า 70 แบรนด์ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ Hublot นาฬิกา    ไฮเอนด์ สายเลือดสวิตเซอร์แลนด์ จะครองความเป็นหนึ่งในฐานะแบรนด์ที่มีความโดดเด่นของ LVMH    ได้ไม่เสื่อมคลาย สมกับเป็นจิ๊กซอว์ตัวสำคัญที่เข้ามาเสริมความแข็งแกร่งให้พอร์ตนาฬิกาหรูของ LVMH    ซึ่งประกอบด้วยแบรนด์หรูที่คนรักนาฬิกาทั้งโลกหมายปอง ไม่ว่าจะเป็น Tag Heuer, Zenith หรือ Bvlgari กลายเป็นภาพที่สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น

นับตั้งแต่ก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรที่ได้ชื่อว่าเป็นจักรวาลแห่งสินค้าแบรนด์เนมรายใหญ่สุด  ของโลก เมื่อปี 2008 Hublot ได้พิสูจน์ศักยภาพของแบรนด์อย่างรอบด้าน ทั้งการพัฒนานวัตกรรม      แห่งวิศวกรรมกลไกอย่างไม่หยุดยั้ง รวมไปถึงยอดขายที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด

<img class="alignnone size-full wp-image-30266" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/05/2-1.jpg" alt="" width="720" height="480" />

กว่าจะเป็นเรือนเวลาที่คนทั้งโลกหมายปอง

แม้จะไม่ได้มีประวัติศาสตร์ยาวนานเป็นร้อยปี แต่ Hublot ซึ่งถือกำเนิดขึ้นในปี 1980 ด้วยความมุ่งมั่น      ที่จะสร้างสรรค์เรือนเวลาที่มอบความเที่ยงตรงแม่นยำสูงสุด อันเป็นแก่นแท้ของเครื่องบอกเวลา เปี่ยมด้วยนวัตกรรมแห่งวิศวกรรมกลไกที่หลอมรวมเข้ากับศิลปะการออกแบบที่ก้าวล้ำด้วยเทคโนโลยีแห่งอนาคต Hublot ยังได้สร้างมิติใหม่ให้โลกแห่งเรือนเวลา ด้วยการริเริ่มนำแผ่นยางธรรมชาติมาทำเป็นสายนาฬิกา  เพื่อใช้กับนาฬิกาตัวเรือนทองคำอันเป็นเอกลักษณ์ จนนำมาสู่ปรัชญา "ศิลปะแห่งการผสมผสาน"          (Art of Fusion) อันเป็นจุดเริ่มต้นที่สร้างชื่อให้แบรนด์เป็นที่รู้จัก

<img class="alignnone size-full wp-image-30267" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/05/3-1.jpg" alt="" width="720" height="480" />

ในปี 2004 ภายใต้การนำของ Jean-Claude Biver และ Ricardo Guadalupe ปัจจุบันคือประธาน      เจ้าหน้าที่บริหารของ Hublot เป็นการเปิดศักราชใหม่ให้ Hublot ขึ้นแท่นสู่การเป็นสุดยอดเรือน        เวลาระดับโลกอย่างน่าชื่นชม หลังจากสวมบทหัวเรือใหญ่ได้เพียง 1 ปี Jean-Claude Biver ผู้ซึ่งเปรียบ  ได้ดั่งสถาปนิกผู้สร้างรากฐานความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ให้กับ Hublot ได้เปิดตัวคอลเลคชั่นในตำนานอย่าง  Big Bang เรือนเวลาโครโนกราฟที่มาพร้อมความแข็งแกร่ง ดีไซน์สง่างาม ที่งาน Basel World 2005 ผลงานชิ้นเอกนี้ไม่เพียงคว้ารางวัล "การออกแบบที่ดีที่สุดแห่งปี" จากงาน Grand Prix d'Horlogerie แต่ยังสร้างชื่อเสียงให้แบรนด์เป็นที่ยอมรับและเป็นที่นิยมอย่างสูง ในฐานะสุดยอดเรือนเวลาสุดหรูที่คนทั้งโลก          ต่างหมายปอง และกลายเป็นแบรนด์ที่มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด จากในปี 2004 มีรายได้อยู่ที่ 29      ล้านฟรังก์สวิส มาถึงปี 2007 รายได้เพิ่มขึ้นเป็น 151 ล้านฟรังก์สวิส

<img class="alignnone size-full wp-image-30268" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/05/4-1.jpg" alt="" width="720" height="480" />

ต้อนรับสู่อาณาจักร LVMH

ผลงานของ Hublot อันเป็นที่ประจักษ์นี้เอง ทำให้ LVMH ซึ่งมีแบรนด์นาฬิกาหรูอยู่ในมือไม่น้อย ตัดสินใจทุ่มเงินมหาศาลเพื่อให้ Hublot เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งภายใต้ร่มของ LVMH แม้จะไม่มีการเปิดเผยตัวเลขดีล  ในครั้งนั้นอย่างชัดเจน แต่มีรายงานว่า เม็ดเงินครั้งนั้นน่าจะมากกว่าผลประกอบการของ Hublot ในปี 2008 ซึ่งคาดว่าจะมียอดขายอยู่ที่ 250 ล้านฟรังก์สวิสถึง 2 เท่าเลยทีเดียว ซึ่งสำหรับ LVMH นับว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เพราะด้วยศักยภาพของแบรนด์ที่เรียกว่าเป็นดาวเด่นของวงการในเวลานั้น เมื่อได้รับการสนับสนุนด้านกลยุทธ์จาก LVMH ซึ่งเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมแบรนด์หรู ยิ่งเพิ่มศักยภาพให้ Hublot เติบโตอย่างฉุดไม่อยู่ เพราะนอกจากในปี 2008 Hublot ได้ขยายโรงงานผลิตนาฬิกา เพื่อรองรับดีมานด์ของเรือนเวลาที่เพิ่มขึ้น 50% แล้วการผนึกกำลังอันแข็งแกร่ง ยังทำให้ในปี 2010 Hublot สามารถเปิดแฟล็กชิพสโตร์ที่จัตุรัสว็องโดม (Place Vendôme) ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นย่านที่แพงที่สุดและเป็นศูนย์รวมของแบรนด์เนมที่หรูหราที่สุดแห่งหนึ่งในปารีส ประเทศฝรั่งเศส จากข้อมูลของ Vontobel Bank สถาบันการเงินรายใหญ่แห่งประเทศ  สวิตเซอร์แลนด์ นับตั้งแต่ปี 2013-2018 Hublot มีรายได้สุทธิเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดอย่างต่อเนื่อง      ขณะเดียวกัน ตัวเลขการส่งออกเรือนเวลาชั้นสูงของ Hublot ไปยังตลาดต่างประเทศก็เติบโตขึ้นด้วยเช่นกัน โดยในปี 2018 อยู่ในอันดับที่ 4 ในกลุ่มนาฬิกาไฮเอนด์ ที่มีราคาเฉลี่ยสูงกว่า 10,000 ฟรังก์สวิสต่อเรือน    ซึ่งถือเป็นบทพิสูจน์การเติบโตอย่างแข็งแกร่งของ Hublot ภายใต้ LVMH ได้เป็นอย่างดี

อย่างไรก็ตาม Hublot ไม่ได้เป็นเพียงสุดยอดเรือนเวลาระดับลักชัวรีที่เปี่ยมด้วยศาสตร์การประดิษฐ์นาฬิกาและเป็นประจักษ์พยานความก้าวหน้าทางนวัตกรรมเท่านั้น ทว่ายังบ่งบอกถึงรสนิยมและจิตวิญญาณ    หาญกล้า และปรัชญาของ Hublot ที่ยึดมั่นอย่างหนักแน่นมาโดยตลอดว่า “Be the first, be unique,    be different” ได้อย่างแท้จริง

ติดตามความเคลื่อนไหวของเราได้ทาง
<img class="wp-image-30259 alignnone" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/05/ig.png" alt="" width="38" height="26" data-wp-editing="1" /><a href="https://www.instagram.com/hublot_bangkok/?hl=en">Hublot_Bangkok</a>

ไขความลับแห่งเรือนเวลาที่พาให้ Hublot ขึ้นแท่นเป็นดาวเด่นในอาณาจักร “LVMH”

Hublot เปิดตัว 5 เรือนเวลารุ่นพิเศษ South East Asia Edition เพื่อร่วมฉลองและชื่นชมวัฒนธรรมการสะสมนาฬิกาหรูที่ขยายตัว แพร่หลาย ทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งนาฬิกาคอลเลคชั่นพิเศษนี้ ประกอบไปด้วยรุ่น Big Bang ทั้งหมด 3 รุ่น (ขนาด 44มม, 41มม, และ 38มม), Classic Fusion Aerofusion Chronograph Ceramic ขนาด 45 มม. หนึ่งรุ่น, และ Spirit of Big Bang 42มม. อีกหนึ่งรุ่น)

คอลเลคชั่นสำหรับผู้หญิง

ความแตกต่างระหว่างนาฬิกา Hublot อิดิชั่นพิเศษ เฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และรุ่นที่มีจำหน่ายทั่วไปนั้น อยู่ที่การประดับเพชรและรายละเอียดปลีกย่อยอื่นๆ โดยทั้ง Big Bang และ Big Bang Automatic รุ่นนี้จะมีการประดับเพชรน้ำงามขนาดใหญ่หนึ่งแถวรอบหน้าปัด แตกต่างจากรุ่นทั่วไปที่ประดับด้วยเพชรขนาดเล็กเรียงสองแถวรอบหน้าปัด ทั้งสองรุ่นยังมีความคล้ายคลึงกันในเทคนิคการออกแบบ แต่งพื้นผิวตัวเรือนสตีลแบบขัดเงาและขัดซาติน หน้าปัดสีดำขัดซาตินเป็นลาย sunray เข็มนาฬิกาเคลือบโรเดียมและสารเรืองแสงสีขาวเพื่อการมองเห็นที่ดีในที่แสงน้อย พร้อมสายยางรับเบอร์ แต่งหุ้มด้วยหนังจระเข้สีดำ

<figure><img class="wp-image-26088 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/01/นาฬิการุ่นพิเศษ-Hublot-Big-Bang-“Steel-Diamonds”-SEA-Edition-ขนาด-38มม..jpg" alt="" width="347" height="480" /><figcaption> นาฬิการุ่นพิเศษ Hublot Big Bang “Steel Diamonds” SEA Edition ขนาด 38มม.</figcaption></figure>

หากมองความแตกต่างของทั้งของนาฬิกาหรูจากสวิสทั้งสองรุ่นพิเศษนี้ นอกจากเรื่องของขนาดตัวเรือนแล้ว ยังอยู่ที่กลไกการทำงาน รุ่น Big Bang “Steel Diamonds” นั้น ประกอบด้วยฟังก์ชั่นแสดงวันที่ผ่านช่องที่ตำแหน่ง 3 นาฬิกา ขณะที่รุ่น Big Bang Chronograph มีฟังก์ชั่นจับเวลา (ซึ่งคนรักนาฬิกาคงจะคาดเดาได้เรียบร้อยแล้วจากชื่อรุ่น) ข้อแตกต่างอื่นๆ ยังอยู่ในรายละเอียดเล็กๆ อย่างเช่น รูปแบบของตัวเลขแสดงหลักชั่วโมงแบบ military-stencil และขีดแสดงค่านาทีสีแดง แมทช์กับเข็มโครโนกราฟ ทั้งสองรุ่นสามารถกันน้ำได้สูงถึงระดับ 100 เมตร และมีสมรรถนะการสำรองพลังงาน 42 ชั่วโมง

<figure><img class="wp-image-26089 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/01/นาฬิการุ่นพิเศษ-Hublot-Big-Bang-Chronograph-SEA-Edition-ขนาด-41มม..jpg" alt="" width="347" height="480" /><figcaption> นาฬิการุ่นพิเศษ Hublot Big Bang Chronograph SEA Edition ขนาด 41มม.</figcaption></figure>

ทั้งรุ่น Big Bang “Steel Diamonds” และ Big Bang Chonograph มาพร้อมสายยางรับเบอร์ แต่งหนังจระเข้สีดำ จับคู่ความแตกต่าง ทั้งคุณสมบัติการกันน้ำได้ดีของยาง และความนุ่ม สวมใส่สบาย รวมทั้งรูปลักษณ์ที่สวยหรูของหนังไว้อย่างลงตัว และยังเป็นการผสมผสานที่เหมาะกับการใช้งานในสภาพภูมิอากาศแบบศูนย์สูตรของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้เป็นอย่างดี

คอลเลคชั่นสำหรับผู้ชาย

ความแตกต่างระหว่างนาฬิกา Hublot อิดิชั่นพิเศษ เฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่รังสรรค์ขึ้นสำหรับผู้ชายที่ชื่นชอบนาฬิกา เมื่อเทียบกับรุ่นที่มีจำหน่ายทั่วไปนั้น ค่อนข้างเห็นได้ชัดกว่าคอลเลคชั่นสำหรับผู้หญิง เรือนเวลารุ่นพิเศษคอลเลคชั่นสำหรับผู้ชายชุดนี้ประกอบไปด้วย Big Bang Chronograph ตัวเรือนวัสดุฟรอสต์คาร์บอนไฟเบอร์, Classic Fusion Aerofusion Chronograph และ Spirit of Big Bang ทั้งสามรุ่นดีไซน์โทนสีดำแต่งรายละเอียดด้วยสีทอง ที่สื่อถึงความสภาพภูมิอากาศที่อบอุ่นสว่างไสวอันเป็นเอกลักษณ์ของภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

<figure><img class="wp-image-26091 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/01/นาฬิการุ่นพิเศษ-Hublot-Big-Bang-Chronograph-SEA-Edition-44มม..jpg" alt="" width="382" height="480" /><figcaption> นาฬิการุ่นพิเศษ Hublot Big Bang Chronograph SEA Edition 44มม.</figcaption></figure>

สำหรับรุ่น Big Bang Chronograph นั้น โดดเด่นการผสมผสานศิลปะการออกแบบเรือนเวลาของ Hublot ในยุค ’80 ที่อาศัยการนำสองวัสดุที่แตกต่างสุดขั้วอย่างทองคำและยางรับเบอร์มาผลิตนาฬิกา เข้ากับความสวยงามของลวดลายอันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของตัวเรือนและหน้าปัดวัสดุ frosted carbon fibre เสริมให้  สีเหลืองทองของขีดตำแหน่งแสดงเวลาต่างๆ และเข็มนาฬิกา (ซึ่งเคลือบสารเรืองแสงสีขาวเพื่อการอ่านค่าได้ดีแม้ในที่แสงน้อย) เคลือบทองคำ 3N ดูโดดเด่นยิ่งขึ้น พร้อมด้วย แต่งด้วยสัญลักษณ์รูปตัว “H” ของแบรนด์ Hublot เคลือบทองคำ 3N บริเวณด้านล่างของโคนเข็มโครโนกราฟสีแดง ซึ่งเป็นรายละเอียดเล็กๆ ที่สะท้อนความใส่ใจในการออกแบบดีไซน์ ทั้งเพื่อความสวยงามและต้องตาต้องใจแฟนนาฬิกา Hublot ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งศิลปะการออกแบบที่ใช้โทนสีดำช่วยขับเน้นดีไซน์การตกแต่งสีเหลืองทองทั้งหมดดูสว่าง สะดุดตา

หน้าปัดเรือนนาฬิการุ่นนี้ ยังมีฟังก์ชั่นแบบ tri-compax chronograph ซึ่งหมายความว่า บนหน้าปัดหลักยังประกอบไปด้วยสามหน้าปัดย่อย ได้แก่ หน้าปัดแสดงรอบเวลา 30 นาที ที่ตำแหน่ง 3 นาฬิกา, แสดงค่า 12 ชั่วโมง ที่ตำแหน่ง 6 นาฬิกา, และแสดงค่าวินาที ที่ตำแหน่ง 6 นาฬิกา ตามลำดับเมื่อเรียงตามเข็มนาฬิกา รายละเอียดอื่นๆ ของ Big Bang ขนาด 44มม. รุ่นพิเศษเพื่อคนรักนาฬิกาจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นี้ ยังคงอยู่ในโทนสีดำเช่นเดียวกับตัวเรือน ไม่ว่าจะเป็นสายยางรับเบอร์สีดำแต่งลายเส้นริ้วตลอดสาย ตัวล็อคแบบบานพับ (deployant buckle clasp) วัสดุเซรามิกสีดำและสเตนเลสสตีลเคลือบ PVD สีดำ ภายในประกอบด้วยกลไกแบบอัตโนมัติ HUB4104 calibre ของ Hublot ซึ่งประกอบขึ้นจากชิ้นส่วนทั้งหมด 252 ชิ้น และใช้อัญมณีภายในทั้งหมด 27 เม็ด ทำงานที่ความถี่ 4Hz และสามารถสำรองพลังงานได้ 42 ชั่วโมง

<figure><img class="wp-image-26092 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/01/นาฬิการุ่นพิเศษ-Hublot-AeroFusion-Chronograph-Ceramic-SEA-Edition.jpg" alt="" width="373" height="480" /><figcaption> นาฬิการุ่นพิเศษ Hublot AeroFusion Chronograph Ceramic SEA Edition</figcaption></figure>

ส่วนนาฬิกาผู้ชายอีกสองรุ่นในคอลเลคชั่นพิเศษนี้ ทั้ง Classic Fusion Aerofusion Chronograph และ Spirit of Big Bang ตัวเรือนนาฬิกาเป็นวัสดุเซรามิกสีดำ แตกต่างกันที่เทคนิคการขัดแต่งพื้นผิว การขัดแต่งพื้นผิวแบบซาตินบนผิวทองคำ 3N ของขีดเข็มและสัญลักษณ์ต่างๆ รวมทั้งสัญลักษณ์ “H” ของแบรนด์ Hublot ด้วย

ตัวเรือนของนาฬิกา Classic Fusion Aerofusion Chronograph นั้น เป็นวัสดุเซรามิกสีดำ ขัดแต่งพื้นผิวแบบขัดเงาและขัดซาติน ขณะที่ส่วนปุ่มจับเวลารูปทรงสี่เหลี่ยมที่ควบคุมฟังก์ชั่นโครโนกราฟ และเม็ดมะยม เป็นทองคำ King Gold 18K ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของ Hublot สำหรับอีกรุ่น คือ Spirit of Big Bang ตัวเรือนรูปทรง tonneau วัสดุเซรามิกสีดำแต่งพื้นผิวแบบไมโครบลาสต์ เม็ดมะยมและปุ่มจับเวลาวัสดุไทเทเนียมเคลือบ PVD แต่งด้วยรับเบอร์สีดำ รวมทั้งฝาหลังตัวเรือนที่ยังคุมโทนความเข้มเป็นวัสดุเซรามิกสีดำ

<figure><img class="wp-image-26093 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/01/นาฬิการุ่นพิเศษ-Hublot-Spirit-of-Big-Bang-SEA-Edition-ขนาด-42มม..jpg" alt="" width="360" height="480" /><figcaption> นาฬิการุ่นพิเศษ Hublot Spirit of Big Bang SEA Edition ขนาด 42มม.</figcaption></figure>

กลไกภายในของ Classic Fusion Aerofusion Chronograph คือกลไกแบบอัตโนมัติฟังก์ชั่นโครโนกราฟของ Hublot HUB1155 สำรองพลังงาน 42 ชั่วโมง และกันน้ำได้ที่ความลึกระดับ 50 เมตร ส่วนรุ่น Spirit of the Big Bang ภายในคือกลไก HUB4700 อีกหนึ่งกลไกที่ยอดเยี่ยมของ Hublot สามารถสำรองพลังงานได้ 50 ชั่วโมง และมีสมรรถนะการกันน้ำลึกถึง 100 เมตร

คอลเลคชั่นพิเศษของ Hublot สำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นี้ เมื่อมองโดยรวมแล้ว สามารถกล่าวได้ว่าเป็นเสมือนบทสรุปการรวมตัวของทุกสิ่งที่ทำให้ Hublot ก้าวขึ้นเป็นแบรนด์นาฬิกาสวิสแท้ที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับไปทั่วโลก นั่นคือ นวัตกรรมด้านวัสดุศาสตร์ ดีไซน์ที่โดดเด่น และความล้ำเลิศของกลไกการทำงาน ถือได้ว่าเป็นคอลเลคชั่นที่เปิดตัวมาเพื่อเฉลิมฉลองและชื่มชมในวัฒนธรรมอันเกี่ยวข้องกับการสะสมและมองเห็นคุณค่าของเรือนเวลาชั้นสูง ซึ่งเป็นที่นิยมและแพร่หลายในภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งบรรดาคนรักนาฬิกา ทั้งนักสะสมระดับมืออาชีพและผู้ที่ชื่นชอบสนใจต่างก็ไม่ควรพลาดโอกาสเป็นเจ้าของเรือนเวลาคอลเลคชั่นพิเศษเช่นนี้

กดติดตามข่าวสารนวัตกรรมล่าสุดและเรือนเวลารุ่นพิเศษจาก <a href="https://www.thehourglass.com/th-pmtthehourglass/brand/hublot/">Hublot</a> ได้ก่อนใคร
ผ่าน Hublot Bangkok <a href="https://www.instagram.com/hublot_bangkok/">Instagram</a>

Hublot เปิดตัวนาฬิกาคอลเลคชั่นพิเศษ South East Asia Special Editions

“ฟุตบอล” คือเกมกีฬาที่ทุกช่วงเวลาในสนามคือความตื่นเต้นเร้าใจ พลิกสิ่งที่เป็นไปไม่ได้        ให้เป็นไปได้ในเสี้ยววินาที ซึ่งสุดยอดนักฟุตบอลระดับตำนานที่มีส่วนสำคัญในการสร้างโมงยามแห่งประวัติศาสตร์ที่ได้รับการจดจำและพูดถึงอย่างไม่สิ้นสุด ย่อมต้องนับรวม Pelé และ    Kylian Mbappé ผู้เป็น Ambassador ของแบรนด์เรือนเวลาชั้นสูงเปี่ยมนวัตกรรมเฉกเช่น <a href="https://www.thehourglass.com/th-pmtthehourglass/brand/hublot/">Hublot</a> เข้าไปด้วย

<figure><img class="wp-image-24836 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/12/5.jpg" alt="" width="720" height="480" /><figcaption> Pelé and Kylian Mbappé</figcaption></figure>

ตำนานแห่งลูกหนัง 2 รุ่น

กีฬาฟุตบอลแต่ละยุคสมัยล้วนมีตำนานให้กล่าวขาน ซึ่ง Pelé และ Kylian Mbappé คือนักฟุตบอลที่ผู้คนจำนวนไม่น้อยนึกถึงและชื่นชม

Pelé คือราชันแห่งเกมลูกหนังชาวบราซิลที่ทั่วโลกยกย่อง พรสวรรค์ในการเล่นฟุตบอลของเขาเปล่งประกายตั้งแต่เยาว์วัย และเมื่อได้รับการขัดเกลาทักษะจากสโมสรฟุตบอล Santos ซึ่งเป็นหนึ่งในสโมสรฟุตบอล  ชั้นนำของโลก ก็ส่งให้เขาติดทีมชาติบราซิลในวัยยังไม่ถึง 17 ปี และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา Pelé ก็สร้างสถิติโลกอย่างที่นักฟุตบอลรุ่นหลังหลายคนยากจะเทียบ

สถิติที่สุดยอดนักฟุตบอลผู้นี้สร้างไว้ อาทิ เป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดที่ทำแฮตทริกในฟุตบอลโลก โดยทำได้  ในรอบที่พบกับทีมชาติฝรั่งเศสในปี 1958 ด้วยวัย 17 ปี 244 วัน เป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดที่ทำประตูในนัดชิงฟุตบอลโลก ซึ่งเขาทำได้ในปี 1958 ด้วยวัย 17 ปี 249 วัน ทั้งยังเป็นนักฟุตบอลหนึ่งเดียวที่ชนะการแข่งขันฟุตบอลโลกถึง 3 สมัย ในปี 1958, 1962 และ 1970 นอกจากนี้ ยังทำแฮตทริกสูงสุดตลอดกาลที่ 92 ครั้ง รวมทั้งทำประตูตลอดชีวิตการเป็นนักฟุตบอลรวม 1,283 ประตู จาก 1,363 นัด และแม้ Pelé จะอำลาสนามไปแล้วหลายสิบปี ทว่าเขายังคงเป็นแรงบันดาลใจให้เยาวชนและคนรุ่นใหม่ ทั้งในบทบาทนักฟุตบอล      ผู้ยิ่งใหญ่และการเป็นนักกิจกรรมผู้อุทิศตัวเพื่อสังคม

60 ปีให้หลัง ตำนานความยิ่งใหญ่ของนักเตะดาวรุ่งถือกำเนิดขึ้นอีกครั้งในฟุตบอลโลก ปี 2018 เมื่อ    Kylian Mbappé คือนักฟุตบอลทีมชาติฝรั่งเศสอายุน้อยสุดที่ทำประตูได้ในการแข่งขันฟุตบอลโลก ด้วยวัย 19 ปี 183 วัน และเป็นนักฟุตบอลอายุน้อยที่สุดรองจาก Pelé ที่ทำผลงานได้ในการแข่งขันฟุตบอลโลก  รอบสุดท้าย

Mbappé ฝึกปรือฝีเท้ากับสโมสรชั้นนำและสร้างผลงานได้อย่างโดดเด่นต่อเนื่อง กระทั่งปี 2017 Mbappé ในวัยไม่ถึง 19 ปี ก็ย้ายไปร่วมสโมสรฟุตบอล Paris Saint-Germain ด้วยสัญญามูลค่า 180 ล้านยูโร ส่งให้เขาเป็นนักฟุตบอลฝรั่งเศสค่าตัวแพงที่สุด และเป็นนักฟุตบอลค่าตัวแพงเป็นอันดับ 2 ของโลก พร้อมกับ  เดินหน้าสร้างตำนานบทใหม่อย่างไม่หยุดยั้ง โดยในเดือนตุลาคม ปี 2019 เขาสร้างสถิติเป็นนักฟุตบอล  อายุน้อยที่สุด คือ 20 ปี 302 วัน ที่ทำผลงานรวมในการแข่งขันฟุตบอล UEFA Champions League ได้ถึง 15 ลูก และเป็นนักฟุตบอลอายุน้อยที่สุดที่ทำแฮตทริกได้ใน UEFA Champions League เพียงเกมเดียว

<img class="alignnone size-full wp-image-24843" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/12/2-1.jpg" alt="" width="720" height="480" />

หลอมรวมจิตวิญญาณแห่งฟุตบอลและโมงยามแห่งความประทับใจ

<a href="https://www.thehourglass.com/th-pmtthehourglass/brand/hublot/">Hublot</a> คือแบรนด์เรือนเวลาระดับลักชัวรีจากสวิตเซอร์แลนด์ที่อุทิศตัวแก่วงการกีฬา เช่น ฟุตบอล      อย่างแท้จริง เพื่อบันทึกทุกโมงยามแห่งความประทับใจอย่างถึงที่สุด

ย้อนกลับไปหลายทศวรรษก่อน Hublot ซึ่งอยู่ในกลุ่ม LVMH เช่นเดียวกับ Zenith, Bvlgari และ        Tag Heuer ถือกำเนิดขึ้นใน ค.ศ. 1980 ด้วยความมุ่งมั่นในการสืบทอดทักษะการประดิษฐ์นาฬิกาชั้นสูง    ที่เปี่ยมด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี สิ่งนี้ได้รับการขับเน้นขึ้นอีกในปี 2004 ภายใต้การนำของ        Jean-Claude Biver ปัจจุบันคือประธานของ Hublot และ Ricardo Guadalupe ปัจจุบันคือประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Hublot ที่พาแบรนด์มุ่งสู่การเป็นสุดยอดเรือนเวลาระดับโลก โดยในปี 2005 Hublot เผยโฉมคอลเลคชั่น Big Bang เรือนเวลาโครโนกราฟที่มาพร้อมความแข็งแกร่ง สง่างาม ดีไซน์ทันสมัย  และนวัตกรรมด้านวัสดุศาสตร์ เป็นการเปิดศักราชของแบรนด์ได้อย่างยิ่งใหญ่ ส่งให้ Hublot ขึ้นชั้นเป็นหนึ่งในสุดยอดเรือนเวลาระดับลักชัวรีที่ทุกคนยอมรับอย่างกว้างขวาง

สายเลือดของ Hublot ที่เปี่ยมด้วยความกล้าแกร่งและความท้าทายในการพัฒนาตัวเองอย่างไม่สิ้นสุด สอดคล้องกับจิตวิญญาณของฟุตบอลอย่างลงตัว Hublot จึงเป็นสุดยอดเรือนเวลาระดับลักชัวรีแบรนด์แรกที่อุทิศความมุ่งมั่นแก่ฟุตบอล และสนับสนุนฟุตบอลมาตั้งแต่ปี 2006 อาทิ การสนับสนุนทีมชาติ            สวิตเซอร์แลนด์ การเป็นผู้จับเวลาอย่างเป็นทางการในการแข่งขันฟุตบอลโลก และ UEFA EURO รวมทั้งเป็นพันธมิตรกับสโมสรฟุตบอลชั้นนำระดับโลก เช่น Manchester United, Chelsea, Bayern Munich ในการสร้างสรรค์เรือนเวลาคอลเลคชั่นพิเศษต่างๆ อีกทั้งในปี 2018 Hublot ได้สรรค์เรือนเวลาคอลเลคชั่นพิเศษ FIFA World Cup Russia Big Bang Referee เชื่อมต่อเทคโนโลยี Goal Line และ VAR พร้อมรายงานผลการแข่งขันทุกนัดแบบเรียลไทม์ ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนสะท้อนแนวคิด “Hublot Loves Football” ตอกย้ำความผูกพันของ Hublot กับกีฬาฟุตบอลอย่างเหนียวแน่น

<img class="alignnone size-full wp-image-24844" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/12/3.jpg" alt="" width="720" height="480" />

ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อความหลงใหลและความทุ่มเทของ Pelé และ Mbappé ในกีฬาฟุตบอล  สอดประสานกับแนวคิดของ Hublot อย่างแนบแน่น ทำให้สุดยอดนักฟุตบอลระดับตำนานทั้งสองตอบรับการเป็น Ambassador ให้กับ Hublot อย่างไม่ลังเลใจ

Pelé ราชันแห่งฟุตบอล เป็น Ambassador ของแบรนด์ตั้งแต่ปี 2013 และมีสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับ Hublot ในตำแหน่งดังกล่าวกระทั่งถึงปัจจุบัน มีความร่วมมือเกิดขึ้น เช่น เรือนเวลาคอลเลคชั่นพิเศษ Hublot Classic Fusion Aerofusion Pelé 45mm ในปี 2014 “ผมรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้เป็นตัวแทนของ Hublot ซึ่งเป็นแบรนด์เรือนเวลาที่ยืนหยัดเรื่องนวัตกรรมและขนบการประดิษฐ์นาฬิกา และมีความทุ่มเทเพื่อเกมกีฬาอย่างฟุตบอลเช่นเดียวกับผม” Pelé กล่าว

ส่วน Mbappé นักฟุตบอลอนาคตรุ่งชาวฝรั่งเศส เป็น Ambassador ของ Hublot ในปี 2018 โดยเป็น Ambassador ที่อายุน้อยที่สุดของแบรนด์ มีความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับ Hublot กระทั่งถึงปัจจุบัน ซึ่ง Mbappé ได้เผยถึงความประทับใจที่มีต่อแบรนด์ว่า “Hublot ผสานนวัตกรรม เทคโนโลยีใหม่ๆ และวัสดุชั้นเยี่ยมเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์แบบ พวกเขาสนับสนุนกีฬาของผมและเชื่อมโยงกับทุกช่วงเวลาที่ดีที่สุดของผมในเกมฟุตบอล”

เมื่อนักฟุตบอลทั้งสองล้วนเป็นอัจฉริยะในแต่ละห้วงเวลา <a href="https://www.thehourglass.com/th-pmtthehourglass/brand/hublot/">Hublot</a> จึงสร้างวินาทีประวัติศาสตร์ด้วยการเชิญ Pelé และ Mbappé มาพบกันเป็นครั้งแรกในเดือนเมษายน ปี 2019 แววตาของทั้งคู่บ่งบอกความสุขยามถ่ายทอดโมงยามความประทับใจในโลกฟุตบอล พร้อมแบ่งปันประสบการณ์กันอย่างอบอุ่น ซึ่งการพบกันครั้งนี้ เป็นอีกครั้งที่ Hublot ทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ และสร้างช่วงเวลาที่น่าจดจำไม่รู้ลืม

การรังสรรค์สุดยอดเรือนเวลาที่ถึงพร้อมทั้งขนบการประดิษฐ์นาฬิกาที่ใส่ใจทุกรายละเอียด นวัตกรรมและเทคโนโลยีอันก้าวล้ำ อีกทั้งความทุ่มเทให้กับโลกของกีฬา โดยเฉพาะ “ฟุตบอล”  ถือเป็นการตอกย้ำจิตวิญญาณและปรัชญาของ <a href="https://www.thehourglass.com/th-pmtthehourglass/brand/hublot/">Hublot</a> ที่ยึดมั่นอย่างหนักแน่นมาโดยตลอดว่า “Be the first, be unique, be different” ได้อย่างแท้จริง

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events