<h2>ไมเนอร์ โฮเทลส์ เปิดตัวแบรนด์ อวานี โฮเทลส์ แอนด์ รีสอร์ท เป็นครั้งแรกในประเทศจีน เตรียมเปิดอวานี 2 แห่ง ในมณฑลกวางตุ้ง ภายในปี 2567</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ไมเนอร์ โฮเทลส์ (Minor Hotels) บริษัทผู้ดำเนินธุรกิจโรงแรม ในฐานะเจ้าของ ผู้บริหาร และผู้ลงทุน ซึ่งปัจจุบันมีโรงแรมและรีสอร์ทมากกว่า 540 แห่งใน 56 ประเทศทั่วโลก ร่วมกับพันธมิตรกิจการร่วมค้า (joint venture) ในประเทศจีนกับ บริษัท ฟันยาร์ด ไมเนอร์ เจวี (Funyard Minor JV Co., (China)) ประกาศเปิดตัว อวานี โฮเทลส์ แอนด์ รีสอร์ท (Avani Hotels &amp; Resorts) ในประเทศจีนเป็นครั้งแรก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยเตรียมเปิดให้บริการ อวานี ฮัวเจี้ยน ซิ่นอี๋ กวางตุ้ง รีสอร์ท (Avani Huajian Xinyi Guangdong Resort) และ อวานี พลัส ซิ่นอี๋ กวางตุ้ง รีสอร์ท (Avani+ Xinyi Guangdong Resort) ในอุทยานแห่งชาติมณฑลกวางตุ้ง ซึ่งจะกลายเป็นแบรนด์โรงแรมหรูระดับนานาชาติแห่งแรกที่เปิดให้บริการในเมืองซิ่นอี๋ช่วงครึ่งปีแรกของ พ.ศ. 2567&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ อวานี รีสอร์ท ทั้ง 2 แห่งนี้ โดดเด่นด้วยการออกแบบที่ผสมผสานการพักผ่อน วัฒนธรรม และการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว สอดคล้องกับแผนการพัฒนาพื้นที่ในบริเวณ ซึ่งประกอบไปด้วย โรงแรมหลายแห่ง อาคารพาณิชย์และร้านค้า รวมทั้งวิลล่าตากอากาศสำหรับอยู่อาศัย ทั้งหมดนี้ได้ถูกนำเสนอผ่านประสบการณ์ทางวัฒนธรรมอันเก่าแก่และลึกซึ้ง ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากประวัติศาสตร์อันยาวนานของประเทศจีน​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/02/QXvfFrBMB8MXzNvpi37W.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="QXvfFrBMB8MXzNvpi37W.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0" origin-size="900,600"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับ อวานี ฮัวเจี้ยน ซิ่นอี๋ กวางตุ้ง รีสอร์ท ตั้งอยู่บริเวณเนินเขาของหมู่บ้านซวงเหอ (Shuanghe Village) ติดกับแม่น้ำหวงฮัว (River Huanghua) อันเงียบสงบ โดยรีสอร์ทประกอบไปด้วยห้องพักและห้องสวีทที่กว้างขวางจำนวน 86 ห้อง ห้องอาหารที่เปิดให้บริการตลอดทั้งวัน เสิร์ฟอาหารจีนเกาเหลียงรสชาติต้นตำรับ รวมทั้ง AvaniFit และสระว่ายน้ำอินฟินิตี้บนชั้นดาดฟ้าแห่งแรกในซิ่นอี๋​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/02/hRXD2Jsn9HqfWT76XD9Q.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="hRXD2Jsn9HqfWT76XD9Q.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1" origin-size="900,600"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จุดเด่นสำคัญของรีสอร์ทแห่งนี้คือ สิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัยและการตกแต่งพื้นที่ทั้งภายในรีสอร์ทและพื้นที่กลางแจ้งที่ได้แรงบันดาลใจมาจากธรรมชาติ นอกจากนี้ การออกแบบรีสอร์ทแห่งนี้ยังให้ความสำคัญกับกลุ่มครอบครัว โดยมีห้องสำหรับเด็กๆ ในธีมต่างๆ เพื่อนำเสนอความสนุกสนานควบคู่ไปกับการพักผ่อนที่อวานีแห่งนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่ อวานี พลัส ซิ่นอี๋ กวางตุ้ง รีสอร์ท ตั้งอยู่ท่ามกลางสวนป่าไผ่กลางภูเขาเหนือหมู่บ้านหม่าอัน (Ma’an Village) ประกอบไปด้วยห้องพักและห้องสวีทรวม 96 ห้อง โดยมีห้องพักที่มาพร้อมสระว่ายน้ำและระเบียงส่วนตัวให้เลือกสรร​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/02/eZoVSCL4fXRE1DNT5jyn.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="eZoVSCL4fXRE1DNT5jyn.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="2" origin-size="815,425"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ ยังมีห้องอาหารร่วมสมัยที่เปิดให้บริการตลอดทั้งวัน บาร์ สระว่ายน้ำอินฟินิตี้ AvaniFit และ AvaniKids พื้นที่สำหรับเด็กๆ โดยเฉพาะ รวมทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ เพื่อความผ่อนคลายท่ามกลางความสวยงามของธรรมชาติอีกด้วย​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/02/e3S6rspc8WofzbywNyUj.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="e3S6rspc8WofzbywNyUj.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="3" origin-size="900,582"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ เมืองซิ่นอี๋ ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่กำลังได้รับความสนใจในปัจจุบัน ด้วยระบบนิเวศที่อุดมสมบูรณ์และมีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติมากมาย เช่น ทุ่งหญ้าบนเทือกเขาพร้อมไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขา ป่าไผ่ขนาดใหญ่ทางตะวันตกของกวางตุ้ง ทะเลสาบกลางทุบเขาอันสวยงาม บ่อน้ำพุร้อน และสถานที่ท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่ได้รับรางวัลมากมาย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ แขกที่มาเข้าพักช่วงวันหยุดยังสามารถเยี่ยมชมศาลเจ้าชือยิน (Shiyin Ancestral Temple) อายุ 300 ปี พร้อมเหล่าต้นมะกอกกว่า 30,000 ต้น หรือจะเยี่ยมชมเทศกาลผลไม้อันขึ้นชื่อของเมืองอย่างลูกพลัมซันหัว ซึ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวมาร่วมงานมากกว่า 1 ล้านคนต่อปี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Dillip Rajakarier ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไมเนอร์ โฮเทลส์ กล่าวว่า “การเปิดให้บริการ อวานี ฮัวเจียน ซิ่นอี๋ กวางตุ้ง รีสอร์ท และ อวานี พลัส ซิ่นอี๋ กวางตุ้ง รีสอร์ท ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของไมเนอร์ โฮเทลส์ รวมถึงอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในเมืองซิ่นอี๋ ทั้งยังเป็นการตอกย้ำวิสัยทัศน์ของแบรนด์อวานีในการสร้างสรรค์ประสบการณ์อันยอดเยี่ยมให้แขกได้เข้าถึงและดื่มด่ำกับวัฒนธรรมอันงดงามอีกด้วย”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างมากสำหรับการเปิดโรงแรมอวานีสองแห่งแรกในประเทศจีน โดยโรงแรมทั้งสองแห่งโอบล้อมไปด้วยธรรมชาติ และมอบบรรยากาศการพักผ่อนที่เงียบสงบ ให้ความรู้สึกที่ปราศจากความวุ่นวาย ซึ่งสอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายของเราที่มองหาโรงแรมที่เป็นทั้งสถานที่พักผ่อนและเป็นจุดหมายปลายทางในตัวเอง เรามั่นใจว่าการเปิดโรงแรมอวานีทั้งสองแห่งจะเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าตื่นตาตื่นใจสำหรับวันหยุดพักผ่อนสุดประทับใจ” Eddy Tiftik รองประธานฝ่ายพัฒนาและปฏิบัติการ ไมเนอร์ โฮเทลส์ ภูมิภาคจีน กล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้วยการดำเนินธุรกิจที่เข้มแข็งของ อวานี โฮเทลส์ แอนด์ รีสอร์ท ในภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกกกลาง และแอฟริกาใต้ อวานีจะขยายการให้บริการเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่องในปี พ.ศ. 2567 ทั้งในเอเชีย ยุโรป เซเชลส์ รวมถึงอเมริกากลางและอเมริกาใต้อีกด้วย เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/travel/new-anatara-hotel-in-oman" alt="‘ไมเนอร์ฯ’ ขยายพอร์ตแบรนด์อนันตรา เตรียมเปิดรีสอร์ทหรูใหม่ในโอมาน">‘ไมเนอร์ฯ’ ขยายพอร์ตแบรนด์อนันตรา เตรียมเปิดรีสอร์ทหรูใหม่ในโอมาน</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

Minor Hotels เปิดตัวแบรนด์ ‘โรงแรมอวานี’ ครั้งแรกในประเทศจีน

<h2>ไมเนอร์ โฮเทลส์ (Minor Hotels) เจ้าของโรงแรม ผู้ประกอบการ และนักลงทุนระดับนานาชาติ ซึ่งปัจจุบันมีโรงแรมและรีสอร์ทกว่า 540 แห่งใน 56 ประเทศ ทั่วทวีปเอเชียแปซิฟิก, ตะวันออกกลาง, แอฟริกา, มหาสมุทรอินเดีย, ยุโรป และอเมริกา ประกาศเดินหน้าขยายแบรนด์อนันตราสู่โอมาน โดยเตรียมเปิดให้บริการรีสอร์ทแห่งใหม่ริมหาดในปี 2569 นี้</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับรีสอร์ทแห่งใหม่นี้ตั้งอยู่ที่ บันดาร์ อัล ไคราน (Bandar Al Khairan) ห่างจากตัวเมือง มัสกัต (Muscat) เพียง 45 นาที โดยมาพร้อมกับห้องพักจำนวน 121 ยูนิต แบ่งเป็น ห้องพัก 51 ห้อง บ้านพักแบบชาเลต์ 46 หลัง และวิลล่าอีก 24 หลัง ตั้งลดหลั่นตามไหล่เขามองเห็นน้ำที่ใสราวกระจกของอ่าวโอมาน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยรีสอร์ทหรูซึ่งจะมาพร้อมห้องพักจำนวน 121 ยูนิต แห่งนี้มีกำหนดเปิดให้บริการปี พ.ศ. 2569&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยห้องพักแต่ละห้องขนาดกว้างขวางที่ได้รับการตกแต่งอย่างหรูหราร่วมสมัย ตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติใจกลางรีสอร์ท ขณะที่วิลล่าขนาด 1 และ 2 ห้องนอน จะตั้งอยู่แยกออกไปอย่างเป็นส่วนตัวท่ามกลางสวนเขียวขจี โดยห้องวิลล่าส่วนหนึ่งยังมาพร้อมสระว่ายน้ำส่วนตัวเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายและการพักผ่อนอย่างเต็มที่โดยเฉพาะในช่วงหน้าร้อนของโอมาน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับประสบการณ์ในด้านอาหาร ที่นี่จะมีห้องอาหารและบาร์ให้เลือกสรรถึง 5 ร้าน ได้แก่ ห้องอาหารนานาชาติที่เปิดให้บริการตลอดทั้งวัน ห้องอาหารแบบสเปเชียลตี้สุดพิเศษ ห้องอาหารริมทะเล คาเฟ่ และบาร์รูฟท็อปที่สามารถมองเห็นวิวทะเลอันสวยงาม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ โรงแรมอนันตราแห่งนี้จะบริหารโดยไมเนอร์ โฮเทลส์ และมี Musstir บริษัทพัฒนาและจัดซื้ออสังหาริมทรัพย์ ภายใต้บริษัท เอ็ม บี โฮลดิ้ง (MB Holding Company) เป็นเจ้าของรีสอร์ท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้บริษัทดังกล่าวยังเป็นเจ้าของโรงแรมอัล บาลีด รีสอร์ท ซาลาละห์ บาย อนันตรา (Al Baleed Resort Salalah by Anantara) ซึ่งตั้งอยู่ทางชายฝั่งตอนใต้ของโอมานด้วย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ความร่วมมือระหว่าง Musstir และ ไมเนอร์ โฮเทลส์ ในการพัฒนาอนันตราแห่งที่สองนี้จะช่วยกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสองกลุ่มนักพัฒนาที่ต่างมุ่งขับเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้งให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น และถือเป็นอีกก้าวในการเติบโตของไมเนอร์ โฮเทลส์ ในฐานะผู้ประกอบการชั้นนำในโอมานซึ่งเป็นประเทศที่มีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากห้องพักที่สวยงาม รีสอร์ทแห่งนี้ยังพรั่งพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกระดับพรีเมียมมากมาย ซึ่งประกอบไปด้วย สระว่ายน้ำแบบอินฟินิตี้ สระว่ายน้ำสำหรับเด็ก คลับเลาจน์สำหรับเด็กเล็กและวัยทีน พื้นที่จัดงานและการประชุม ลานจอดเฮลิคอปเตอร์ บริการด้านสุขภาพและความผ่อนคลายจาก อนันตรา สปา (Anantara Spa) ฟิตเนส&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รวมถึงพื้นที่ส่วนตัวสำหรับดูดาวในยามค่ำคืน ทำเลที่ตั้งริมทะเลของรีสอร์ททำให้เหมาะอย่างยิ่ง ทั้งสำหรับแขกที่มองหาสถานที่พักผ่อนริมทะเลและมีบริการด้านสุขภาพระดับพรีเมียม สถานที่สำหรับจัดงานสำคัญ หรือแม้แต่เป็นสถานที่สำหรับการพบปะติดต่อเจรจาธุรกิจ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/02/68HgWBBrLSrKKvadcopQ.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="68HgWBBrLSrKKvadcopQ.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0" origin-size="900,507"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Dillip Rajakarier ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไมเนอร์ โฮเทลส์ กล่าวว่า “รีสอร์ทแห่งใหม่ของเราในตะวันออกกลางจะตั้งอยู่ท่ามกลางความสวยงามทางธรรมชาติของชายฝั่งโอมาน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ขณะที่ Musstir เป็นพาร์ทเนอร์ที่เราไว้วางใจและร่วมแบ่งปันวิสัยทัศน์ในศักยภาพของจุดหมายปลายทางแห่งการท่องเที่ยวอันสวยงามแห่งนี้ รวมถึงความทุ่มเทเพื่อความเป็นเลิศในทุกมิติ ผมและทีมตั้งตาคอยที่จะเห็นความสำเร็จของอนันตรารีสอร์ทแห่งใหม่ที่อยู่ท่ามกลางภูเขาและท้องทะเลที่สวยงามแห่งนี้ในเร็ววัน”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Safana Al Barwani กรรมการผู้จัดการ Musstir กล่าวว่า “เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะได้ต่อยอดความร่วมมือกับไมเนอร์ โฮเทลส์ ในการเติมอัญมณีอันล้ำค่าให้กับอุตสาหกรรมโรงแรมในโอมาน โดย อนันตรา รีสอร์ทแห่งใหม่ ใน บันดาร์ อัล ไคราน จะผสานธรรมชาติโดยรอบที่สมบูรณ์สวยงาม เพื่อนำเสนอความยิ่งใหญ่ของโอมานและเชื้อเชิญเหล่านักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้มาสัมผัสประสบการณ์อันล้ำค่าด้วยตัวเอง”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ แผนการเปิดตัวโรมแรมและรีสอร์ทในปี พ.ศ. 2567, 2568 และ 2569 จะขยายการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของไมเนอร์ โฮเทลส์ ในเอเชีย ตะวันออกกลาง และแอฟริกา โดย อนันตรา รีสอร์ท ใน บันดาร์ อัล ไคราน จะเข้ามาสร้างการเติบโตให้กับพอร์ตโฟลิโอโรมแรมและรีสอร์ทหรูของแบรนด์อนันตราในตะวันออกกลาง ซึ่งมีรีสอร์ทอยู่แล้ว 2 แห่ง ในโอมาน ได้แก่ อัล บาลีด รีสอร์ท ซาลาละห์ บาย อนันตรา และ อนันตรา อัล จาบาล อัล อัคดาร์ รีสอร์ท และโรมแรมอีก 10 แห่ง ที่เปิดให้บริการในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และอีกหนึ่งแห่งในกาตาร์อีกด้วย เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/marketing/travel/mint-business-plan-2024" alt="ไมเนอร์ฯ เตรียม 3 หมื่นล้าน ปรับโฉมโรงแรมทั่วโลก พร้อมส่งธุรกิจอาหารเจาะ ‘อาเซียน’ ปีนี้">ไมเนอร์ฯ เตรียม 3 หมื่นล้าน ปรับโฉมโรงแรมทั่วโลก พร้อมส่งธุรกิจอาหารเจาะ ‘อาเซียน’ ปีนี้</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

‘ไมเนอร์ฯ’ ขยายพอร์ตแบรนด์อนันตรา เตรียมเปิดรีสอร์ทหรูใหม่ในโอมาน

<h2>บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT ปรับโมเดลลงทุนลดหนี้ โตกำไรและยอดขาย เตรียม 3 หมื่นล้านปรับโฉมโรงแรมทั่วโลก เพิ่มราคาเข้าพัก พร้อมจับมือพาร์ทเนอร์เขย่าตลาดอาหาร ส่งแดรี่ควีน-เดอะพิซซ่า คอมปะนี-เดอะคอฟฟี่คลับ เจาะอาเซียนปีนี้</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดิลลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มของ MINT เปิดเผยว่า บริษัทจะใช้เงินลงทุน 3 หมื่นล้านบาท เพื่อขยายธุรกิจโรงแรมและอาหารทั้งในและต่างประเทศภายใน 3 ปีข้างหน้า โดยงบการลงทุน 70% จะใช้ในธุรกิจโรงแรม ซึ่งเป็นการขยายในต่างประเทศ 90% ส่วนอีก 10% ที่เหลือเป็นการลงทุนในไทย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่งบการลงทุนที่เหลืออีก 30% จะใช้ในธุรกิจอาหาร แบ่งเป็น การลงทุนในประเทศไทย 60% และต่างประเทศ 40%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“แผนการขยายธุรกิจของไมเนอร์ใน 3 ปีข้างหน้านี้ จะดำเนินการภายใต้ 3 กลยุทธ์หลัก กลยุทธ์แรก คือ การขยายกลุ่มธุรกิจโรงแรมใหม่ประมาณ 200-500 แห่ง และเปิดร้านอาหารทั้งในและต่างประเทศอีก 1,000 สาขา ทำให้ยอดรวมจำนวนโรงแรมใน 3 ปี จะอยู่ที่ 780 แห่ง และร้านอาหารอยู่ที่ 3,700 สาขาตามลำดับ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/02/Sgp2NdmatoWF5zRVRSH3.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="0" data-file-name="Sgp2NdmatoWF5zRVRSH3.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“กลยุทธ์ที่ 2 บริษัทจะให้ความสำคัญกับการลดภาระหนี้ในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยสูงในตลาดสูง โดยตั้งเป้าลดอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นจาก 1.0 เท่า ณ สิ้นปี 2566 เป็น 0.8 เท่าภายในสิ้นปี 2567 ด้วยกลยุทธ์ดังกล่าว บริษัทจะสามารถเพิ่มอัตราการเติบโตของกำไรให้กับบริษัทได้ และคาดว่าหนี้ของบริษัทจะเหลือ 9 หมื่นล้านในปีนี้จาก 1 แสนล้านในปีที่ผ่านมา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“กลยุทธ์ที่ 3 บริษัทจะใช้เงินลงทุนของตนเองให้น้อยที่สุด แต่จะมุ่งเน้นขยายธุรกิจในรูปแบบ “Asset-light model” คือจะทำสัญญารับจ้างบริหารโรงแรม โดยสัดส่วนการรับจ้างบริหารโดยไม่เน้นใช้เงินลงทุนตนเอง จะเพิ่มเป็น 40% ในอีก 3 ปี จากสัดส่วนในปัจจุบันอยู่ที่ 18% นอกจากนี้บริษัทก็จะเน้นการขยายร้านอาหารผ่านการทำแฟรนไชส์ด้วย เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดิลลิปกล่าวต่อว่า สำหรับธุรกิจอาหาร หรือฃไมเนอร์ ฟู้ด จะเสริมความแข็งแกร่งในอาเซียนด้วยการเปิดร้านอาหารแฟรนไชส์ในเวียดนามและสิงคโปร์ภายใต้ ซิซซ์เลอร์, เดอะคอฟฟี่ คลับ และเดอะ พิซซ่า คอมปะนี ยิ่งไปกว่านั้น MINT ได้เข้าซื้อกิจการแดรี่ ควีนเพื่อดำเนินงานในอินโดนีเซีย และเปิดตัว เดอะ พิซซ่า คอมปะนี, สเวนเซ่นส์ และกาก้า ทั้งนี้แผนทั้งหมดที่กล่าวข้างต้นจะสามารถเป็นส่วนหนึ่งในการขยายธุรกิจสู่ตลาดที่มีการเติบโตสูง โดยเฉพาะตลาดภายในกลุ่มอาเซียน​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/02/gU538ouYq8gD8s1HBCaV.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="1" data-file-name="gU538ouYq8gD8s1HBCaV.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ไมเนอร์ฟู้ดส์ยังเตรียมขยายธุรกิจไอศกรีม แดรี่ ควีนในอินโดนีเซียเพิ่มอีก 10 เท่าภายในอีก 2-3 ปีข้างหน้า&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เรายังเตรียมขยายธุรกิจฟู้ดส์ของไมเนอร์อื่นๆ ไปในประเทศที่เราดำเนินธุรกิจอยู่แล้วและยังไม่เคยมีมาก่อน ทั้ง ฟิลิปปินส์ ตะวันออกกลาง ออสเตรเลีย จีน เป็นต้น” ดิลลิปกล่าว และว่า แผนทั้งหมดที่กล่าวข้างต้นนี้ จะสามารถเป็นส่วนหนึ่งในการขยายธุรกิจสู่ตลาดที่มีการเติบโตสูง โดยเฉพาะตลาดภายในกลุ่มอาเซียน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับธุรกิจโรงแรม งบการลงทุนจะถูกใช้ไปในการปรับโฉมโรงแรมเพื่อเพิ่มมูลค่าราคาห้องพัก รวมถึงรีแบรนด์ไปสู่แบรนด์ที่พรีเมียมมากขึ้นอีกประมาณ 20-30 แห่ง ทำให้โรงแรมระดับพรีเมียมเพิ่มเป็น 50 แห่งใน 2 ปีข้างหน้า&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทในปีที่ผ่านมา บริษัทมีกำไรสุทธิ 7,100 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3 เท่าตัวจากปีก่อน สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัท ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวที่เดินทางในไทยและผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในทวีปยุโรป​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/02/uhQNCnhRkuUMCMw6XEbf.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="2" data-file-name="uhQNCnhRkuUMCMw6XEbf.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""><figcaption><div> ดิลลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มของ MINT</div></figcaption></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยในไตรมาส 4 ปี 2566 ไมเนอร์ โฮเทลส์รายงานรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนของโรงแรมในประเทศไทยและทวีปยุโรปและละตินอเมริกา เติบโตที่ร้อยละ 15 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และสูงกว่าปี 2562 ที่ร้อยละ 23 และ 27 ตามลำดับ ตลอดทั้งปี 2566 ไมเนอร์ โฮเทลส์ มีรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนทั้งหมดมากกว่าปี 2565 และปี 2562 ที่ร้อยละ 30 และ 31 ตามลำดับ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในขณะเดียวกัน ไมเนอร์ ฟู้ด มียอดขายโดยรวมทุกสาขาในปี 2566 เติบโตร้อยละ 11 โดยได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของกิจกรรมการรับประทานอาหารภายในร้าน ตลอดจนกลยุทธ์ด้านการเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรมใหม่ๆ และการตลาดของธุรกิจในทุกประเทศ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดิลลิปกล่าวต่อว่า ไมเนอร์เริ่มต้นธุรกิจอย่างแข็งแกร่งในปี 2567 โดยมีรายได้จากห้องพักในเดือนมกราคมและรายได้จากการจองห้องพักล่วงหน้าในเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคมสูงกว่าระดับของปี 2566 ถึงร้อยละ 39 สำหรับประเทศไทยและที่ร้อยละ 20 สำหรับทวีปยุโรป&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ประกอบ 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจโรงแรม ธุรกิจร้านอาหาร และธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าไลฟ์สไตล์ โดยมีโรงแรมและเซอร์วิส สวีทมากกว่า 530 แห่ง ใน 55 ประเทศ และร้านอาหารกว่า 2,600 สาขา ใน 24 ประเทศ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/travel/minor-hotels-aims-to-open-200-new-hotels-in-3-years" alt="“ไมเนอร์ โฮเทลส์” ลุยเต็มสูบ ตั้งเป้าเปิดโรงแรมใหม่ 200 แห่งใน 3 ปี">“ไมเนอร์ โฮเทลส์” ลุยเต็มสูบ ตั้งเป้าเปิดโรงแรมใหม่ 200 แห่งใน 3 ปี</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ไมเนอร์ฯ เตรียม 3 หมื่นล้าน ปรับโฉมโรงแรมทั่วโลก พร้อมส่งธุรกิจอาหารเจาะ ‘อาเซียน’ ปีนี้

<h2>William Heinecke เผยสถานการณ์โควิด-19 ฉุดธุรกิจชะลอตัว เตรียมเสริมเแกร่งไมเนอร์ฯ ออกหุ้นกู้หมื่นล้านบาทพร้อมเพิ่มทุน ย้ำมั่นใจในประสบการณ์และฐานะทางการเงิน พร้อมขอบคุณนักลงทุนที่สนับสนุนธุรกิจยาวนานกว่า 50 ปี</h2>
William Heinecke ประธานกรรมการ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จํากัด (มหาชน) หรือ MINT เปิดเผยแม้ธุรกิจของไมเนอร์จะได้รับผลกระทบอย่างเลี่ยงไม่ได้จากเศรษฐกิจโลกที่ถดถอย แต่องค์กรยังมีความมั่นใจในประสบการณ์และความแข็งแกร่งของไมเนอร์

“ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ไมเนอร์มีผลการดำเนินงานที่มีกำไรอย่างต่อเนื่อง ภายใต้สถานการณ์ต่างๆ ทั้งวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 วิกฤตทางการเมืองในประเทศ และน้ำท่วมใหญ่ในปี 2554 ซึ่งเราสามารถฝ่าฟันไปได้ และทำให้เราขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ เพื่อกระจายความเสี่ยง พร้อมเพิ่มความหลากหลายในธุรกิจของเรา เช่นธุรกิจร้านอาหารในประเทศจีน ธุรกิจโรงแรมในต่างประเทศ อย่าง โอ๊คส์ โฮเทล ในออสเตรเลีย ทิโวลี โฮเทล และ เอ็นเอช โฮเทลส์ ในยุโรปและลาตินอเมริกา"

ทั้งนี้ไมเนอร์ เป็นผู้นำกลุ่มธุรกิจ โรงแรม ร้านอาหาร และไลฟ์สไตล์ มีการจ้างงาน และสร้างอาชีพร่วมหลายหมื่นคน

&nbsp;

<img class="alignnone wp-image-32608" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/07/William-Heinecke-01.jpg" alt="" width="600" height="320" />

ปรับธุรกิจรับโควิด-19

"สถานการณ์โควิด-19 ที่เกิดขึ้นทั่วโลกในเวลานี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่า มันส่งผลกระทบกับธุรกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้จะเป็นปีที่ไม่ดีนัก แต่ไม่ใช่เพราะการดำเนินธุรกิจของบริษัท แต่เป็นสถานการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อทุกธุรกิจทั่วโลก

โดย ไมเนอร์ ได้ปรับตัวทั้งการสร้างมาตรฐานสุขอนามัยสำหรับธุรกิจโรงแรม การส่งอาหารแบบเดลิเวอรี่ที่บริษัทเป็นรายแรกๆ ในประเทศไทย และยังเป็นผู้นำมาตลอด 20 กว่าปี ไปจนถึงการใช้ช่องทางออนไลน์ในการให้บริการ รวมทั้งการปรับธุรกิจให้เข้ากับวิถีชีวิตแบบใหม่ หรือ New Normal การลดต้นทุนต่างๆ เพื่อให้เราสามารถผ่านพ้นสถานการณ์โควิด-19 ครั้งนี้ไปให้ได้

เรากำลัง Reopening อย่างต่อเนื่อง องค์กรเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของธุรกิจทั้งในและต่างประเทศแล้ว โรงแรมในกลุ่มไมเนอร์ โฮเทลส์ ทั้งในกรุงเทพมหานครและจังหวัดท่องเที่ยวอื่นๆ ทั่วไทย ได้ทยอยเปิดให้บริการและพร้อมขานรับมาตรการเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว" William Hineke กล่าวโดยสรุป

ก่อนเกิดโควิด-19 ไมเนอร์ ได้ประกาศแผนการเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงิน ซึ่งเป็นแผนเบ็ดเสร็จในครั้งเดียว นอกจากจะทำให้ฐานะการเงินของเรามีความแข็งแกร่งขึ้น พร้อมรักษาวินัยทางการเงินแล้ว ยังสามารถรองรับวิกฤตโควิด-19 และไม่จำเป็นต้องเพิ่มทุนในอีก 2 ปีข้างหน้า

แต่เพื่อความแข็งแกร่งทางด้านการเงิน ไมเนอร์ออกหุ้นกู้ที่มีลักษณะคล้ายทุน หรือ Perpetual bond ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท และการออกหุ้นเพิ่มทุนในอัตราส่วน 8.2 หุ้นสามัญเดิม ต่อ 1 หุ้นสามัญใหม่ที่ราคาเสนอขาย 17.50 บาท

และการออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท ครั้งที่ 7 หรือ MINT-W7 ให้กับผู้ถือหุ้นของบริษัท ตามสัดส่วนการถือหุ้น หลังเสร็จสิ้นการขายหุ้นเพิ่มทุนที่ 22 หุ้นสามัญเดิมต่อ 1 หน่วย โดยมีราคาใช้สิทธิแปลงสภาพ 21.60 บาท และสามารถใช้สิทธิได้ในระยะเวลา 3 ปี ทั้งนี้ ไมเนอร์ ได้กำหนดช่วงเวลาจองซื้อและชำระเงินค่าจองซื้อหุ้นสามัญที่ออกใหม่ ระหว่างวันที่ 17-23 กรกฎาคม 2563

อ่านเพิ่ม: <a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%AF-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A8%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99.html">ไมเนอร์ฯ ประกาศเพิ่มทุน 2.5 หมื่นล้าน รับมือผลกระทบจากโควิด-19</a>

William Heinecke เผยด้วยว่าในฐานะผู้ก่อตั้ง และ ผู้ถือหุ้นใหญ่ของไมเนอร์ ได้เตรียมใช้สิทธิในการจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนครั้งนี้และจะจองซื้อเกินกว่าสิทธิ ซึ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การเพิ่มทุนในครั้งนี้จะได้รับการสนับสนุนจากผู้ถือหุ้นและนักลงทุน และทำให้เราได้รับเงินทุนในครั้งนี้ครบตามจำนวน

“ขอขอบคุณผู้ถือหุ้นและนักลงทุนทุกท่านที่ยังคงเชื่อมั่นและให้การสนับสนุนธุรกิจของไมเนอร์มาเป็นอย่างดีและยาวนานมาร่วมกว่า 50 ปี หลายท่านถือหุ้นของไมเนอร์ ตั้งแต่เมื่อครั้งที่องค์กรนำ 3 ธุรกิจ คือ โรงแรม ร้านอาหาร และไลฟ์สไตล์ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ก่อนที่เราจะรวมทั้ง 3 ธุรกิจภายใต้ ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ MINT มาจนถึงปัจจุบัน และเราจะยังคงมุ่งมั่นที่จะสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นของเราอย่างต่อเนื่องต่อไป”

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/world/asia/william-heinecke-%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%82%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%B2.html">William Heinecke และการก้าวขึ้นไปในอาณาจักร “ไมเนอร์”</a>

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

William Heinecke เผยดัน ไมเนอร์ฯ เสริมเแกร่งการเงิน

<h2 class="p1">ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ MINT รายงานสถานการณ์การดำเนินงานของธุรกิจผ่านพ้นจุดวิกฤตไปแล้ว และเห็นสัญญาณการพื้นตัวของทั้ง 3 กลุ่มธุรกิจ ทั้งโรงแรม อาหาร และไลฟ์สไตล์ จากทิศทางที่หลายประเทศเริ่มมีการเปิดเมือง และกลับมามีกิจกรรมทางเศรษฐกิจ</h2>
บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT รายงานสถานการณ์และผลกระทบจากโรคไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ COVID-19 ตั้งแต่ต้นปี 2563 ต่อบริษัทที่จำเป็นต้องหยุดดำเนินธุรกิจจากการปิดโรงแรม สาขาร้านอาหารและจุดจำหน่ายสินค้าของธุรกิจไลฟ์สไตล์เป็นจำนวนมาก
ตลอดจนจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากมาตรการจำกัดการเดินทางและปิดประเทศ ตามนโยบายของรัฐบาลและมาตรการด้านสาธารณสุข โดยสามารถดำเนินธุรกิจได้บางส่วน เช่น ร้านอาหารสำหรับบริการสั่งกลับบ้านและเดลิเวอรี่ รวมทั้งบริการทางออนไลน์
โดยเดือนเมษายนเป็นเดือนที่ธุรกิจของบริษัทได้รับผลกระทบมากที่สุดจากการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 แต่เดือนปลายเดือนพฤษภาคม หลายประเทศเริ่มมีการเปิดเมือง และกลับมามีกิจกรรมทางเศรษฐกิจ หลังจากสถานการณ์คลี่คลาย ทำให้บริษัทเห็นสัญญาณยอดขายเริ่มฟื้นตัว
โดยโรงแรม และบริการการรับประทานอาหารภายในร้านอาหาร และร้านค้าไลฟ์สไตล์ของบริษัทบางแห่งเริ่มกลับมาเปิดให้บริการ โดยสามารถสรุปสถานการณ์ได้ดังนี้
-กลุ่มไมเนอร์ โฮเทลส์ มีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยและรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในช่วงเดือนพฤษภาคม 2563 เปรียบเทียบกับเดือนเมษายน 2563 ทำให้ธุรกิจบางส่วนในทวีปเอเชียและยุโรปของบริษัทกลับมาเปิดดำเนินการ
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าแนวโน้มในเชิงบวกนี้จะมีต่อเนื่องไปในเดือนมิถุนายนและในเดือนกรกฎาคม จากการเปิดให้บริการโรงแรมเพิ่มเติมทั้งในทวีปยุโรปและเอเชีย รวมถึงประเทศไทย
และในส่วนของโรงแรมอนันตรา สยาม กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นโรมแรมหลัก (Flagship) ของบริษัทในกรุงเทพฯ ก็ได้กลับมาเปิดให้บริการในปลายเดือนพฤษภาคม รวมถึงโรงแรมในหัวหินกลับมาเปิดให้บริการในช่วงต้นเดือนมิถุนายน ส่วนโรงแรมบางแห่งในจังหวัดภูเก็ต เกาะสมุย พัทยา และขอนแก่น มีกำหนดกลับมาเปิดให้บริการในเดือนมิถุนายนและกรกฎาคม 2563
-กลุ่มไมเนอร์ ฟู้ด พบว่ายอดขายโดยรวมทุกสาขาเฉลี่ยเพิ่มขึ้นในเดือนพฤษภาคม 2563 เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเมษายน 2563 จากยอดขายจากการนั่งทานในร้านเริ่มปรับตัวดีขึ้น หลังมีการอนุญาตให้ร้านอาหาร และร้านอาหารในห้างสรรพสินค้าเปิดให้บริการนั่งทานในร้าน รวมทั้งกลุ่มธุรกิจไมเนอร์ ฟู้ด ยังได้รับผลบวกจากธุรกิจเดลิเวอรี่และการซื้อกลับบ้านมีการเติบโตสูงมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ


<figure><img class="size-full wp-image-30996" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/06/sizzler.jpg" alt="" width="720" height="480" /><figcaption> ร้านซิซซ์เล่อร์ หนึ่งในเชนร้านอาหารในเครือไมเนอร์ฯ ได้กลับมาเปิดให้บริการนั่งทางที่ร้านแล้วในบางสาขา</figcaption></figure>
-กลุ่มไมเนอร์ ไลฟ์สไตล์ ได้มุ่งเน้นไปที่ช่องทางขายออนไลน์และการผลิตผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดมือและน้ำยาทำความสะอาดอื่นๆ ซึ่งเป็นที่ต้องการมากขึ้นในภาวะปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันกลุ่มธุรกิจดังกล่าวร้อยละ 98 ของจุดจำหน่ายสินค้าได้กลับมาเปิดให้บริการ มีการขยายตัวของยอดขายต่อร้านเดิมและยอดขายโดยรวมทุกสาขา โดยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในช่วงเดือนพฤษภาคม 2563 เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเมษายน 2563 
อย่างไรก็ตามในภาพรวมของทั้ง 3 กลุ่มคาดว่า ตั้งแต่เดือนมิถุนายนเป็นต้นไป เมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 เริ่มคลี่คลาย และหลายประเทศเริ่มมีมาตรการผ่อนคลาย รวมทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวในแต่ละประเทศที่จะออกมา จะทำให้ยอดขายของบริษัทฟื้นตัวและปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะในช่วงปลายปี ซึ่งเป็นช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวและการจับจ่ายใช้สอย
และบริษัทมีนโยบายเร่งด่วนในการจัดกิจกรรมทางการตลาด และโปรโมชั่นที่เหมาะสมสำหรับลูกค้าในแต่ละประเทศ และตามนโยบายของทางภาครัฐต่อไป
โดยที่ผ่านมา บริษัทตั้งทีมงานบริหารความเสี่ยง เพื่อติดตามสถานการณ์และแก้ไขผลกระทบที่เกิดขึ้น โดยมีการนำแผนการดำเนินธุรกิจมาปรับใช้ในการบริหารจัดการธุรกิจทั่วโลก รวมทั้งจัดทำแผนกลยุทธ์เพื่อกำหนดทิศทางการดำเนินงานของบริษัท ในระหว่างและภายหลังสถานการณ์โรค COVID-19 ทั้งมาตรการระยะสั้น รวมถึงมาตรการระยะกลางและระยะยาว
รวมถึงยังเปิดตัวโครงการ “Business Beyond COVID-19” เพื่อให้ธุรกิจในเครือทั้งสามกลุ่มธุรกิจ คือ โรงแรม อาหาร และไลฟ์สไตล์ ปรับตัวรองรับวิถีชีวิตใหม่แบบ New Normal สำหรับธุรกิจ โดยมุ่งเน้นไปที่การใช้ข้อมูลข้อเท็จจริงของตลาดและสถานการณ์ของคู่แข่ง
ขณะเดียวกันยังใช้โอกาสนี้ปรับปรุงโครงสร้างด้านต้นทุนให้เหมาะสมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน พร้อมทั้งเสริมสร้างศักยภาพธุรกิจระบบดิจิทัลเพื่อปรุงปรับการดำเนินงานให้ดียิ่งขึ้นสำหรับธุรกิจของบริษัทในระยะยาว
&nbsp;
<ul>
 	<li>อ่านเพิ่มเติม <a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/%e0%b9%84%e0%b8%a1%e0%b9%80%e0%b8%99%e0%b8%ad%e0%b8%a3%e0%b9%8c%e0%b8%af-%e0%b8%9b%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a8%e0%b9%80%e0%b8%9e%e0%b8%b4%e0%b9%88%e0%b8%a1%e0%b8%97%e0%b8%b8%e0%b8%99.html">ไมเนอร์ฯ ประกาศเพิ่มทุน 2.5 หมื่นล้าน รับมือผลกระทบจากโควิด-19</a></li>
</ul>
&nbsp;

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล รายงานสถานการณ์ธุรกิจผ่านพ้นจุดวิกฤตสุดแล้ว

<h2 class="p1">โควิด-19 ทำไตรมาส 1 ไมเนอร์ฯ ขาดทุน 1,774 ล้านบาท เร่งประกาศกลยุทธ์เพิ่มทุน 2.5 หมื่นล้านบาท</h2>
บริษัท ไมเนอร์อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (“MINT”) ประกาศกลยุทธ์ในการจัดหาเงินทุนเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของโครงสร้างเงินทุนและฐานะทางการเงิน ด้วยผลกระทบจากการระบาดของโรค COVID-19 ทั่วโลก โดย ไมเนอร์ฯ ได้เข้าดำเนินการเชิงรุกเพื่อให้มั่นใจว่าบริษัทมีความสามารถในการปฏิบัติตามภาระผูกพันและรักษาความแข็งแกร่งของฐานะทางการเงิน
โดยนอกเหนือจากความมุ่งมั่นของบริษัทในการรักษาสถานะเงินสด และการบริหารจัดการสภาพคล่องและหนี้สินแล้ว คณะกรรมการของ MINT ได้อนุมัติแผนการจัดหาเงินทุนจำนวน 2.5 หมื่นล้านบาท ผ่านเครื่องมือทางการเงินต่างๆ ซึ่งรวมถึง การออกหุ้นกู้ที่มีลักษณะคล้ายทุน การเสนอขายหุ้นเพิ่มทุน โดยการจัดสรรให้กับผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วน (Rights Offering) และ การออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญ ซึ่งมีอายุสามปี
ทั้งนี้ การเพิ่มทุนของบริษัทจะต้องได้รับการอนุมัติจากการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปีที่จะจัดขึ้นในวันที่ 19 มิถุนายน 2563
โครงการเพิ่มทุนดังกล่าวจะแล้วเสร็จในช่วงระหว่างปี 2563-2566 โดยการออกหุ้นกู้ที่มีลักษณะคล้ายทุนในประเทศ/ต่างประเทศจำนวนเทียบเท่า 10,000 ล้านบาท คาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในไตรมาสที่ 3 ปี 2563 ส่วนการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุน ซึ่งมีเป้าหมายที่จะเพิ่มทุนจำนวนประมาณ 10,000 ล้านบาท คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในไตรมาสที่ 3 ปี 2563
ท้ายสุด การออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญเพื่อจัดหาเงินทุนเพิ่มเติมอีกประมาณ 5 พันล้านบาท จะเกิดขึ้นภายหลังจากการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนเสร็จสิ้น ซึ่งมีระยะเวลาสามปีนับจากวันที่ออกใบสำคัญแสดงสิทธิ ราคาการใช้สิทธิของใบสำคัญแสดงสิทธิจะถูกกำหนดไว้ที่ราคาไม่สูงกว่าร้อยละ 10 ของราคาตลาดในช่วงต้นไตรมาสที่ 3 ปี 2563
โดยราคาดังกล่าวไม่ได้บ่งบอกถึงราคาหุ้นในอนาคต แต่จะเป็นผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นเดิมของ MINT
ทั้งนี้ อัตราส่วนและราคาการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุน รวมถึงอัตราส่วนการจัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิและราคาใช้สิทธิจะถูกกำหนดก่อนการออกตราสารทั้งสองดังกล่าว โดยรายละเอียดในการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนและการออกใบสำคัญแสดงสิทธิจะแสดงไว้ในการเปิดเผยสารสนเทศของบริษัทต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ในไตรมาส 1 ปี 2563 MINT รายงานผลขาดทุนสุทธิจำนวน 1,774 ล้านบาท จากผลกระทบของการระบาดของโรค COVID-19 ต่อทั้งสามธุรกิจของบริษัททั่วโลก และผลกระทบเชิงลบจากการบังคับใช้มาตรฐานการบัญชี TFRS 16 ในเรื่องสัญญาเช่า
โดยในไตรมาส 2 ปี 2563 ผลการดำเนินงานของ MINT จะได้รับผลกระทบที่เพิ่มมากขึ้นจากการปิดโรงแรมและร้านอาหารสำหรับการให้บริการนั่งทานในร้านชั่วคราว ซึ่งเริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคม 2563 ดังนั้น MINT จึงให้ความสำคัญในการรักษากระแสเงินสดและสภาพคล่องเป็นลำดับแรก โดยบริษัทจะยังคงรักษาเงินสดในมือและวงเงินสินเชื่อเพื่อให้มั่นใจว่าบริษัทจะมี สภาพคล่องเพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจในอนาคต
ในขณะเดียวกัน MINT มีการลดกระแสเงินสดจ่ายในทั้งสามหน่วยธุรกิจและในทุกภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง ด้วยมาตรการการประหยัดค่าใช้จ่าย ซึ่งประกอบด้วยในส่วนของเงินเดือน ค่าเช่า และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอื่นๆ
นอกจากนี้ ได้มีการระงับการจ่ายเงินปันผลและการลงทุนในสินทรัพย์บางส่วนเท่าที่จะสามารถทำได้ ทั้งนี้ ท่ามกลางสถานการณ์ที่ยังคงเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา MINT ได้มีการเตรียมการทดสอบภาวะวิกฤต และมีความมั่นใจว่าแผนการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของโครงสร้างเงินทุนในครั้งนี้จะช่วยให้บริษัทสามารถก้าวข้ามผ่านสถานการณ์ต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้ ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ใด
ต่อไปในอนาคต เมืองต่างๆ ทั่วโลก ตั้งแต่กรุงมาดริดถึงกรุงเทพฯ จะเริ่มมีการผ่อนคลายมาตรการการปิดประเทศ โดย MINT มีความพร้อมสำหรับการกลับมาดำเนินธุรกิจตามวิถีชีวิตแบบใหม่ (“New Normal”) ทั้งนี้ ในระยะยาว MINT ได้ใช้โอกาสในการปรับโครงสร้างค่าใช้จ่ายเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ ในขณะที่เสริมความแข็งแกร่งของความสามารถทางด้านดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานของบริษัทภายหลังจากการระบาดของโรค COVID-19
Dillip Rajakarier ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มของ MINT กล่าวว่า “ผมมีความมั่นใจเป็นอย่างมากว่าแผนการจัดหาเงินทุนที่ครอบคุมในครั้งนี้จะช่วยเพิ่มความสามารถในการเติบโตอย่างยั่งยืนของบริษัท บริษัทมั่นใจว่าจะได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากผู้ถือหุ้นใหญ่ในการจัดหาเงินทุนในครั้งนี้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นที่มีต่ออนาคตของ MINT


<figure><img class="size-full wp-image-29995" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/05/Dillip-Rajakarier.jpg" alt="" width="720" height="480" /><figcaption> Dillip Rajakarier</figcaption></figure>
“โดยฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งจะเป็นปัจจัยพื้นฐานของ MINT ในการใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์ที่มีคุณภาพที่สั่งสมมาตั้งแต่ในอดีต เพื่อสร้างผลตอบแทนในระยะยาว อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นจะกลับลงมาอยู่ที่ 1.3 เท่า ภายในสิ้นปี 2563 ซึ่งต่ำกว่าเงื่อนไขการกู้ยืมที่อยู่ที่ 1.75 เท่า ทั้งนี้ ในนามของทีมผู้บริหารของ MINT เรามีความตื่นเต้นที่จะเริ่มต้นบนเส้นทางของการฟื้นตัวและเริ่มสร้างการเติบโตให้กับบริษัทอีกครั้ง"
&nbsp;
<ul>
 	<li>อ่านเพิ่มเติม <a href="https://forbesthailand.com/news/travel/jill-%e0%b9%80%e0%b8%9c%e0%b8%a2%e0%b8%ab%e0%b8%a5%e0%b8%b2%e0%b8%a2%e0%b8%81%e0%b8%a5%e0%b8%a2%e0%b8%b8%e0%b8%97%e0%b8%98%e0%b9%8c%e0%b8%82%e0%b8%ad%e0%b8%87-%e0%b8%9c%e0%b8%b9%e0%b9%89%e0%b8%9b.html">Jill เผยหลายกลยุทธ์ของ ผู้ประกอบการโรงแรมไทย อาจไปต่อหลังโควิด-19</a></li>
</ul>
&nbsp;

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ไมเนอร์ฯ ประกาศเพิ่มทุน 2.5 หมื่นล้าน รับมือผลกระทบจากโควิด-19

<h2 class="p1">William Heinecke วัย 70 ปี สร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติการณ์ที่ ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ด้วยการสละตำแหน่งซีอีโอเมื่อเดือนมกราคม หลังจากนั่งในตำแหน่งนี้มา 53 ปี นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทเมื่อปี 1967</h2>
Dillip Rajakarier ชาวอังกฤษผู้เข้ามาร่วมงานกับไมเนอร์ในปี 2007 รับตำแหน่งต่อจาก William Heinecke และยังคงนั่งในตำแหน่งซีอีโอของไมเนอร์ โฮเทลส์ ในปัจจุบันไปพร้อมกันด้วย และปัจจุบัน Heinecke เป็นประธานกรรมการบริหาร “ผมไม่ได้มองว่านี่คือการก้าวลงจากตำแหน่ง” เขากล่าว “ผมเรียกว่าเป็นการก้าวขึ้นไป”
 Heinecke ใช้เวลาในปี 2019 เพื่อรวมกิจการ NH Hotel Group ของสเปนที่ไมเนอร์ซื้อมา 2.26 พันล้านเหรียญ เมื่อปี 2018 เข้ามาในกลุ่ม ซึ่งช่วยให้บริษัทด้านการท่องเที่ยวและการบริการที่มีฐานอยู่ในกรุงเทพฯ แห่งนี้ก้าวขึ้นเป็นผู้เล่นระดับโลก การซื้อกิจการดังกล่าวช่วยให้ไมเนอร์มีกำไรทั้งปี 2019 พุ่งขึ้นถึง 137% เป็น 1.1 หมื่นล้านบาท (341 ล้านเหรียญ)
แต่แม้จะมีผลประกอบการดี หุ้นไมเนอร์ก็ยังตกเนื่องจากความหวาดกลัวไวรัสโคโรนา และทรัพย์สินสุทธิของ Heinecke ก็ลดลง 36% เหลือ 1.15 พันล้านเหรียญ

<ul>
 	<li>คลิกอ่าน <a href="https://forbesthailand.com/leaderboard/thailand-leaderboard/%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%88%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%ad%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b8%94%e0%b8%b1%e0%b8%9a-50-%e0%b8%a1%e0%b8%ab%e0%b8%b2%e0%b9%80%e0%b8%a8%e0%b8%a3%e0%b8%a9%e0%b8%90%e0%b8%b5.html">การจัดอันดับ 50 มหาเศรษฐีไทย ประจำปี 2563</a></li>
</ul>
 Heinecke อดีตชาวอเมริกันซึ่งปัจจุบันถือสัญชาติไทยยังมองประเทศไทยในแนวโน้มที่ดี แม้จะมีปัญหาโรคระบาดเมื่อช่วงปลายเดือนมีนาคม Heinecke ประกาศแผนปิดโรงแรมในกรุงเทพฯ และเรียกร้องให้รัฐบาลใช้มาตรการควบคุมการระบาดของเชื้อไวรัสอย่างเข้มงวดมากขึ้น “นี่คือความท้าทายครั้งใหญ่” เขากล่าว “แต่ประเทศไทยสู้มาได้เสมอ และผมเชื่อมั่นว่า เราจะสู้ได้อีกครั้ง”
 ไมเนอร์เป็นชื่อที่ Heinecke ตั้งให้บริษัทเนื่องจากเขาเริ่มก่อตั้งบริษัทนี้ตอนอายุ 18 ปี ไมเนอร์ยังคงเน้นธุรกิจหลัก ซึ่งรวมถึงร้านอาหารและธุรกิจค้าปลีก Heinecke กล่าวว่า บทบาทใหม่ของเขาสะท้อนถึงภาระงานในระดับโลกของเขาเองซึ่งมีมากขึ้น “จุดสำคัญที่แท้จริงอยู่ที่การบริหารขนาดกิจการ” เขากล่าว ปัจจุบันไมเนอร์จ้างพนักงาน 75,000 คนในกว่า 50 ประเทศ -- Ron Gluckman
&nbsp;
<ul>
 	<li>อ่านเพิ่มเติม <a href="https://forbesthailand.com/people/cover-story/bill-heinecke-%e0%b8%95%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%aa%e0%b8%b4%e0%b8%99%e0%b9%83%e0%b8%88%e0%b8%97%e0%b8%b8%e0%b9%88%e0%b8%a1%e0%b9%80%e0%b8%87%e0%b8%b4%e0%b8%99-88-%e0%b8%9e%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b8%a5.html">Bill Heinecke ทุ่มเฉียดแสนล้าน นำไมเนอร์ติดท็อป 20 โรงแรมโลก</a></li>
</ul>
&nbsp;

<hr />

<a href="https://www.ookbee.com/shop/magazine/FORBES/4b34bba9-9fcc-4170-bf0c-9f81eb1bc94c/april-2020">คลิกอ่านการจัดอันดับ 50 มหาเศรษฐีไทย ประจำปี 2020 ได้ที่ นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนเมษายน 2563 ในรูปแบบ e-magazine</a>

<img class="alignnone wp-image-28551" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/04/ศุภชัย-เจียรวนนท์-01.jpg" alt="" width="300" height="394" />

William Heinecke และการก้าวขึ้นไปในอาณาจักร "ไมเนอร์"

ไมเนอร์ฯ ประกาศกำไรสุทธิปี 2562 เติบโต 137% คาด COVID-19 เป็นเพียงเหตุการณ์ชั่วคราว

ไมเนอร์คัดค้าน ทอท. ตีตกซองประมูล 'พื้นที่เชิงพาณิชย์สุวรรณภูมิ' แจงคุณสมบัติบริษัทครบถ้วน

https://youtu.be/BVwN9aagMYk
"ต้องเปลี่ยน ถ้าไม่เปลี่ยนเราจะกลายเป็นไดโนเสาร์..." 
"บางครั้งเราต้องมองหา 100 ไอเดียเพื่อที่จะได้ 2 ไอเดียเจ๋งๆ..."
คุยกับ "Bill Heinecke" เจ้าของอาณาจักรไมเนอร์ กรุ๊ปกับการเปลี่ยนเเปลงครั้งใหญ่ให้ก้าวทันธุรกิจโลกสมัยใหม่ เเนวคิดกลยุทธ์สู่ความสำเร็จที่ไม่ได้มาง่ายๆ รวมถึงทิศทางของธุรกิจโรงเเรมเเละร้านอาหาร พร้อมเผยเเผนต่อไปหลังซื้อกิจการ NH Hotel Group
Bill Heinecke หนึ่งในมหาเศรษฐีชาวต่างชาติไม่กี่รายที่ติดอันดับรายชื่อผู้ร่ำรวยที่สุดในไทย จากการจัดอันดับของ Forbes เริ่มจากเงินกู้ 1,200 เหรียญที่หนุ่มชาวอเมริกันวัย 17 ปีคนนี้ที่นำมาก่อตั้งธุรกิจเล็กๆ ในไทย
5 ทศวรรษผ่านไป วันนี้ไมเนอร์ กรุ๊ปได้เติบโตเป็น “บริษัทข้ามชาติ” หนึ่งในไม่กี่แห่งของไทยที่มีกิจการโรงแรม 548 แห่งใน 53 ประเทศ และร้านอาหารกว่า 2,100 สาขาใน 27 ประเทศ หลังจากปิดดีลเทคโอเวอร์ NH Hotel Group มูลค่า 8.8 หมื่นล้านบาท ทำให้เขาผงาดขึ้นเป็นกลุ่มโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดอันดับ 19 ของโลกและขยับมาร์เก็ตแคปขึ้นเป็น 8 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ
ติดตามอ่านบทสัมภาษณ์พิเศษ ฉบับเต็มของ "Bill Heinecke ยกชั้นไมเนอร์ “Global Player” จากนิตยสาร Forbes Thailand ฉบับ มกราคม 2562 วางแผงแล้ววันนี้ หรืออ่านในรูปแบบ e-Magazine ที่ <a href="https://www.youtube.com/redirect?redir_token=MLK9UeZQq7XgmhwCbjWMHJkNA6t8MTU0NzYyMzk0NEAxNTQ3NTM3NTQ0&amp;q=http%3A%2F%2Fbit.ly%2FForbesTHJan2019&amp;event=video_description&amp;v=BVwN9aagMYk">http://bit.ly/ForbesTHJan2019</a>

Bill Heinecke ยกชั้นไมเนอร์ Global Player

<div>
	Minor Hotel Group (MHG) ผู้ประกอบการเชนโรงแรมยักษ์ใหญ่สัญชาติไทย ภายใต้ชื่อ Anantara กำลังเดินหน้าหา &ldquo;โอกาส&rdquo; ขยายเครือข่ายโรงแรมทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดยุโรป เนื่องจาก ค่าเงินยูโรและปอนด์ ที่อ่อนตัวลง ทำให้สามารถซื้ออสังหาริมทรัพย์ได้ในราคาที่ถูก 
	&nbsp;</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	William Heinecke ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล เปิดเผยว่า ช่วงนี้ถือเป็นโอกาสดีของบริษัท ที่จะเข้าตลาดยุโรป อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้เปิดเผยว่า ประเทศไหนที่บริษัทจะเข้าไปในปีนี้ แต่บอกว่า ทุกที่บนโลกใบนี้คือ &ldquo;โอกาส&rdquo; ของเขา และการตัดสินใจของบริษัทจะรวดเร็วเสมอ เมื่อคิดที่จะลงทุนในประเทศใด</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	การเข้าตลาดยุโรป บริษัทจะใช้ออฟฟิศที่ Portugal ซึ่งเป็นไปได้ ที่จะตั้งอยู่ที่กรุง Lisbon เมืองหลวง ที่บริษัทมีโรงแรมในเครือตั้งอยู่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยจะใช้เป็นฐานที่มั่น ขยายไปในภูมิภาคนี้ หลังจากวันที่ 28 มกราคมที่ผ่านมา บริษัทได้เข้าซื้อหุ้นในโรงแรม Tivoli ใน Portugal และ Brazil ด้วยเงิน 168 ล้านเหรียญ จุดมุ่งหมายเพื่อขยายธุรกิจโรงแรมสู่ 2 ทวีปใหม่ ซึ่ง Brazil จะเป็นฐานสำคัญ ที่จะขยายเข้าสู่ตลาดอเมริกาใต้อีกด้วย นอกจากนี้ บริษัทยังสนใจในตลาดสหรัฐฯอีกด้วย</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	กลุ่มไมเนอร์มีทั้งธุรกิจโรงแรมและอาหาร ก่อตั้งโดย Heinecke คนไทยเชื้อสายอเมริกัน อายุ 65 ปี ตั้งบริษัทเมื่อ 40 ปีที่แล้ว ปัจจุบันบริษัทได้เติบโตกลายเป็นกลุ่มโรงแรมชั้นนำในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค ช่วงเริ่มก่อตั้งธุรกิจ บริษัทใช้เชนโรงแรมต่างชาติเข้าบริหาร ต่อมาได้ริเริ่มสร้างแบรนด์ของตัวเอง &nbsp;ปัจจุบันมี Anantara (5 ดาว) มีอายุ 15 ปีและ AVANI (4 ดาวครึ่ง) เปิดตัวในปี 2554 ไม่รวมแบรนด์ที่ไปซื้อกิจการในต่างประเทศเช่น Per AQUUM (5 ดาว) Elewana (5 ดาว) และ Oaks (4 ดาว) นอกจากนี้ ยังมีนำเชนต่างประเทศเข้ามาบริหารโรงแรมของบริษัทเช่น St. Regis, Four Seasons และ JW Marriott เป็นต้น ในปีที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้รวม 3.98 หมื่นล้านบาท กำไรสุทธิ 4.4 พันล้านบาท ปี 2556 รายได้รวม 3.69 หมื่นล้านบาท กำไรสุทธิ 4.1 พันล้านบาท</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	ล่าสุด บริษัทได้เปลี่ยนชื่อโรงแรม Four Seasons Bangkok เป็นโรงแรม Anantara Siam Bangkok ในวันที่ 1 มีนาคมที่ผ่านมา หลังจากหมดสัญญาบริหาร โดยก่อนหน้าเป็น Four Seasons ก็ใช้แบรนด์โรงแรม Regent และ Peninsula บริหาร ซึ่งกลายเป็นประวัติศาสตร์ 32 ปีของโรงแรมนี้&nbsp;</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	หลายคนอดตั้งคำถามไม่ได้ว่า นโยบายบริษัทจากนี้ ไมเนอร์จะใช้แบรนด์ Anantara เป็นหลักกับโรงแรมที่บริษัทเป็นเจ้าของหรือหมดอายุการบริหารของเชนต่างชาติหรือไม่ &nbsp;ซึ่ง Heinecke บอกว่า บริษัทยังคงให้ความสำคัญกับการขยายเครือข่ายทั้งสองส่วน ทั้งขยายแบรนด์ตัวเองและจ้างเชนต่างชาติอื่นเข้ามาบริหารในเวลาเดียวกัน ซึ่งส่วนหลังนี้ บริษัทมีความสัมพันธ์กับเชนเหล่านี้มาเป็นเวลานานแล้ว</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	การขยายเครือข่ายไปทั่วโลก Heinecke บอกว่า เพื่อตอกย้ำจุดมุ่งหมายเป็น &ldquo;global company&rdquo; ซึ่งเขาคุยว่า ขณะนี้ บริษัทได้กลายเป็นบริษัทระดับโลกไปแล้ว จากนี้บริษัทจะขยายการลงทุนในหลากหลายรูปแบบ ทั้งซื้อกิจการ ร่วมทุนกับนักลงทุน หรือเข้าไปบริหารโรงแรมให้กับเจ้าของโรงแรมในต่างประเทศ ทั้งหมด ขึ้นอยู่กับโอกาสและตลาดที่เข้าไปว่าเป็นอย่างไร รวมถึงการใช้แบรนด์โรงแรมในตลาดใด ก็ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของตลาดนั้นๆ&nbsp;</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	ณ ขณะนี้ บริษัทมีงบลงทุนทั้งสิ้น 2.6 หมื่นล้านบาท ราว 5.37 พันล้านบาทของงบเป็นเงินสดของบริษัท อย่างไรก็ตาม งบนี้ค่อนข้างจะยืดหยุ่น บริษัทอาจจะใช้มากกว่านี้ หากมีโอกาสพบการลงทุนที่ดีๆ ซึ่งไม่สามารถที่จะรอได้ &nbsp;&nbsp;</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	ไม่ใช่ตลาดต่างประเทศมีแต่โอกาสตลาดไทยก็ยังมีไม่แพ้กัน ทั้งในเมืองหลวงและต่างจังหวัด แม้ว่ายังถูกรุมเร้าด้วยปัญหา โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องการเมืองและยังมีการบังคับใช้กฎอัยการศึกอยู่ แต่ Heinecke ก็ยังมองว่า อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยยัง &ldquo;สดใส&rdquo; อยู่ เนื่องจากคนต่างชาติยังเชื่อมั่นที่จะมาเที่ยวอย่างต่อเนื่องในปีนี้และอนาคต &nbsp; &nbsp;</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	ในปี 2557 ไมเนอร์มีโรงแรมและรีสอร์ทในเครือ 119 แห่งใน 18 ประเทศ ขณะนี้ได้ขยายเป็น 126 โรงแรม ใน 22 ประเทศ รวมกว่า 16,000 ห้อง ล่าสุด ได้เปิดโรงแรม 2 แห่งคือ Banana Island Resort Doha by Anantara ขนาด 141 ห้องในประเทศ Qatar และ AVANI Seychelles Barbarons Resort &amp; Spa ขนาด 124 ห้องประเทศสาธารณรัฐเซเชลส์ (Republic of Seychelles) 
	 
	 
	<div>
		ข่าวอื่นๆ:</div>
	<ul>
		<li>
			<a href="http://www.forbesthailand.com/article_detail.php?article_id=298">MINT เข้าซื้อโรงแรมเครือ Tivoli ตั้งฐานเจาะตลาดอเมริกาใต้-ยุโรป</a></li>
		<li>
			<a href="http://www.forbesthailand.com/article_detail.php?article_id=88">ผุดโรงเรียนอาหารไทยกลางทองหล่อ "เชฟโลก" รับประกัน</a></li>
	</ul>
</div>
<div>
	 
	 
	&nbsp;</div>

ลุยตลาดยุโรป ช็อปโรงแรมถูก ยุคค่าเงินยูโร-ปอนด์อ่อนตัว

<div style="text-align: center;">
	บรรยากาศโรงแรม Tivoli Ecoresort ที่บราซิล</div>
 
<div>
	28 มกราคม 2558 - ไมเนอร์ฯ ประเดิมปี 2558 ด้วยการเข้าซื้อกิจการกลุ่มโรงแรม Tivoli รวม 6 แห่ง ในบราซิลและโปรตุเกส ด้วยเงิน 168 ล้านยูโร เดินหน้าขยายกิจการครอบคลุมทั่วโลก</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	 
	บริษัทไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT แถลงเข้าซื้อกิจการโรงแรมในเครือ Tivoli Hotels &amp; Resorts &nbsp;4 แห่งในประเทศโปรตุเกส และ 2 แห่งในประเทศบราซิล ด้วยเงินทุนทั้งหมด 168 ล้านยูโร ถือเป็นการลงทุนเชิงกลยุทธ์ เพื่อให้ทั้งสองประเทศเป็นฐานสำหรับขยายธุรกิจของ MINT ในทวีปอเมริกาใต้และยุโรปต่อไป&nbsp;</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	กลุ่มโรงแรม Tivoli ก่อตั้งในปี 1933 นับเป็นเชนโรงแรมระดับห้าดาวขนาดใหญ่แห่งหนึ่งของประเทศโปรตุเกส มีโรงแรมในเครือทั้งหมด 14 แห่ง ตั้งในอยู่โปรตุเกส 12 แห่ง และในบราซิล 2 แห่ง</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	โรงแรมสองแห่งในบราซิลได้แก่ โรงแรม Tivoli Sao Paulo Mofarrej ที่ Sao Paulo และโรงแรม Tivoli Ecoresort Praia do Forte ที่ Salvador รวมห้องพักกว่า 500 ห้อง พร้อมทั้งสิทธิในแบรนด์ Tivoli Hotels &amp; Resorts ในประเทศบราซิล และโรงแรมสี่แห่งในโปรตุเกสได้แก่ โรงแรม Tivoli Lisboa ที่เมืองหลวง Lisbon โรงแรม Tivoli Marina Vilamura, Tivoli Marina Portimao และ Tivoli Carvoeiro ในแคว้น Algrave ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ มีห้องพักรวมกันทั้งหมดกว่า 1,100 ห้อง</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	โรงแรมทั้ง 6 แห่ง ยังจะดำเนินกิจการภายใต้แบรนด์ Tivoli และ Tivoli Collection ซึ่งเป็นของ Tivoli Hotels &amp; Resorts ต่อไป &nbsp;นอกจากนี้ MINT และ Tivoli ยังทำข้อตกลงร่วมกันในด้านการตลาด และการขายห้องพักของโรงแรมในแบรนด์ของ Tivoli ทั้ง 14 แห่ง ซึ่งมีห้องพักรวมกันมากกว่า 2,900 ห้อง ทั้งในบราซิลและโปรตุเกส 
	 
	 
	<img class="img-responsive" alt="" class="img-responsive" src="/uploads/userfiles/images/%E0%B9%8CNEWS/Tivoli_Carvoeiro_View.jpg" /></div>
<div style="text-align: center;">
	โรงแรม&nbsp;Tivoli Carvoeiro ในโปรตุเกส</div>
<div>
	 
	William E Heinecke ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทไมเนอร์ฯ กล่าวว่า ที่ผ่านมาได้มุ่งขยายธุรกิจในเอเชีย ออสเตรเลีย ตะวันออกกลาง และแอฟริกา จนเริ่มสร้างผลตอบแทนให้กับบริษัทแล้ว เราจึงหาโอกาสขยายธุรกิจให้ครอบคลุมระดับโลกมากขึ้น เพื่อการเติบโตในระยะยาว</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	"โรงแรมในบราซิลจะทำให้ MINT รับรู้รายได้และกำไรทันที หลังจากเข้าซื้อกิจการ ขณะเดียวกันบริษัทยังมีฐานปฏิบัติงานในบราซิล ซึ่งจะเอื้อต่อการขยายแบรนด์และธุรกิจอื่นของ MINT ในทวีปอเมริกาใต้ นอกจากนี้การเข้าซื้อโรงแรมในโปรตุเกส นับเป็นจุดเริ่มของการขยายธุรกิจสู่ทวีปยุโรป"</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	Dillip Rajakarier ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการไมเนอร์ฯ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารไมเนอร์ โฮเทล กรุ๊ป (MHG) เสริมว่าหลังจากเข้าซื้อ Oaks Hotels &amp; Resorts ในประเทศออสเตรเลียเมื่อปี 2554 &nbsp;MHG ได้เข้าลงทุนในโรงแรมต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะโรงแรมแบรนด์หรูในมัลดีฟส์ โรงแรมระดับบนเวียดนามและกัมพูชา และปีที่ผ่านมายังรุกเข้าสู่ทวีปแอฟริกา</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	ใน Forbes Thailand ฉบับกรกฎาคม 2557 &ldquo;โรงแรมไทยก็ไปท่องโลก&rdquo; Rajakarier ยังย้ำว่า การก้าวไปสู่ต่างประเทศเป็นส่วนหนึ่งของการกระจายความเสี่ยงของการลงทุน</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	&ldquo;การไปต่างประเทศ กล้าพูดว่าเราเป็นพี่ใหญ่ในวงการ ทุกที่ที่เราไปจะมีคนอื่นตาม เราเป็นเจ้าแรกที่ไปตะวันออกกลาง ศรีลังกา มัลดีฟส์ และแอฟริกา การไปวางรากฐานก่อนคนอื่น ทำให้เราได้รับประโยชน์ก่อน และได้เรียนรู้ก่อนที่จะขับเคลื่อนธุรกิจ&rdquo;</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	MHG เป็นเชนโรงแรมไทยที่เติบโตเร็วสูงสุดด้วยทรัพย์สิน 87 แห่งใน 14 ประเทศ ภายใต้ 5 แบรนด์หลัก ได้แก่ Anantara (5 ดาว), AVANI (4 ดาวครึ่ง), Per AQUUM (5 ดาว), Elewana (5 ดาว) และ Oaks (4 ดาว) สองแบรนด์แรกเป็นแบรนด์ไทย ส่วนที่เหลือมาจากการซื้อกิจการและร่วมทุน ในปี 2561 คาดว่ารายได้จากโรงแรมในต่างประเทศจะคิดเป็น 54% ของรายได้โรงแรมทั้งหมด</div>
<div>
	 
	 
	&nbsp;</div>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events