Xwing เปิดศักราชการบินไร้คนขับ

<h2 class="p1">Boeing ระบุว่า บริษัทกำลังเตรียมปลดพนักงานมากกว่า 12,000 คน ภายในไม่กี่สัปดาห์นี้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพนักงานในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเริ่มปลดล็อตแรกแล้ว 6,770 คนในสัปดาห์นี้ (เป็นพนักงานในสหรัฐ 5,520 คน)</h2>
การปลดพนักงานล็อตแรกของผู้ผลิตเครื่องบินรายใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของแผนการปรับโครงสร้าง เนื่องจากการระบาดของไวรัสโคโรน่าทำให้จำนวนเที่ยวบินลดลงอย่างมาก ซึ่งส่งผลกระทบกับบริษัท
สำหรับการปลดพนักงานจำนวน 12,000 คนนั้น จะเป็นพนักงานในรัฐ Washington ถึง 9,800 คน
ทั้งนี้ Boeing ประกาศเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาว่าบริษัทมีแผนจะลดจำนวนพนักงานทั่วโลกลง 10% หรือประมาณ 16,000 ตำแหน่ง การปลดพนักงานล็อตแรกนี้จึงเป็นสิ่งที่หลายคนคาดอยู่แล้วว่าจะเกิดขึ้น
Boeing ยังเผยอีกว่า บริษัทมีแผน “ปลดพนักงานอีกหลายพันคน” ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า แต่ไม่ได้บอกว่าจะเป็นพนักงานในประเทศใด
Dave Calhoun ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Boeing ระบุในอีเมลที่ส่งถึงพนักงานว่า “ผลกระทบที่ร้ายแรงจากการระบาดของโรคโควิด-19 ต่ออุตสาหกรรมการบิน หมายถึงการลดจำนวนเครื่องบินเชิงพาณิชย์ลงอย่างมาก และกว่าลูกค้าจะต้องการบริการจากเราก็คงต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 2-3 ปีจากนี้ ซึ่งนั่นหมายถึง ตำแหน่งงานในสายงานของเรารวมถึงในออฟฟิศจะน้อยลง... ผมหวังว่ามันจะมีวิธีอื่น”

<ul>
 	<li>อ่านเพิ่มเติม <a href="https://forbesthailand.com/news/emirates-%e0%b9%80%e0%b8%88%e0%b9%87%e0%b8%9a%e0%b8%ab%e0%b8%99%e0%b8%b1%e0%b8%81-%e0%b9%80%e0%b8%95%e0%b8%a3%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%a1%e0%b8%9b%e0%b8%a5%e0%b8%94%e0%b8%9e%e0%b8%99%e0%b8%b1%e0%b8%81.html">Emirates เจ็บหนัก! เตรียมปลดพนักงาน 30,000 ตำแหน่ง</a></li>
</ul>
โดย Boeing กำลังพยายามลดค่าใช้จ่ายเนื่องจากความต้องการเครื่องบินได้ลดลงอย่างมากในช่วงที่มีการระบาด ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อบริษัทที่เป็นเจ้าของเครื่องบิน 737 Max ที่เกิดอุบัติเหตุตก 2 ลำเมื่อปี 2018 และ 2019
กระทั่งในเดือนเมษายนปีนี้ ลูกค้าของ Boeing ได้ยกเลิกออร์เดอร์เครื่องบิน 737 ไปมากกว่า 100 ออร์เดอร์ และบริษัทระบุว่าไม่ได้รับการสั่งจองเครื่องบินใหม่เข้ามาด้วย ถือเป็นการเริ่มต้นปีที่เลวร้ายที่สุดของบริษัทนับตั้งแต่ปี 1962
Boeing ยังระบุเมื่อวันพุธที่ผ่านมาว่า บริษัทได้กลับมาดำเนินการผลิตเครื่องบิน 737 Max ที่โรงงานผลิตใน Washington ใน “อัตราที่ต่ำ” และตั้งข้อสังเกตว่าสายการบินบางแห่งส่งสัญญาณของการฟื้นตัวแล้ว
“แต่ท้ายที่สุด สัญญาณการฟื้นตัวนั้นไม่ได้หมายความว่าปัญหาสุขภาพของโลกและวิกฤตเศรษฐกิจจะจบลง” Calhoun กล่าว และว่า “อุตสาหกรรมของเราจะกลับมาได้แน่ แต่จะต้องใช้เวลาหลายปีเพื่อกลับไปอยู่ในจุดเดียวกับเมื่อ 2 เดือนก่อนหน้านี้”
ผู้ผลิตเครื่องบินรายนี้คาดการณ์ว่า บริษัทจะสามารถกลับมาส่งมอบเครื่อง 737 Max ได้ในไตรมาส 3 นี้ หลังจากกฎระเบียบต่างๆ เริ่มอนุมัติ ก่อนจะค่อยๆ เพิ่มการส่งมอบเครื่องบินเป็น 31 ลำต่อเดือนในปี 2021
อย่างไรก็ตาม วิกฤตของ Boeing ที่เริ่มตั้งแต่การระงับการผลิตเครื่องบิน 737 มาตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา นั้นคาดว่าจะกระทบกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เพราะซัพพลายเออร์อย่าง General Electric และ Spirit AeroSystems Holdings ก็ได้ประกาศลดจำนวนพนักงานครั้งใหญ่ด้วย โดย General Electric ระบุในเดือนนี้ว่า ในปีนี้บริษัทมีแผนจะลดจำนวนพนักงานในหน่วยธุรกิจการบินลง 25% หรือสูงถึง 13,000 ตำแหน่ง ด้าน Spirit AeroSystems Holdings ประกาศว่าจะปลดพนักงาน 1,450 ตำแหน่งใน Kansas
&nbsp;

ที่มา
<ul>
 	<li><a href="https://www.reuters.com/article/us-boeing-jobs/boeing-cutting-more-than-12000-u-s-jobs-with-thousands-more-planned-idUSKBN2332EP">Boeing cutting more than 12,000 U.S. jobs, thousands more planned</a></li>
 	<li><a href="http://bbc.com/news/business-52827377">Boeing job cuts start to hit nearly 13,000 workers</a></li>
</ul>

Boeing เตรียมปลดพนักงานกว่า 12,000 คน

<h2 class="p3">Boeing ประกาศเมื่อวันที่ 8 ตุลาคมที่ผ่านมาว่า บริษัทเตรียมเงินลงทุน 20 ล้านเหรียญเพื่อจะร่วมทุนกับ Virgin Galactic บริษัท นำเที่ยวอวกาศ ที่ก่อตั้งโดยมหาเศรษฐี Richard Branson</h2>
Virgin Galactic ในขณะนี้อยู่ระหว่างการปิดดีลควบรวมกิจการมูลค่า 800 ล้านเหรียญสหรัฐฯ กับ Social Capital Hedosophia ซึ่งจะทำให้บริษัทกลายเป็นบริษัทมหาชนจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ทันที โดยดีลนี้คาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในสิ้นปี 2019 ดังนั้น การเตรียมงบเข้าลงทุนของ Boeing จะเป็นการซื้อสัดส่วนหุ้นในบริษัทจดทะเบียน
ในแถลงการณ์การร่วมทุน ทั้งสองบริษัทแย้มว่าพวกเขาจะพัฒนาโครงการบางอย่างร่วมกัน ซึ่งยังไม่เปิดเผยรายละเอียดในขณะนี้
อย่างไรก็ดี ทั้ง Boeing และ Virgin Galactic ต่างพร้อมที่จะพามนุษย์ออกสู่อวกาศภายในไม่กี่เดือนข้างหน้า
ที่ผ่านมาบริษัท Virgin Galactic ได้พานักบินอวกาศขึ้นสู่ระยะ 100 กิโลเมตรเหนือน้ำทะเล (suborbital) ซึ่งถือว่าเข้าเขตอวกาศสำเร็จมาแล้วในปี 2018 และบริษัทนี้อยู่ระหว่างเตรียมพร้อมเพื่อเปิดไฟลท์บินเชิงพาณิชย์เที่ยวบินแรกเร็วๆ นี้
ทั้งนี้ เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา Virgin Galactic ได้เปิดเผยภาพภายในท่าอวกาศยาน (spaceport) แห่งใหม่ของบริษัทที่รัฐ New Mexico ซึ่งจะเป็นจุดปล่อยยานอวกาศ เป็นการประกาศความพร้อมของบริษัทที่จะให้บริการ


<figure><img class="size-full wp-image-22604" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/10/Virgin-Galactic-นำเที่ยวอวกาศ-spaceport.jpg" alt="Virgin-Galactic-นำเที่ยวอวกาศ-spaceport" width="800" height="535" /><figcaption> ท่าอวกาศยาน (spaceport) ของบริษัท Virgin Galactic ที่รัฐ New Mexico ซึ่งจะเป็นจุดปล่อยยานอวกาศ เป็นการประกาศความพร้อมของบริษัทที่จะให้บริการไฟลท์บินเร็วๆ นี้ (PHOTO CREDIT: theatlantic.com)</figcaption></figure>
ปัจจุบัน Virgin Galactic มีลูกค้าจองตั๋วบินแล้ว 603 ราย ด้วยสนนราคาตั๋ว 200,000-250,000 เหรียญต่อหนึ่งทริป และจะกลับมาเปิดจำหน่ายตั๋วกันอีกครั้งเมื่อเริ่มให้บริการเที่ยวบินแรก ลูกค้าเหล่านี้ยังคงรอคอยด้วยความอดทน เพราะแม้แต่คนที่จองเป็นรายท้ายๆ ก็ยังจองตั๋วไว้ล่วงหน้าตั้งแต่ปี 2010
ฟาก Boeing นั้นกำลังพัฒนาแคปซูลอวกาศ Starliner โดยเป็นโครงการพัฒนาภายใต้สัญญาความร่วมมือกับ NASA (ในโครงการเดียวกันนี้ SpaceX ของ Elon Musk ก็ร่วมมือพัฒนาแคปซูลอวกาศด้วยเช่นกัน) หากสำเร็จ แคปซูลดังกล่าวจะเป็นพาหนะขนส่งนักบินอวกาศไปยัง สถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) ปิดฉากการพึ่งพิงยานอวกาศของรัสเซียให้เป็นผู้ขนส่งนักบินอวกาศของสหรัฐฯ เข้าและออกจาก ISS บริษัท Boeing คาดหวังว่าจะสามารถนำ Starliner ขึ้นทดสอบการบินรอบโลกได้ในเร็วๆ นี้

<ul>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/news/other/%e0%b8%aa%e0%b8%95%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b9%8c%e0%b8%97%e0%b8%ad%e0%b8%b1%e0%b8%9e-audacy-%e0%b8%ad%e0%b8%a7%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a8.html">สตาร์ทอัพ AUDACY ผู้สร้างสัญญาณโทรศัพท์ในอวกาศ</a></li>
</ul>
การท่องเที่ยวอวกาศนั้นเป็นเทรนด์ที่หลายบริษัทแข่งขันกันเป็นผู้นำมาแล้วหลายปี หลังจาก “นักท่องเที่ยว” คนแรก Dennis Tito มหาเศรษฐีอเมริกันยอมจ่ายเงิน 20 ล้านเหรียญสหรัฐฯ​ เพื่อโดยสารยาน Soyuz ของรัสเซียขึ้นไปเที่ยวสถานี ISS เมื่อปี 2001 จากนั้นก็มีนักท่องเที่ยวอีก 6 คนเดินตามรอยของเขา แต่กลับไม่มีใครออกเที่ยวอวกาศอีกเลยตั้งแต่ปี 2009


<figure><img class="size-full wp-image-22608" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/10/Blue-Origin.jpg" alt="" width="800" height="442" /><figcaption> จรวด New Shepard ทำการทดสอบขึ้นบิน (PHOTO CREDIT: Blue Origin)</figcaption></figure>
นอกจาก Virgin Galactic บริษัทที่กำลังจะสร้างฝันให้เป็นจริงอีกรายคือ Blue Origin ของเจ้าพ่ออี-คอมเมิร์ซ Jeff Bezos โดยจรวด New Shepard ของบริษัทถูกยิงขึ้นสู่อวกาศมาแล้ว 10 ครั้ง และบริษัทคาดว่าจะทดสอบการขึ้นสู่อวกาศโดยมีมนุษย์ขึ้นไปด้วยภายในปีนี้ รวมถึงการเปิดขายตั๋วครั้งแรกน่าจะเกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน และน่าจะเป็นราคาที่ใกล้เคียงกับ Virgin Galactic
ทั้งสองบริษัทมีแผนที่จะพานักท่องเที่ยวนำเที่ยวอวกาศรอบละ 6 คน นักท่องเที่ยวจะได้ชื่นชมอวกาศจากในแคปซูลเป็นเวลาหลายนาที ก่อนจะพากลับมายังโลก ซึ่งนักท่องเที่ยวจะต้องลงสู่พื้นโลกด้วยร่มชูชีพ
ทางด้าน SpaceX นั้นมีความฝันจะ นำเที่ยวอวกาศ ไปไกลกว่าแค่ขอบโลก Musk มีวิสัยทัศน์ที่จะจัดทริปนำเที่ยวไปเหยียบดวงจันทร์ภายในปี 2023
&nbsp;

ที่มา
<ul>
 	<li><a href="https://www.forbes.com/sites/alexknapp/2019/10/08/boeing-plans-to-invest-20-million-in-space-tourism-company-virgin-galactic/?utm_source=newsletter&amp;utm_medium=email&amp;utm_campaign=daily-dozen&amp;cdlcid=5d1670e71802c8c524d6a517#647564654ff1">Boeing Plans To Invest $20 Million In Space Tourism Company Virgin Galactic</a></li>
 	<li><a href="https://www.wired.co.uk/article/spacex-blue-origin-space-tourism">2019 is the year that space tourism finally becomes a reality. No, really</a></li>
</ul>

Boeing เตรียมลงทุน 20 ล้านเหรียญในบริษัท “นำเที่ยวอวกาศ” Virgin Galactic

<h2 class="topic">ในการแข่งขันเอาชนะธรรมชาติ เที่ยวบินตรงยาว 19 ชั่วโมงของสายการบิน Singapore Airlines น่าจะครองตำแหน่งชนะเลิศในแง่ของระยะทาง เที่ยวบินจากสิงคโปร์ไปยังสนามบิน Newark ใน New York นั้นยาวถึง 9,500 ไมล์ ในขณะที่นกปากแอ่นหางลายจะบินเป็นระยะทาง 7,000 ไมล์ในฤดูอพยพระหว่างรัฐ Alaska กับประเทศนิวซีแลนด์ ความแตกต่างอย่างเดียวระหว่างทั้งคู่คือฝูงนกเหล่านี้จะต้องบินต่อเนื่องถึง 9 วัน</h2>
เที่ยวบินใหม่ของ Singapore Airlines นับว่าได้รับความสนใจจากสื่อมาก เมื่อพิจารณาว่าเที่ยวบินนี้เคยทำการบินมาแล้วเมื่อ 9 ปีก่อน ก่อนที่จะหยุดดำเนินการไปในปี 2013 จากภาวะราคาน้ำมันพุ่งกว่า 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล 

สื่อมวลชนหลายรายยกให้การนำเที่ยวบินนี้กลับสู่ตารางบินอีกครั้งของ Singapore Airlines เป็นศักราชใหม่ของไฟลท์บินตรงระยะไกล (ultra-long-haul) สำนักข่าว BBC พาดหัวเชิงตั้งคำถามว่า “นี่คืออนาคตของเที่ยวบินระยะไกลหรือไม่?” ขณะที่นิตยสาร Fortune พาดหัวยาวเหยียด “19 ชั่วโมงสู่ Newark: Singapore Airlines กลับมาทวงบัลลังก์ศึกเที่ยวบินระยะไกลของโลก” 
<ul class="listtype-bullet listindent1 list-bullet1">
 	<li><a href="http://forbesthailand.com/news-detail.php?did=2800">Singapore Airlines เปิดเที่ยวบินตรงยาวที่สุดในโลก ตอบโจทย์ผู้โดยสารพรีเมียม</a></li>
</ul>
ถึงแม้ว่าเที่ยวบินข้ามโลกแบบนี้จะกินใจมนุษยชาติที่ต่างมีโลกแฟนตาซีของการได้บินเคียงคู่ไปกับฝูงนก แต่ในแง่มุมความเป็นจริงเชิงเศรษฐศาสตร์นั้นแตกต่างออกไป

การแข่งขันรอบล่าสุดของไฟลท์บินระยะไกลเกิดขึ้นในช่วงกลางทศวรรษ 2000s ด้วยตัวแปรสำคัญคือเครื่องบิน Boeing 777 และ Airbus A340 (777-200LR และ A340-500) สายการบินต่างแสวงหาข้อได้เปรียบจากโมเดลเครื่องบินใหม่ที่สามารถบินได้นาน 18 ชั่วโมงนี้ด้วยการออกเที่ยวบินเชื่อมต่อระหว่างทวีปเอเชียกับสหรัฐอเมริกา จนถึงปี 2008 มีไฟลท์บินไกลกว่า 8,000 ไมล์ทั้งหมด 10 เที่ยวบินในตาราง

แต่ในความเป็นจริงนั้น หลายสายการบินต้องเผชิญปัญหา สายการบินไทยยกเลิกไฟลท์บินจากกรุงเทพฯ สู่ L.A. และ New York ขณะที่ Singapore Airlines เปลี่ยนแปลงเที่ยวบินสู่ New York เป็นเที่ยวบินชั้นธุรกิจทั้งลำ 100 ที่นั่งซึ่งดำเนินการอยู่ 5 ปีก่อนจะต้องยอมจำนนและยกเลิกไป

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/d3f459456c7be17062bdbe2ed9bb976b.jpg" alt="" width="638" height="309" /><figcaption> การบินไทยเองก็เคยมีเที่ยวบินตรงจากกรุงเทพฯ สู่ Los Angeles และ New York ซึ่งต้องใช้เวลาบินนานถึง 18 ชั่วโมง</figcaption></figure>

เหตุและผลนั้นง่ายดาย นั่นคือ การที่คุณจะบินได้ไกลขึ้น คุณต้องแบกเชื้อเพลิงที่มากขึ้นไปด้วย และเมื่อต้องเพิ่มปริมาณเชื้อเพลิง คุณก็ต้องสละพื้นที่ว่างบนเครื่องซึ่งควรจะนำมาใช้สร้างรายได้ 

ถึงแม้ว่าบริษัทผลิตเครื่องบินจะอ้างว่าโมเดลเครื่องรุ่นใหม่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพได้ 25% แต่เครื่องบินเหล่านี้ก็ยังบริโภคน้ำมันประมาณ 6 ตันต่อชั่วโมง ดังนั้นการบินระยะไกลเพิ่มขึ้นอีก 4 ชั่วโมงแปลว่าเครื่องจะต้องการน้ำมันเพิ่มอีกอย่างน้อย 25 ตัน ปริมาณเชื้อเพลิง 25 ตันที่จะทำให้เครื่องขาดพื้นที่บรรทุกคนหรือสิ่งของเพิ่มเพียงเพื่อทำให้เครื่องไม่ต้องหยุดแวะกลางทางแม้แต่จุดเดียว

นอกจากนี้ยังมีต้นทุนอื่นๆ อีกสำหรับเที่ยวบินไม่แวะพักยาว 18 ชั่วโมง นั่นคือลูกเรือ 2 ชุดสำหรับสับเปลี่ยนระหว่างที่อีกชุดหนึ่งพักผ่อน, บริการอาหารที่ซับซ้อนขึ้น รวมถึงน้ำสำหรับดื่มและสำหรับบริการห้องน้ำบนเครื่องบิน หากต้องการรายได้ที่ครอบคลุมต้นทุนเหล่านี้ เที่ยวบินนั้นๆ จะต้องได้ค่าพรีเมียมที่สูงกว่าไฟลท์บินแบบแวะพักทั่วไป

แม้ต้นทุนจะสูงแต่ 2-3 ปีที่ผ่านมาจำนวนเที่ยวบินระยะไกลก็เริ่มเพิ่มขึ้นอีกครั้ง เส้นทางบินในตารางเดือนตุลาคมนี้ที่มีเที่ยวบินไกลกว่า 8,000 ไมล์ถึง 26 เส้นทางรวมถึงอีก 3 เส้นทางที่กำลังจะประกาศเร็วๆ นี้(ข้อมูลจาก OAG วิเคราะห์โดย ICF) 

ผู้ที่สนับสนุนเที่ยวบินระยะไกลมักกล่าวว่า ด้วยเทคโนโลยีเครื่องบินโมเดลใหม่ เช่น เครื่องบินเครื่องยนต์คู่ A350-ULH นั้นประหยัดน้ำมันกว่าเครื่องบินรุ่นก่อนๆ จนสามารถเปลี่ยนสมการการบินพาณิชย์ได้ ซึ่งตัวแปรนี้อาจจะเป็นไปได้สำหรับบางเส้นทาง

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/856a5021f4c95fe51715d909d8acbadf.jpg" alt="" width="638" height="390" /><figcaption> Dubai ฮับการบินพาณิชย์ของโลกซึ่งกลายเป็นตัวแปรใหม่ของเส้นทางบินระยะไกล ( PHOTO CREDIT: Emirates)</figcaption></figure>

อย่างไรก็ตาม มีปรากฏการณ์อื่นที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันด้วย กล่าวคือ เที่ยวบินระยะไกลหลายเส้นทางในยุคบูมก่อนหน้านี้เป็นเส้นทางที่เชื่อมต่อเมืองหลักทางธุรกิจเข้าด้วยกัน โดยเป็นเส้นทางที่ผู้โดยสารส่วนใหญ่ยินดีจ่ายค่าพรีเมียมเพื่อเดินทางจากจุด A ไปยังจุด B โดยไม่แวะพัก 

ในทางกลับกัน ครึ่งหนึ่งของเส้นทางบินไกลทุกวันนี้เป็นการเชื่อมต่อไปยังฮับขนาดใหญ่ในตะวันออกกลาง ยกตัวอย่างเช่น ไฟลท์บิน Dubai-Auckland ที่เริ่มบินเมื่อปี 2016 พนันได้เลยว่าผู้โดยสารจำนวนมากต้องการไปเปลี่ยนเครื่องที่ Dubai เพื่อเดินทางสู่จุด C ต่อไป สำหรับผู้โดยสารกลุ่มนี้ ไฟลท์บินระยะไกลเส้นทางใหม่จากจุด A ตรงไปจุด C น่าจะเป็นการเชื่อมต่อที่ดี แต่ขึ้นอยู่กับว่าผู้โดยสารเหล่านี้จะยอมจ่ายค่าพรีเมียมหรือไม่?

แน่นอนว่ามีผู้โดยสารกลุ่มหนึ่งที่ยอมจ่ายมากกว่าเพื่อบินข้ามโลกแบบไม่แวะพัก นั่นคือผู้โดยสารธุรกิจ เตียงนอนราบ 180 องศาและคืนแห่งการพักผ่อนที่ดีนั้นคุ้มค่าพอที่พวกเขาจะจ่ายเพิ่มอีก 1,000 เหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเส้นทางบินระยะไกลประมาณ 10 เส้นทางทั่วโลกนั้นมีดีมานด์ดังกล่าวมากพอจะสร้างรายได้จากค่าพรีเมียม โดย 5 เส้นทางในจำนวนนั้นเป็นไฟลท์บินไป-กลับจากออสเตรเลีย ส่วนเส้นทางบินระยะไกลใหม่ๆ ที่เพิ่งเปิดตัวนั้นยังยากที่จะตัดสินความคุ้มค่า

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ไฟลท์ระยะไกลเส้นทางใหม่เหล่านี้จะยังคงถูกจับตามอง เราอาจจะลืมเวทมนต์ของการบินไปในเส้นทางระยะใกล้ แต่เมื่อเป็นการบินไกลถึง 8,000 ไมล์บนฟากฟ้า สิ่งนี้จะยังคงเป็นความมหัศจรรย์อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการบินของนกอพยพหรือนกเหล็กก็ตาม

&nbsp;

แปลและเรียบเรียงจาก <a href="https://www.forbes.com/sites/samuelengel1/2018/10/23/in-bird-versus-singapore-airlines-airbus-bird-flies-longer/#5e1e5256d7ea">What's Behind The New Boom In Ultra-Long-Haul Airline Flights </a>โดย Samuel Engel รองประธานและกรรมการผู้จัดการด้านการบิน ICF ตีพิมพ์ใน forbes.com

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events