<h2>Apple ออกประกาศจะหยุดขายนาฬิกา Apple Watch 2 เวอร์ชันล่าสุดในสหรัฐฯ ชั่วคราว หลังประสบปัญหาเกิดข้อพิพาทด้านทรัพย์สินทางปัญญาเกี่ยวกับฟีเจอร์ Blood Oxygen หรือการวัดค่าออกซิเจนในเลือด<br></h2><p><span style="background-color: initial; font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px; text-align: var(--bs-body-text-align);"><br></span></p><p><span style="background-color: initial; font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px; text-align: var(--bs-body-text-align);">&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี อย่าง Apple ได้ออกแถลงการณ์ ประกาศจะหยุดการขายนาฬิกา Apple Watch ทั้ง 2 รุ่นล่าสุดลงชั่วคราว ได้แก่&nbsp;<strong><span style="color: rgb(68, 68, 68);">Apple Watch Series 9 </span></strong><span style="color: rgb(68, 68, 68);">และ</span><strong><span style="color: rgb(68, 68, 68);"> Apple Watch Ultra 2&nbsp;</span></strong><span style="color: rgb(68, 68, 68);">โดย</span>จะเริ่มหยุดจำหน่ายสินค้าผ่านออนไลน์ในวันพฤหัสบดี 21 ธันวาคม 2023 นี้ ตั้งแต่เวลา 15.00 น. และหยุดจำหน่ายผ่านร้านค้าในวันอาทิตย์ที่ 24 ธันวาคม 2023&nbsp;</span></p><p><span style="background-color: initial; font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px; text-align: var(--bs-body-text-align);">&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้&nbsp;</span><span style="background-color: initial; font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px; text-align: var(--bs-body-text-align);">การตัดสินใจดังกล่าวเป็นผลมาจากความขัดแย้งด้านทรัพย์สินทางปัญญาระหว่าง Apple และ Masimo&nbsp;<span style="color: rgb(68, 68, 68);">บริษัทเทคโนโลยีทางการแพทย์</span> เกี่ยวกับฟีเจอร์ Blood Oxygen หรือ การวัดค่าออกซิเจนในเลือด</span><span style="background-color: initial; font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px; text-align: var(--bs-body-text-align);">&nbsp;เป็นผลให้ทาง</span><span style="background-color: initial; font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px; text-align: var(--bs-body-text-align);">คณะกรรมาธิการการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา หรือ ITC จึงได้ออกคำสั่งถึงสองฉบับในการจำกัดความสามารถของบริษัท Apple&nbsp;ในการขายผลิตภัณฑ์ที่ใช้คุณสมบัติออกซิเจนในเลือดดังกล่าวนับตั้งแต่วันที่ 26 ตุลาคมที่ผ่านมา&nbsp;</span></p><p>&nbsp; &nbsp; ขณะเดียวกัน ทางรัฐบาล โจ ไบเดน เองก็มีกรอบระยะเวลาจำนวน 60 วัน ในการทบทวนข้อจำกัดต่างๆ ตามนโยบายของ ITC หรือจนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ซึ่งการที่ Apple ได้ตัดสินใจหยุดจำหน่ายชั่วคราวก่อนนั้นก็เพื่อให้แน่ใจว่าการดำเนินงานดังกล่าวจะเป็นไปตามคำสั่งหากคำตัดสินของ ITC ยังคงอยู่ ซึ่ง<span style="background-color: initial; font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px; text-align: var(--bs-body-text-align);">แนวทางการรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้นของ Apple ในครั้งนี้ส่งผลให้หุ้นปิดตัวลงน้อยกว่า 1% ในวันจันทร์ที่ผ่านมา (18 ธันวาคม 2023) ขณะที่หุ้นของทาง Masimo มีกำไรมากกว่า 3%</span></p><p><br></p><div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/12/KHo4hB3tgrPH8jdXWTo7.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="KHo4hB3tgrPH8jdXWTo7.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div><p>​</p><p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม&nbsp;<span style="color: rgb(68, 68, 68)">ในแถลงการณ์ของ Apple ยังชี้แจงให้เห็นด้วยว่า บริษัทไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับคำสั่งของทาง ITC พร้อมย้ำว่าบริษัทกำลังดำเนินการตามทางเลือกทางกฎหมายและทางเทคนิคเพื่อให้แน่ใจว่า Apple Watch พร้อมให้บริการแก่ลูกค้า ขณะที่แถลงการณ์ของคู่กรณีอย่าง Masimo กลับชี้ให้เห็นถึงคำตัดสินของ ITC ว่า แม้แต่บริษัทที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย</span>​<br></p><p><span style="background-color: initial; font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px; text-align: var(--bs-body-text-align);">&nbsp; &nbsp; สำหรับกลุ่มลูกค้าผู้ที่ซื้อนาฬิกา Apple Watch จากทั้งสองรุ่นที่กล่าวถึงไปแล้วนั้น ทาง Apple ระบุว่า คำตัดสินดังกล่าวจะไม่ส่งผลใดๆ กับผลิตภัณฑ์ที่ซื้อไปแล้ว และจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ กับทั้งสองรุ่นดังกล่าวนอกสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้ อุปกรณ์เสริมต่างๆ ของ Apple ถือเป็นแหล่งสร้างรายได้ที่มีมูลค่าสูงเป็นอันดับ 3 ของบริษัท โดยสามารถสร้างรายได้ถึง 9.3 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในไตรมาสสุดท้ายของปีงบประมาณล่าสุดของบริษัท</span><br></p><p><br></p><div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 720px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/12/3kFbQYDE2TMwKAww6g95.jpg" alt="" data-proportion="true" data-size="720px,488px" data-align="center" data-file-name="3kFbQYDE2TMwKAww6g95.jpg" data-file-size="0" origin-size="720,488" data-origin="720px,488px" style="width: 720px; height: 488px;" data-index="1"></figure></div><p>&nbsp;</p><p><br></p><p><span style="color: rgb(68, 68, 68)">เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/global/starbucks-large-investment-in-china" alt="ร้านกาแฟโตไวในแดนชา! Starbucks ตั้งเป้าขยาย 9,000 สาขาทั่วประเทศจีน"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/global/hollywood-rough-year-box-office-sales-fall" alt="ดับฝัน Hollywood รายได้ Box Office ต่ำกว่าเป้า ผลกระทบประท้วงหยุดงานและขาลงหนังฮีโร่">ดับฝัน Hollywood รายได้ Box Office ต่ำกว่าเป้า ผลกระทบประท้วงหยุดงานและขาลงหนังฮีโร่</a></span><br></p><p><a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a></p>

Apple Watch 2 รุ่นล่าสุดจะหยุดขายในสหรัฐฯ ชั่วคราว หลังเกิดปมขัดแย้งละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา

<h1>Apple บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่จากสหรัฐฯ ประกาศรายงานผลประกอบการไตรมาสที่สี่ของปีงบประมาณ 2022 เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา โดยรวมบริษัทได้รับผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินเหรียญสหรัฐฯ แต่ยังสามารถเพิ่มกำไรต่อหุ้นได้จากปีก่อน <br>​<br></h1><p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รายงานผลประกอบการแสดงให้เห็นว่าการดำเนินงานของบริษัทนั้นเป็นไปตามความคาดหวังของเหล่าผู้ลงทุน ส่งผลให้ราคาหุ้นขึ้นมาร้อยละ 7.6 อยู่ที่ 155.74 เหรียญสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ดัชนีตลาดหุ้น Nasdaq ร่วงลงมาร้อยละ 1 และมีรายงานการระบาดของโควิด-19 ที่โรงงานของ Foxconn ผู้ผลิตชิ้นส่วนรายสำคัญของ Apple ราคาหุ้นบริษัทลดลงมา 2.40 เหรียญ เหลือเพียง 153.34 เหรียญล่าสุดเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา</p><h2><br></h2><div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 650px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/11/NRwjYLKiZHTCRF79VhRx.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="NRwjYLKiZHTCRF79VhRx.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="650px,326px" data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" origin-size="960,481" style="width: 650px; height: 326px; transform: rotate(0deg);" data-index="0"><figcaption style="margin-top: 0px;"><div>กำไรต่อหุ้นของบริษัท Amazon, Google:Alphabet, Facebook:Meta, Microsoft และ Apple ภาพจาก ERIK WOODRING นักวิเคราะห์หุ้นจากบริษัท MORGAN STANLEY, REFINITIV</div></figcaption></figure></div><div><br></div><h2>เงินเหรียญสหรัฐฯ แข็งค่าส่งผลต่อการเติบโตของรายได้ </h2><div><br></div><p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รายได้ประจำไตรมาสของบริษัทอยู่ที่ 9 หมื่นล้านเหรียญ เพิ่มขึ้นร้อยละ 8 เทียบกับ 8.34 หมื่นล้านเหรียญของไตรมาสสุดท้ายในปีที่แล้ว และเพิ่มขึ้นมาร้อยละ 41 จาก 6.4 หมื่นล้านเหรียญของไตรมาสสุดท้ายเมื่อเดือนกันยายนในปี 2019 ก่อนวิกฤตโรคระบาดโควิด-19 ทั้งนี้ ผลประกอบการของปีนี้ได้รับผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินเหรียญสหรัฐฯ โดยมีมูลค่าถึง 5 พันล้านเหรียญ</p><p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Toni Sacconaghi นักวิเคราะห์จากบริษัทให้คำปรึกษาด้านการเงิน Bernstein ทำการประเมินและสรุปว่า รายได้ของ Apple ในปีนี้ส่วนหนึ่งมาจากการปรับปรุงช่องทางการจัดจำหน่ายและการแก้ปัญหาซัพพลายเชนสำหรับสินค้าตระกูล Macs และ iPads ในไตรมาสสามสิ้นสุดเดือนมิถุนายน โดย Sacconaghi เชื่อว่าในสัดส่วนร้อยละ 8 ของการเติบโตทางรายได้ในปีนี้มีที่มาจากสินค้าสองประเภทนี้ร้อยละ 5<br></p><p><br></p><div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 650px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/11/yG4QWyxRCSknVhRRzBMD.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="yG4QWyxRCSknVhRRzBMD.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="650px,543px" data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" origin-size="960,802" style="width: 650px; height: 543px; transform: rotate(0deg);" data-index="1"><figcaption style="margin-top: 0px;"><div>รายได้ของ Apple ในแต่ละส่วน: ไตรมาส 4 ปี 2021 และไตรมาส 4 ปี 2022 ภาพประกอบจาก STATISTA</div></figcaption></figure></div><p><br></p><p><span style="font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px; text-align: var(--bs-body-text-align);">&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รายได้จากยอดขาย iPhone ในไตรมาสนี้อยู่ที่ 4.26 หมื่นล้านเหรียญ เติบโตขึ้นร้อยละ 9.7 จาก 3.89 หมื่นล้านเหรียญในไตรมาสสี่ของปี 2021 โดยรายได้จากการขายโทรศัพท์ iPhone นับเป็นสัดส่วนเท่ากับร้อยละ 47 ของรายได้สุทธิของบริษัท ทั้งนี้ บริษัทเปิดตัวโมเดลบางรุ่นของ iPhone 14 เร็วกว่าหนึ่งสัปดาห์เมื่อเทียบกับตอนที่บริษัทเปิดตัว iPhone 13 ในปีที่แล้ว ทำให้ Apple มีเวลาในการทำรายได้จากยอดขาย iPhone มากขึ้นสำหรับไตรมาสนี้</span></p><div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 650px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/11/w7ojRHfzQWmmhyLKMLBu.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="w7ojRHfzQWmmhyLKMLBu.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="650px,419px" data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" origin-size="960,619" style="width: 650px; height: 419px; transform: rotate(0deg);" data-index="2"><figcaption style="margin-top: 0px;"><div>รายได้จาก iPhone: ไตรมาสแรกของปี 2020 ถึงไตรมาสสุดท้ายของปี 2022 ภาพประกอบโดย TONI SACCONAGHI นักวิเคราะห์ที่บริษัท BERNSTEIN</div></figcaption></figure></div><p><br></p><p><span style="font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px; text-align: var(--bs-body-text-align);">&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ธุรกิจในด้านการให้บริการของ Apple ไม่ว่าจะเป็น iCloud, AppleCare, หรือ Apple Pay เป็นหน่วยที่ใหญ่ที่สุดรองลงมาจากธุรกิจในส่วนของผลิตภัณฑ์และสร้างรายได้ให้แก่บริษัทถึง 1.92 หมื่นล้านเหรียญ ซึ่งน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ที่ 1.99 หมื่นล้านเหรียญ</span><br></p><p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในส่วนของรายได้จากสินค้าประเภท Wearable หรืออุปกรณ์อัจฉริยะสำหรับสวมใส่ มีอัตราการเติบโตอยู่ที่ร้อยละ 10 นับเป็นมูลค่า 9.7 พันล้านเหรียญ โดยครั้งนี้ถือว่าเป็นไตรมาสครั้งที่ 9 แล้วที่สินค้าประเภทดังกล่าวมียอดขายนำหน้าสินค้าตระกูล iPad และนับเป็นปีที่สามติดต่อกันที่ทำรายได้มากกว่าคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะและแล็บท็อปอย่าง Mac  <br><span style="font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px; text-align: var(--bs-body-text-align);"><br></span></p><h2>อัตรากำไรขั้นต้นยังคงแข็งแกร่ง<br></h2><p><br></p><p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อัตรากำไรขั้นต้นของ Apple เติบโตแบบก้าวกระโดดจากช่วงระยะเวลาสองปีที่ผ่านมา เนื่องมาจากปัจจัยหลายด้านประกอบกัน ได้แก่ การเติบโตของรายได้รวมถึง Margin หรือกำไรขั้นต้นของสินค้าฮาร์ดแวร์และธุรกิจด้านบริการที่เพิ่มสูงขึ้น <br>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จากรายงานผลประกอบการในไตรมาสนี้ อัตรากำไรขั้นต้นสุทธิของบริษัทอยู่ที่ร้อยละ 42.3 เทียบกับปีที่แล้วซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 42.2 ในขณะที่ Margin ในส่วนของธุรกิจด้านการบริการของบริษัทอยู่ที่ร้อยละ 70.5  และ Margin ของสินค้าฮาร์ดแวร์เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 34.3 เป็นร้อยละ 34.6</p><div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 650px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/11/sUGBbfjPghQFhA3ZieUv.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="sUGBbfjPghQFhA3ZieUv.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="650px,414px" data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" origin-size="960,611" style="width: 650px; height: 414px; transform: rotate(0deg);" data-index="3"><figcaption style="margin-top: 0px;"><div>gross margins ของ Apple ตั้งแต่ไตรมาส 1 ปี 2020 ถึงไตรมาส 4 ปี 2022 ภาพประกอบโดย TONI SACCONAGHI นักวิเคราะห์ที่บริษัท BERNSTEIN</div></figcaption></figure></div><p><br></p><h2>กำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้นจากการซื้อหุ้นคืน</h2><p><br></p><p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 4 อยู่ที่ 1.29 เหรียญ จากที่มีการคาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 1.26 ทั้งนี้ กำไรต่อหุ้นทั้งปีอยู่ที่ 6.11 เหรียญ ขึ้นมาจากปีก่อนร้อยละ 9 ซึ่งมีมูลค่า 5.61 เหรียญ </p><p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในปีที่แล้ว Apple ทำการซื้อหุ้นบริษัทคืนโดยมีมูลค่าทั้งหมด 8.94 หมื่นล้านเหรียญ ซึ่งทำให้จำนวนหุ้นของบริษัทที่ชำระแล้วลดลงร้อยละ 3.1 ดังนั้น หากจำนวนหุ้นบริษัทในไตรมาสกันยายนยังคงจำนวนเท่าเดิม กำไรต่อหุ้นจะเพิ่มขึ้นมาเพียงหนึ่งสลึงอยู่ที่ 1.25 เหรียญ จาก 1.24 เหรียญในปีที่แล้ว <br>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม อัตราภาษีหุ้นที่เก็บจากการซื้อหุ้นคืนในปีนี้อยู่ที่ร้อยละ 16 ซึ่งสูงกว่าอัตราร้อยละ 11.6 ของปีที่แล้ว ทำให้เงินได้จากกำไรต่อหุ้นลดลง 0.06 เหรียญ<br><br></p><h2>จีนเติบโตแม้นโยบายล็อกดาวน์</h2><h2><br></h2><p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในขณะที่ภูมิภาคแถบอเมริกาและยุโรปจะทำรายได้สูงที่สุดให้แก่บริษัท โดยมีมูลค่าอยู่ที่ 3.98 หมื่นล้านเหรียญ และ 2.28 หมื่นล้านเหรียญตามลำดับในไตรมาสนี้ จีนทำรายได้อยู่ที่ 1.55 หมื่นล้านเหรียญ</p><p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในบรรดาสามภูมิภาคนี้ ตลาดยุโรปมีอัตราการเติบโตที่แข็งแรงมากที่สุด โดยอยู่ที่ร้อยละ 9.6 เทียบกับร้อยละ 8.1 ในอเมริกาและจีนที่ร้อยละ 6.2</p><p><span style="font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px; text-align: var(--bs-body-text-align);">&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม รายงานการเติบโตของจีนนับว่าดีกว่าที่มีการคาดการณ์ไว้ เมื่อพิจารณาสถานการณ์การล็อกดาวน์ที่เข้มงวดของรัฐบาลซึ่งทำให้<span style="color: rgb(68, 68, 68);">ซัพพลายเชน</span><span style="color: rgb(68, 68, 68);">และ</span>ภาคธุรกิจโดยรวมได้รับผลกระทบ</span><br></p><p><span style="font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px; text-align: var(--bs-body-text-align);">&nbsp; &nbsp; <span style="color: rgb(68, 68, 68);">ก่อนช่วงโรคระบาดโควิด-19&nbsp;</span>การเติบโตของรายได้บริษัทของแต่ละภูมิภาคในไตรมาสที่สี่ของปี 2019 มีดังนี้:</span><br></p><ul><li>อเมริกาอยู่ที่ร้อยละ 35.8</li><li>ยุโรปร้อยละ 35.8</li><li>จีนร้อยละ 38.9</li></ul><p><span style="font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px; text-align: var(--bs-body-text-align);">&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบการเติบโตในปีงบประมาณระหว่างปี 2019 และปี 2022 จีนมีอัตราการเติบโตที่มากที่สุดอยู่ที่ร้อยละ 69.9 รองลงมาได้แก่ยุโรปซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 57.8 และอเมริการ้อยละ 45.1</span><span style="font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px; text-align: var(--bs-body-text-align);">​</span></p><p><span style="font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px; text-align: var(--bs-body-text-align);"><br></span></p><p><em>แปลและเรียบเรียงโดย สิรินนรี อ๋องสกุล จากบทความ&nbsp;Digging Into Apple’s September Quarter Results เผยแพร่บน Forbes.com</em><br><br>อ่านเพิ่มเติม:</p><ul><li>​<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/world/asia/foxconn-technology-%e0%b8%8b%e0%b8%b1%e0%b8%9e%e0%b8%9e%e0%b8%a5%e0%b8%b2%e0%b8%a2%e0%b9%80%e0%b8%ad%e0%b8%ad%e0%b8%a3%e0%b9%8c%e0%b8%82%e0%b8%ad%e0%b8%87-apple" alt="Foxconn ซัพพลายเออร์ของ Apple เตรียมสร้างโรงงาน 270 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในเวียดนาม">Foxconn ซัพพลายเออร์ของ Apple เตรียมสร้างโรงงาน 270 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในเวียดนาม</a>​</li></ul><hr class="__se__solid"><p><br>​ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine<br></p>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events