<h2>เอทิกซ์ แบงค็อก 1 (ETIX Bangkok #1) ผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูลชั้นนำของไทยลงทุน 450 ล้านบาท สร้างศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ โมดูล 3 รองรับเทคโนโลยี AI หลัง 2 โมดูลแรกเต็ม สะท้อนการเติบโตแบบก้าวกระโดดหลังเปิดตัว ETIX Everywhere ในตลาดประเทศไทยเมื่อปี 2565 ด้วยอัตราการเติบโตสูงกว่า 40% ต่อปี ตอกย้ำความเป็นผู้นำในตลาดศูนย์ข้อมูล ชูจุดเด่นเป็นศูนย์ข้อมูลที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมที่สุดในประเทศไทย ด้วยเทคโนโลยีระบบหล่อเย็นขั้นสูงและเทคโนโลยีระบบจ่ายไฟฟ้าขั้นสูง ช่วยประหยัดพลังงานไฟฟ้าและน้ำ</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปิแอร์ ปาทริส ซีอีโอ ประจำภูมิภาคเอเชียของ ETIX Everywhere เปิดเผยว่า การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของ เอทิกซ์ แบงค็อก 1 (ETIX BKK #1) ได้รับแรงผลักดันจากปัจจัยหลายประการ ทั้งความพร้อมทางเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย ใบรับรองมาตรฐานระดับสากล และฐานลูกค้าชั้นนำที่หลากหลาย อาทิเช่น ธนาคาร ผู้ให้บริการเนื้อหาผ่านอินเตอร์เน็ต หรือ OTT ระดับโลก และผู้ให้บริการระบบคลาวด์ชั้นนำ​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 720px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/04/ua7NnH54vxt8jXmkhh1d.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="0" data-file-name="ua7NnH54vxt8jXmkhh1d.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="720px,auto" data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" style="width: 720px; height: auto;" origin-size="2709,2032"></figure></div> &nbsp; &nbsp; นอกจากนี้ ETIX BKK #1 ยังมีรูปแบบการคิดราคาที่ยืดหยุ่น ผู้ใช้บริการสามารถเลือกใช้บริการตามความต้องการ ช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากกว่า 25% เมื่อเทียบกับศูนย์ข้อมูลแบบดั้งเดิม ด้วยระบบนิเวศโทรคมนาคมที่หลากหลาย ETIX BKK #1 เชื่อมต่อกับผู้ให้บริการเครือข่ายโทรคมนาคมชั้นนำหลายราย รองรับการเข้าถึงบริการต่างๆ ได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว&nbsp; &nbsp;&nbsp;เพื่อให้สามารถรองรับการขยายตัวอย่างรวดเร็ว ในปี 2566 ETIX ได้ลงทุน 450 ล้านบาท เพื่อขยายดาต้า เซ็นเตอร์ ETIX BKK #1 ด้วยโมดูลใหม่ รองรับ 400 แร็ค และกำลังไฟฟ้าไอที 1,500 กิโลวัตต์ซึ่งได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;"สองโมดูลแรกของเราเต็มหมดแล้ว และเรากำลังส่งมอบโมดูลที่สามนี้เพื่อรองรับกับความต้องการที่เพิ่มขึ้น โมดูลใหม่นำเสนอเทคโนโลยีล้ำสมัย รองรับเทคโนโลยีด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า” ปิแอร์ ปาทริส ซีอีโอ ประจำภูมิภาคเอเชียของ ETIX Everywhere กล่าว​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 720px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/04/GkrDYzkqkdtxsfazb8gW.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="1" data-file-name="GkrDYzkqkdtxsfazb8gW.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="720px,auto" data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" style="width: 720px; height: auto;" origin-size="2032,1524"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;วิทัคธ์ ภาอาภรณ์ หัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการของ ETIX ประจำภูมิภาคเอเชีย กล่าวเสริมว่า เทคโนโลยีที่โดดเด่น คือเทคโนโลยีระบบหล่อเย็นขั้นสูงที่สามารถรองรับแร็คที่มีความหนาแน่นสูงของกำลังไฟปรับแต่งมาเพื่อตอบสนองความต้องการของแอปพลิเคชันปัญญาประดิษฐ์ (AI) พร้อมพื้นเสริมแรงที่มีโครงสร้างในการรับน้ำหนักได้สูงสุดถึง 3 ตัน/ตารางเมตร เพื่อรับมือกับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นในตู้แร็คที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต&nbsp; &nbsp;&nbsp;"ETIX มุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าเพื่อรองรับปัญญาประดิษฐ์ (AI) ควบคู่กับการให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม ศูนย์ข้อมูล ETIX BKK#1 เลือกใช้เทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากที่สุด ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของเอทิกซ์ทั่วโลกในข้อตกลง Climate Neutral Data Centre Pact ชองสมาคมการค้าและบริการโครงสร้างพื้นฐานระบบคลาวด์และศูนย์ข้อมูลในยุโรป"&nbsp; &nbsp;&nbsp;รวมถึงเทคโนโลยีระบบจ่ายไฟฟ้าขั้นสูง คือหัวใจสำคัญที่ทำให้กลายเป็นศูนย์ข้อมูลที่ประหยัดพลังงาน ระบบนี้ทำงานด้วยการลดค่าตัวประกอบกำลัง (Power Factor) ส่งผลให้ ค่าประสิทธิภาพการใช้พลังงาน (Power Usage Effectiveness: PUE) ของศูนย์ข้อมูลมีตัวเลขต่ำ เพียง 1.3 นอกจากนี้ยังรองรับการติดตั้งระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ (Direct Liquid Cooling) ส่งผลให้สามารถลดค่า PUE ลงได้อีก​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 720px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/04/5QUBQi3xtJTz48gftXDU.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="2" data-file-name="5QUBQi3xtJTz48gftXDU.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="720px,auto" data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" style="width: 720px; height: auto;" origin-size="1806,1355"></figure></div> &nbsp; &nbsp; ระบบนี้ยังสามารถติดตั้งร่วมกับโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่เดิม ช่วยให้การประหยัดพลังงานมีประสิทธิภาพสูงสุด นอกจากนี้ ค่าประสิทธิภาพการใช้น้ำ (Water Usage Effectiveness: WUE) ยังต่ำกว่า 0.01 ลิตรต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง ด้วยเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้ ETIX เป็นศูนย์ข้อมูลที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมที่สุดในประเทศไทย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้วยความมุ่งมั่นอันแน่วแน่ใน นวัตกรรม ความยั่งยืน และ การตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ETIX BKK #1 สามารถประสบผลสำเร็จในตลาดศูนย์ข้อมูลของไทยได้อย่างต่อเนื่อง เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/people/shining-star/hooray-number-1-protein-milk-in-thailand" alt="Hooray! สตาร์ทอัพล้มยักษ์ สู้ด้วยนวัตกรรม ขึ้นผู้นำตลาดนมโปรตีน 2,000 ล้าน">Hooray! สตาร์ทอัพล้มยักษ์ สู้ด้วยนวัตกรรม ขึ้นผู้นำตลาดนมโปรตีน 2,000 ล้าน</a>​​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ETIX Bangkok #1 ลุยลงทุน 450 ล้านบาท ขยาย Data Center รับ AI

สมพร ธีระโรจนพงษ์ PSI ปรับสัญญาณรีโมทธุรกิจโซลาร์

<h2>“อีโวลูชั่น ดีซี (ไทยแลนด์)” บริษัทร่วมทุนระหว่างเซ็นทรัลพัฒนากับ Evolution Data Centres เพื่อพัฒนาธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ จับมือโทรคมนาคมแห่งชาติ (NT) ดันไทยสู่ ASEAN DIGITAL HUB เตรียมปั้นย่านบางนาเป็น Hotspot ของธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ ตั้งเป้าเปิดให้บริการเฟสแรกปี 69</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บริษัท อีโวลูชั่น ดีซี (ไทยแลนด์) จำกัด บริษัทร่วมทุนระหว่าง บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) กับ บริษัท Evolution Data Centres ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มดาต้าเซ็นเตอร์และกำลังขยายธุรกิจครอบคลุมภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อพัฒนาธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดมากกว่า 30 เมกะวัตต์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ประกาศความร่วมมือกับ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน)&nbsp;หรือ NT ร่วมขับเคลื่อนเทคโนโลยีดิจิทัล ตอบรับความต้องการธุรกิจ Cloud Computing และ Data Storage และสร้างความพร้อมให้กับโครงสร้างพื้นฐานด้านเศรษฐกิจดิจิทัล พร้อมผลักดันประเทศไทยให้ก้าวสู่การเป็น ASEAN DIGITAL HUB &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ภูมิ จิราธิวัฒน์ Head of Alternative Investments บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา CPN กล่าวว่า “ความร่วมมือกับ NT ครั้งนี้ จะช่วยสนับสนุน Ecosystem ของเซ็นทรัลพัฒนา ให้แข็งแกร่งและยั่งยืน ด้วยความพร้อมของโครงข่ายพื้นฐานด้านโทรคมนาคม ของ NT จะช่วยให้ธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์สามารถรองรับการเชื่อมต่อกับผู้ให้บริการโครงข่ายได้อย่างครบวงจร และเข้าถึงกลุ่มลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่ด้วย Sustainable Data Centre เพื่อตอบรับดีมานด์ของธุรกิจ Cloud Computing และ Data Storage&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เซ็นทรัลพัฒนา เรามีจุดแข็งและความเชี่ยวชาญในการพัฒนาโครงการบน Strategic Location ที่ตอบโจทย์ธุรกิจต่างๆ สำหรับการพัฒนาโครงการดาต้าเซ็นเตอร์ เรามีแผนการพัฒนาบนทำเลที่มีศักยภาพ โดยเลือกทำเลย่านบางนา ซึ่งมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม มีเส้นทางเชื่อมต่อที่หลากหลาย มีความปลอดภัยสูง รวมถึงอยู่ใกล้แหล่งพลังงานไฟฟ้า จึงมั่นใจได้ว่าเราจะสามารถให้บริการลูกค้าทั้ง Hyperscalers และ Build-to-Suit ได้อย่างดี และจะทำให้บางนากลายเป็น Hotspot ที่สำคัญสำหรับธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ ทั้งนี้ตั้งเป้าเปิดให้บริการเฟสแรกช่วงปี 2569” <div class="se-component se-image-container __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/01/FqdxhpsdGbxmAxvuRu5F.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-index="0" data-file-name="FqdxhpsdGbxmAxvuRu5F.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้าน ดาร์เรน เว็บบ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท Evolution Data Centers กล่าวว่า “โครงการดาต้าเซ็นเตอร์ ที่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นจากการร่วมมือกับ NT เพราะมี Fibre Network ที่ครอบคลุมในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น Terrestrial Fibre และ Submarine Cable&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ทั้งนี้ เรามั่นใจว่าความร่วมมือจากผู้นำด้านธุรกิจทั้ง 3 องค์กรครั้งนี้ จะเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในการพัฒนาและยกระดับประเทศไทยสู่ Thailand’s 4.0 Digital Transformation และนับเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ของประเทศไทยสู่โมเดลธุรกิจแห่งอนาคต ซึ่งจะสร้างประโยชน์ในหลากหลายภาคส่วน และช่วยส่งเสริมการเชื่อมต่อข้อมูลสื่อสารของผู้ให้บริการสู่ผู้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ”​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/01/JZWTr93YKNxuErkqTYux.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="1" data-file-name="JZWTr93YKNxuErkqTYux.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่ เสกสรรค์ มิตรเกษม รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาดและผลิตภัณฑ์ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT กล่าวว่า “NT มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งในการจับมือกับบริษัท อีโวลูชั่น ดีซี (ไทยแลนด์) จำกัด ในครั้งนี้ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“โดยในส่วนของ NT เรามีความเชี่ยวชาญและมีความพร้อมในการให้บริการด้านโครงข่ายสื่อสารโทรคมนาคมที่ครอบคลุมทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ ด้วยระบบเคเบิลภาคพื้นดินที่เชื่อมต่อไปยังประเทศเพื่อนบ้านกว่า 10 จุด และระบบเคเบิลใต้น้ำ (Subsea Cables) ที่มากที่สุดถึง 9 ระบบ เพื่อเชื่อมต่อไปยังภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“รวมถึงบริการด้านเทคโนโลยีดิจิทัลที่ครบวงจร ซึ่งจะช่วยพัฒนาธุรกิจดาต้า เซ็นเตอร์ เพื่อรองรับการเชื่อมต่อกับผู้ให้บริการโครงข่ายได้อย่างไร้รอยต่อ จึงเชื่อมั่นว่าความร่วมมือในครั้งนี้ จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถของการให้บริการด้านการแลกเปลี่ยนเชื่อมต่อข้อมูลได้อย่างคลอบคลุม สามารถสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจโทรคมนาคมของประเทศ ซึ่งจะเป็นการต่อยอดสู่การเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนข้อมูลสื่อสารในระดับภูมิภาค และยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทย ให้ทันต่อเทรนด์และความต้องการของผู้ใช้งานต่อไป” เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/marketing/robinson-tesla-supercharger" alt="“โรบินสัน” จับมือ Tesla ติดตั้ง Supercharger ในสาขา นำร่องภาคเหนือที่ “กำแพงเพชร”">“โรบินสัน” จับมือ Tesla ติดตั้ง Supercharger ในสาขา นำร่องภาคเหนือที่ “กำแพงเพชร”</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ไม่ได้มีแค่ห้าง-โรงแรม-มิกซ์ยูส "เซ็นทรัลพัฒนา" ผนึกพันธมิตร สร้าง “ดาต้าเซ็นเตอร์” ย่านบางนา

สยาม เตียวตรานนท์ "TKC" อัพสปีดดิจิทัลเมกะเทรนด์

<h2>มหาเศรษฐีพันล้าน Kumar Mangalam Birla ประกาศลาออกจากตำแหน่งประธานและคณะกรรมการบริหาร Vodafone Idea หลังบริษัทโทรคมนาคมรายใหญ่อันดับ 3 ของประเทศประสบวิกฤตทางการเงินสะสม</h2>
<img class="alignnone wp-image-49277 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/08/0vnncu2o_vodafone_625x300_24_January_19.jpg" alt="Kumar Mangalam Birla" width="650" height="400" />

Vodafone Idea ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง Vodafone Group ของสหราชอาณาจักรและ Idea Cellular ของ Birla เผยว่า บริษัทมีภาระหนี้สะสมมากถึง 2.42 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ 

โดยส่วนหนึ่งสะสมมาจากการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงซึ่ง Vodafone Idea สูญเสียส่วนแบ่งการตลาดให้กับ Reliance Jio ของ Mukesh Ambani นอกจากนี้ยังเป็นหนี้รัฐบาลจำนวน 2.12 หมื่นล้านเหรียญที่จะต้องจ่ายในอีก 10 ปีข้างหน้า

Kum<a style="color: #008000;" href="https://www.forbes.com/profile/kumar-birla/?sh=5a6fdd1048ca">ar Mangalam Birla </a>ซึ่งเป็นประธานรุ่นที่สี่ของ Aditya Birla Group ได้เขียนจดหมายถึงรัฐบาลในเดือนมิถุนายนเพื่อเสนอขายหุ้นของกลุ่มใน Vodafone Idea ให้กับหน่วยงานที่ได้รับการอนุมัติจากรัฐบาล โดยในจดหมายของเขาเน้นย้ำว่า ในปีที่ผ่านมา Vodafone Idea ได้ดำเนินการตามขั้นตอนต่างๆ เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินงาน แม้ว่าสถานะทางการเงินของบริษัทจะถดถอยเรื่อยมา

โดยกิจการดังกล่าวขาดทุน 11 ไตรมาสติดต่อกัน ซึ่งในปีงบประมาณล่าสุดที่สิ้นสุด ณ เดือนมีนาคม ขาดทุนอยู่ที่ 4.423 แสนล้านรูปีจากรายได้ 419.5 พันล้านรูปี ขณะที่หุ้นของบริษัทร่วงลงมากถึงร้อยละ 45 ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ก่อนที่จะปรับขึ้นมาบางส่วน และปิดสัปดาห์ที่ร้อยละ 14

ล่าสุด บริษัทพยายามหาทางระดมทุนเพิ่มอีก 2.5  แสนล้านรูปี ผ่านกองทุนรวมผสมทั้งในหุ้นและตราสารหนี้ เพื่อรักษาระดับการดำเนินงาน แต่ Birla กล่าวว่า นักลงทุนต้องการเห็นความตั้งใจที่ชัดเจนของรัฐบาลในการสนับสนุนตลาดโทรคมนาคมที่มีผู้เล่น 3 ราย

อย่างไรก็ดี ในบรรดาผู้ให้บริการเครือข่ายไร้สายรายใหญ่ที่สุดของประเทศ ดูเหมือนว่า Vodafone Idea จะเป็นผู้ที่เสียเปรียบที่สุด เพราะเมื่อปีที่แล้ว Reliance Jio ของ Ambani สามารถระดมทุน 2 หมื่นล้านเหรียญจากนักลงทุนทั่วโลก ในขณะที่ Bharti Airtel ของ Sunil Mittal เพิ่งรายงานตัวเลขผู้ใช้บริการที่เพิ่มสูงขึ้น พร้อมผลกำไรที่ปรับตัวขึ้นตามลำดับ

ด้านเว็บไซต์ของ Vodafone Idea ระบุว่า หนี้สินรวมของบริษัท (ไม่รวมหนี้สินตามสัญญาเช่า) ณ วันที่ 31 มีนาคม อยู่ที่ 1.8 ล้านล้านรูปี ประกอบด้วยมูลค่าการจ่ายคลื่นความถี่ที่รอตัดบัญชีจำนวน 9.627 แสนล้านรูปี หนี้สิน AGR จำนวน 6.096 แสนล้านรูปีที่เป็นหนี้รัฐบาล และหนี้จากธนาคารและสถาบันการเงินอยู่ที่ 2.308 แสนล้านรูปี

ด้าน Nick Read ซีอีโอ Vodafone Group ซึ่งมีสัดส่วนการถือหุ้นใน Vodafone India ร้อยละ 45 กล่าวกับนักวิเคราะห์ว่า บริษัทจะไม่เพิ่มทุนในธุรกิจอินเดีย หลังจากรับทราบผลประกอบการของบริษัทในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา

เพราะฉะนั้นความหวังเพียงหนึ่งเดียวของ Vodafone Idea จึงอยู่ที่ร่างกฎหมายฉบับแก้ไขการเก็บภาษีย้อนหลังที่ประกาศใช้ในปี 2012 โดยในที่นี้ Lok Sabha สภาล่างของประเทศ ออกมาประกาศเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า จะไม่มีการเรียกเก็บภาษีการโอนทรัพย์สินทางอ้อมเพิ่ม หากการทำธุรกรรมเสร็จสิ้นก่อนวันที่ 28 พฤษภาคม 2012

ทั้งนี้ สถานะทางการเงินที่ย่ำแย่ลงของ Vodafone ได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อศาลฎีกาตีความคำจำกัดความของ AGR ของกรมโทรคมนาคม ซึ่งรวมถึงรายได้ที่ได้รับจากแหล่งที่ไม่ใช่โทรคมนาคม เช่น รายได้ดอกเบี้ยและกำไรจากเงินทุน ทำให้ทั้ง Vodafone Idea และ Airtel ต่างยื่นอุทธรณ์ต่อคำตัดสิน แต่ในที่สุดศาลสูงสุดก็ได้เพิกถอนการอุทธรณ์ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา

ด้าน Birla Group เข้าสู่ธุรกิจโทรคมนาคมครั้งแรกในปี 1995 ด้วยการจัดตั้งบริษัทเพื่อให้บริการโทรคมนาคมแบบ GSM และในช่วงหลายปีที่ผ่านมาก็ได้มีการร่วมมือกับพันธมิตรเชิงกลยุทธ์อย่าง AT&amp;T และ Tata Cellular แต่หลังจากนั้น Tata Cellular ก็ได้ออกจากการเป็นธุรกิจร่วมทุน และเข้าเป็นบริษัทโทรคมนาคมในเครือของกลุ่ม Aditya Birla พร้อมเปลี่ยนชื่อเป็น Idea Cellular

บริษัทเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ในปี 2007 และระดมทุนได้ประมาณ 2.5 หมื่นล้านรูปี โดยการจดทะเบียนหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ต่อมาในเดือนมีนาคม 2017 Idea Cellular และ Vodafone Group ประกาศว่า พวกเขากำลังควบรวมการดำเนินงานภายในประเทศ

แปลและเรียบเรียงจากบทความ How Billionaire Kumar Birla’s Telecom Dream Unraveled โดย ชญาน์นัทช์ ธนินท์พงศ์ภัค เผยแพร่บน Forbes.com

อ่านเพิ่มเติม: <a style="color: #003300;" href="https://forbesthailand.com/world/larry-page-ผู้ร่วมก่อตั้ง-google-ได้รับ.html">Larry Page ผู้ร่วมก่อตั้ง Google ได้รับสิทธิ์พำนักในนิวซีแลนด์ ขณะลูกชายรับการรักษาพยาบาล</a>

&nbsp;

Kumar Mangalam Birla มหาเศรษฐีพันล้าน เผยถึงวิกฤตทางการเงินใน Vodafone Idea

<h2>งานโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมยังมีความต้องการอีกมาก แม้ดีมานด์จะมีมานานกว่า 15 ปี เป็นโอกาสของ ศักดิ์บวร พุกกะณะสุต ที่พา “อินฟราเซท” ติดลมบนธุรกิจขยายงานครอบคลุมทั้งระบบ</h2>
เสาสัญญาณโทรคมเป็นหนึ่งในปัจจัยพื้นฐานการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคม แต่มากกว่าเสาสัญญาณยังมีงานระบบเดินสายใยแก้วนำแสง (fiber optic) การติดตั้งเครื่องรับสัญญาณอินเทอร์เน็ต การจัดทำระบบศูนย์ข้อมูล (data center) และอีกหลายบริการที่เชื่อมโยงการส่งต่อสัญญาณอินเทอร์เน็ตสู่พื้นที่ต่างๆ

เหล่านี้คือบริการพื้นฐานด้านโทรคมนาคมที่ตลาดยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก เป็นงานยากที่สร้างโอกาสให้กับนักธุรกิจหนุ่มวัย 45 ปี ศักดิ์บวร พุกกะณะสุต กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินฟราเซท จำกัด (มหาชน) ที่สร้างตัวมาจากการเป็นพนักงานบริษัทผู้รับทำระบบศูนย์ข้อมูล ก่อนจะออกมาตั้งบริษัทของตัวเองในชื่อ “อินฟราเซท”เมื่อเดือนพฤษภาคม 2549 ด้วยเงินทุนเริ่มต้นเพียง 2 แสนบาท แต่สามารถรับงานมูลค่า 15 ล้านบาทได้ภายในครึ่งปีแรกที่ดำเนินธุรกิจ

“ชีวิตในวัยเด็กของผมไม่เหมือนเด็กทั่วไปตื่นเช้าต้องไปส่งหนังสือพิมพ์ เสร็จแล้วค่อยไปโรงเรียน พอเลิกเรียนก็ต้องไปส่งแก๊สตามบ้าน เพราะตอนนั้นที่บ้านทำร้านขายหนังสือและแก๊สหุงต้ม ทำให้ผมไม่มีเวลาได้เที่ยวเล่นเหมือนเด็กคนอื่นๆ” ศักดิ์บวรย้อนชีวิตในวัยเด็กกับทีมงาน Forbes Thailand เพื่อบอกเล่าพื้นเพเดิมว่าค่อนข้างลำบาก กว่าจะได้ทำงานและกลายมาเป็นเจ้าของธุรกิจที่กำลังขยายกิจการ

ทุกวันนี้กล่าวได้ว่าอินฟราเซทเป็นบริษัทน้องใหม่ที่มาแรงในธุรกิจบริการด้านโทรคมนาคม ประสบการณ์ 13 ปีทำให้บริษัทเล็กๆ ที่เริ่มต้นด้วยพนักงานเพียง 2 คน คือ ศักดิ์บวรและลูกน้อง

&nbsp;
<h2>ลุยทุกพื้นที่ทำเกินคาดหมาย</h2>
สายสัมพันธ์อันแนบแน่นที่มีกับลูกค้าเก่า สมัยที่ยังทำงานอยู่กับบริษัท ไซท์ เพรพพาเรชั่น แมเนจเมนท์ จำกัด ซึ่งศักดิ์บวรทำอยู่ 9 ปีก่อนจะออกมาด้วยตำแหน่งล่าสุด Assistant Vice President ประสบการณ์ธุรกิจก่อตั้งระบบศูนย์ข้อมูลคือความถนัดที่มีในเวลานั้น เมื่อก้าวมาทำบริษัทเองเขาก็อาศัยช่องทางหางานผ่านลูกค้าเก่า โดยมุ่งมั่นทำงานทุกโครงการที่ได้รับให้เสร็จเร็วกว่ากำหนด

“ทำให้เกินความคาดหมายผู้จ้าง” เป็นวิธีคิดที่ศักดิ์บวรบอกว่าสิ่งนี้คือจุดสร้างความประทับใจที่ทำให้ลูกค้าบอกต่อ “ในวงการโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคม ชื่ออินฟราเซทรับประกันได้ว่างานเสร็จ ไม่มีทิ้งงาน และส่วนใหญ่เสร็จก่อนกำหนด”

ก้าวสู่ปีที่ 3 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของอินฟราเซท เพราะเป็นปีแรกที่รับงานมูลค่า 100 ล้านบาท “โชคดีเจ้าของบริษัท ฟอร์ท คอร์ปอเรชั่น จำากัด (มหาชน) คุณพงษ์ชัย อมตานนท์ มีงานประมูลใหญ่ของทีโอที คือ โครงการจัดซื้อจัดจ้างติดตั้งอุปกรณ์ชุมสายมัลติมีเดีย หรือโครงการเอ็มแซน (MSAN) ความให้ผมเข้าไปทำโครงการนี้เป็นการติดตั้งอุปกรณ์เพื่อเปลี่ยนโทรศัพท์บ้านเป็นอินเทอร์เน็ต ผมได้มา 1.6 แสนเลขหมายเป็นงานที่ยากมาก เพราะการเดินสายโทรศัพท์บ้านไม่เป็นระเบียบ บ้านเลขที่ยังเรียงหมายเลขแต่โทรศัพท์ไม่เรียง แต่เราก็ทำจนเสร็จ”

งานนี้ทำให้อินฟราเซทต้องขยายทีมงานเพิ่มมาเป็น 30 คน เพราะต้องเข้าไปทุกพื้นที่ทั่วประเทศ อินฟราเซทปิดจ๊อบ เอ็มแซนเฟสแรกได้ในปีที่ 4 ต่อจากนั้นก็มีโครงการเอ็มแซนเฟส 2 5.77 แสนเลขหมาย อินฟราเซทมีโอกาสเข้าไปทำต่อจากฟอร์ท คอร์ปอเรชั่น เพราะโครงการแรกทำไว้ดี

<img class="alignnone size-full wp-image-25079" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/12/ศักดิ์บวร-พุกกะณะสุต-02.jpg" alt="" width="545" height="468" />
<h2>เปลี่ยนคู่แข่งมาเป็นคู่ค้า</h2>
ในช่วงทำโครงการเอ็มแซนเฟส 2 นอกจากอินฟราเซทแล้ว ยังมีอีกบริษัทที่รับงานจาก ฟอร์ท คอร์ปอเรชั่น คือ บริษัท ไวร์เออ แอนด์ ไวร์เลส จำกัด ในกลุ่มทรู เครือซีพี เนื่องจากฟอร์ทฯ ได้มาหลายโซนจึงมากระจายให้คนละโซน ช่วงนี้เป็นจุดเริ่มต้นทำให้ได้งานเพิ่มมากกว่าเก่า โดยไวร์เออฯ แม้จะเข้ามารับงานเช่นเดียวกัน แต่เพราะเป็นบริษัทในกลุ่มทรู มีงานต่อเนื่องด้านอินเทอร์เน็ตหลายงาน

หลังจากเห็นว่าอินฟราเซททำได้ก็ให้โอกาสอินฟราเซทไปทำงานเดินสายไฟเบอร์ออปติกเป็นครั้งแรก “งานนี้ผู้จ้างคาดหวังด่วนมาก เร็วมาก เดินสายไฟเบอร์ออปติกของทรูในพื้นที่กรุงเทพฯ ที่ได้มาจากการประมูล 3G, 4G”

หลังจากนั้นก็เป็นพันธมิตรที่ดีกับไวร์เออฯ มาตลอด 11 ปี ถ้าเป็นงานสร้างเสาสัญญาณและตั้งสายจะจ้างอินฟราเซททุกปี แต่ก็มีงานอื่นๆ ด้วย

<img class="alignnone size-full wp-image-25076" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/12/ศักดิ์บวร-พุกกะณะสุต-03.jpg" alt="" width="544" height="354" />

ในปีที่ 5 ของการทำธุรกิจมองโอกาสโตเข้าตลาดฯ เอ็ม เอ ไอ จากนั้นธุรกิจก็เติบโตมาเรื่อย จนกระทั่ง ในปี 2559 ศักดิ์บวรได้รับคำแนะนำจากเพื่อนว่า ควรนำธุรกิจเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อจะได้ทุนเข้ามาขยายงานได้มากกว่านี้ทำให้เขาคิดตามและเริ่มศึกษาประโยชน์ของการเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็พบว่าทำให้มีเงินขยายธุรกิจ ทำให้พนักงานภาคภูมิใจ และทำให้บริษัทมีการบริหารจัดการชัดเจนจึงตัดสินใจเตรียมตัวเข้าตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ

โดยช่วงนั้นบริษทได้งานโครงการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในพื้นที่ชายขอบหรือโครงการ USO ซึ่งเป็นโครงการใหญ่ของกลุ่มทรู ที่จ้างไวร์เออฯ ทำงานนี้ อินฟราเซทก็รับทำด้วยในลักษณะกิจการร่วมค้า (consortium) กับบริษัทเอไอที หรือบริษัท แอ็ดวานซ์ อินฟอร์เมชั่น เทคโนโลยี จำากัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทในตลาดฯ และใช้ชื่อกิจการร่วมค้าครั้งนี้ว่า “เอไอคอนซอร์เตียม” เข้ารับงาน USO เฟส 1 จากไวร์เออฯ งานนี้มูลค่า 1.8 พันล้านบาท อินฟราเซทรับผิดชอบ 1 พันกว่าล้าน

ปัจจุบันมีงานในมืออยู่พอสมควร หากดูจากโครงการที่รอส่งมอบ (backlog) ในมือมีกว่า 2.74 พันล้านบาทและหลากหลายพอสมควร “เราทำงานหลายอย่างหลายกลุ่ม ทำทั้งเสาทั้งสาย ทำระบบศูนย์ข้อมูล ในขณะที่คนอื่นทำประเภทเดียวแต่เราทำทุกอย่าง” ถ้าดูตาม backlog รายได้ปีนี้น่าจะได้เกิน 1 พันล้านบาทแน่นอน

ส่วนการทำงานศักดิ์บวรบอกว่า วิธีการทำงานไม่ได้มองแค่หน้าที่ตัวเอง หากเห็นว่าสามารถทำอะไรให้โครงการเสร็จได้ก็จะทำ แม้ไม่ใช่หน้าที่โดยตรง วิธีคิดแบบนี้ทำให้เขาได้งานต่อเนื่อง และทำรายได้หลัง 4 ปีแรกมาเป็น 300, 400 และ 500 ล้านบาทอย่างสม่ำเสมอ เหมือนเป็น recurring income ทุกปีแม้จะมีรายได้ประจำทุกปี แต่อินฟราเซท ก็ยังมุ่งมั่นที่จะเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ

ศักดิ์บวรบอกว่าการเข้าตลาดฯ เขามองโอกาสในเรื่องธรรมาภิบาล ชอบทำงานและทำให้พนักงานมีชีวิตที่ดี มีความสุขที่ได้เห็นการเติบโตของพนักงาน ซึ่งขณะนี้อินฟราเซทมีพนักงาน 115 คน เป็นระดับผู้บริหาร 4 คนทุกคนมีความสุขในการทำางาน ถือเป็นความสำเร็จส่วนตัว

ภาพ: กิตติเดช เจริญพร

<hr />

<a href="https://bit.ly/2PN8dcx">คลิกอ่านฉบับเต็ม “ศักดิ์บวร พุกกะณะสุต ติดลมบนโครงสร้างพื้นฐานไอที-ดิจิทัล” ได้ที่ นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2562 ได้ในรูปแบบ e-Magazine</a>

<img class="alignnone wp-image-23540" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/11/COVER-78-NOVEMBER.jpg" alt="" width="300" height="393" />

ศักดิ์บวร พุกกะณะสุต ติดลมบนโครงสร้างพื้นฐานไอที-ดิจิทัล

<h2>Hiroshi Mikitani กำลังมุ่งพลิกโฉมอุตสาหกรรมโทรคมนาคมในญี่ปุ่นด้วย Rakuten Mobile</h2>
Hiroshi Mikitani ซีอีโอแห่ง Rakuten ไม่ใช่พวกที่วิ่งหนีความเสี่ยง และการเดิมพัน 5.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ของเขาในวันนี้ก็เป็นเดิมพันครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เขาเคยทํามากับสตาร์ทอัพเทคโนโลยีใหม่เพื่อเขย่าตลาดโทรศัพท์มือถือซึ่งผูกขาดอยู่เพียง 3 รายใหญ่และยากที่ใครจะเจาะเข้าไปได้

Rakuten ต้องการสร้างเครือข่ายโทรคมนาคมรูปแบบใหม่ในญี่ปุ่นโดยใช้เวลาน้อยสุดเพียงครึ่งหนึ่งและในต้นทุนที่ถูกกว่า ด้วยการลงทุนที่อาจใช้น้อยกว่าถึง 40% เมื่อเทียบกับการสร้างระบบโทรคมนาคมแบบดั้งเดิม

บริการใหม่ที่มีชื่อว่า Rakuten Mobile ตั้งเป้าหมายดึงดูดผู้ใช้งานราว 10 ล้านคนภายในระยะ 9 ปีข้างหน้า และขยายไปเป็น 15 ล้านคนในระยะถัดไป ด้วยการให้บริการที่บริษัทอ้างว่าจะถูกกว่า เร็วกว่า มีความเสถียรมากกว่าโครงข่ายแบบเดิม ขณะที่เงินลงทุน 5.5 พันล้านเหรียญ ก็ประมาณเท่ากับงบที่ 2 ยักษ์โทรคมนาคมอย่าง NTT Docomo และ KDDI ใช้ลงทุนต่อปีกันเท่านั้น

“นั่นล่ะคือประเด็นสําคัญเลย” Mikitani วัย 54 ปี ซึ่งอยู่ใน อันดับ 5 มหาเศรษฐีชาวญี่ปุ่นในปีนี้ ด้วยมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 6 พันล้านเหรียญ กล่าว

<figure><img class="wp-image-21282 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/09/Hiroshi-Mikitani-Rakuten.jpg" alt="Hiroshi Mikitani ซีอีโอแห่ง Rakuten ในวัย 54 ปี" width="533" height="800" /><figcaption> Hiroshi Mikitani ซีอีโอแห่ง Rakuten ในวัย 54 ปี</figcaption></figure>

Mikitani วางแผนที่จะดึงฐานลูกค้าเดิมของ Rakuten ราว 100 ล้านคนในญี่ปุ่น ทั้งในส่วนธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ บัตรเครดิต อินเทอร์เน็ตแบงกิ้ง เทรดดิ้งออนไลน์ และคอนเทนต์ ให้มาลงทะเบียนใช้บริการโทรศัพท์ใหม่นี้ด้วย โดยจะเริ่มเปิดให้บริการตามเมืองใหญ่ก่อนในเดือนตุลาคมนี้ จากนั้นจึงค่อยขยายไปทั่วประเทศ

“การใช้ระบบนิเวศของเราเองจะทําให้ได้ลูกค้ามาในต้นทุนที่ถูกกว่ามาก การดําเนินงานของเราก็คล่องตัวกว่าบรรดาคู่แข่ง นอกจากนี้ เรายังสามารถเสริมบริการใหม่ให้เข้มข้นขึ้น โดยใช้ระบบนิเวศของ Rakuten ที่มีอยู่ ผมคิดว่าคนทั่วไปไม่มานั่งสนใจหรอกว่าจะเป็น NTT เป็น SoftBank หรือว่า เป็น Rakuten เพราะหัวใจหลักอยู่ที่การเชื่อมต่อ ความเร็ว ราคา และบริการพิเศษที่คุณมอบให้พวกเขามากกว่า” Mikitani กล่าว

ในขณะที่ Rakuten เริ่มให้บริการนั้น KDDI ก็จะเป็นผู้ให้บริการไปยังพื้นที่ที่ Rakuten ยังไม่ได้เข้าถึง โดยปัจจุบัน บริษัทมีบริการระบบโทรศัพท์มือถือเสมือนที่เช่าสายสัญญาณมาจากธุรกิจเดิมอย่าง NTT Docomo และ KDDI

หนึ่งในเทคโนโลยีสําคัญซึ่งอยู่เบื้องหลังเครือข่ายนี้ชื่อว่า เครือข่ายวิทยุเสมือน (VRAN) ซึ่งทําให้การทํางานของบรรดาสถานีข่ายที่เชื่อมโทรศัพท์มือถือเข้ากับเครือข่ายมีความง่ายขึ้น Tareq Annin ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีของ Rakuten กล่าวว่า การใช้เครือข่ายดังกล่าวบนระบบคลาวด์ รวมถึงการใช้เทคโนโลยีโนว์ฮาวอื่นๆ สามารถช่วยลดต้นทุน ด้านการดําเนินงานและการซ่อมบํารุงได้อย่างน้อยถึง 30%

โดย Rakuten กําลังสร้างบริการเครือข่าย 4G ที่สามารถ เปลี่ยนไปเป็น 5G ได้ง่ายๆ ราวกับการอัปเดตซอฟต์แวร์ แทนที่จะเป็นการลงทุนฮาร์ดแวร์ใหม่ราคาแพงลิ่ว

<figure><img class="size-full wp-image-21283" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/09/Hiroshi-Mikitani-Rakuten-Mobile-เสาสัญญาณ.jpg" alt="Rakuten Mobile" width="800" height="533" /><figcaption> สถานีเครือข่ายของ Rakuten Mobile</figcaption></figure>

Mikitani ไม่ใช่มหาเศรษฐีรายแรกที่เข้ามาเขย่าอุตสาหกรรมโทรคมนาคมในญี่ปุ่น มหาเศรษฐีอย่าง Masayoshi Son ก็เคยเดิมพันคล้ายกันมาแล้ว แต่แทนที่จะเริ่มต้นจากศูนย์เหมือนที่ Mikitani กําลังทําอยู่ Son ก้าวเข้ามาด้วยการซื้อธุรกิจเดิมที่มีอยู่แล้วของบริษัท Vodafone ในญี่ปุ่น เป็นเงินเกือบ 1.8 ล้านล้านเยน (ราว 1.5 หมื่น ล้านเหรียญ) ในปี 2006 ซึ่งกลายมาเป็น SoftBank ในปัจจุบัน

แม้ Rakuten เองเชื่อมั่นว่า จะสามารถส่งมอบบริการในเชิงพาณิชย์ได้ตามกําหนดในเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ แต่นักลงทุนบางส่วนกลับไม่เชื่ออย่างนั้น

ทั้งนี้ CLSA คาดการณ์ว่าผลกําไรสุทธิของ Rakuten ในปี 2017 จะลดลง 5% มาอยู่ที่ 5.87 หมื่นล้านเหรียญ และลดลงอีก 38% มาอยู่ที่ 3.64 หมื่นล้านในปีถัดไป เนื่องจากการลงทุนในธุรกิจสื่อสารและยังมีค่าใช้จ่ายในการพัฒนาด้านโลจิสติกส์ของอี-คอมเมิร์ซ และ Rakuten จะเผชิญภาวะขาดทุนไปอีก 3 ปีหลังจากนั้นเป็นอย่างน้อย

ในความเป็นจริงนั้น ไม่มีบริษัทสื่อสารรายใดที่จะสร้างเครือข่าย VRAN บนระบบคลาวด์ตั้งแต่ต้นจนจบโดยเริ่มจากศูนย์เหมือนที่ Rakuten พยายามทําอยู่ ซึ่งแม้แต่ Rakuten เองก็ยอมรับความท้าทายนี้ ในการเปิดตัวระบบเมื่อเดือนกุมภาพันธ์

“พวกเขาบอกว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่เรากล้าที่จะทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ให้เป็นไปได้” Rakuten เปิดเผยในเดือนเดียวกันว่า ต้องการลงทุนในเชิงยุทธศาสตร์กับ Altiostar Networks บริษัทสื่อสารโทรคมนาคมจากสหรัฐฯ ซึ่งเป็นหนึ่งในพันธมิตรผู้ร่วมสร้างระบบด้วยกัน แต่ไม่มีการเปิดเผยตัวเลขเงินลงทุน

<img class="alignnone size-full wp-image-21281" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/09/Hiroshi-Mikitani-Rakuten-จำนวนผู้ใช้สมาร์ทโฟน-ญี่ปุ่น.jpg" alt="" width="572" height="492" />

ถึงอย่างนั้นก็ตาม บางส่วนยังเชื่อว่าธุรกิจโทรศัพท์มือถือของ Rakuten จะช่วยเพิ่มความได้เปรียบให้บริษัทเฉือนเอาชนะคู่แข่งหลายรายในธุรกิจอี-คอมเมิร์ซได้ โดยเฉพาะ Amazon หลังจาก Amazon กวาดส่วนแบ่งการตลาดอี-คอมเมิร์ซในญี่ปุ่นไปได้ถึง 25% เมื่อปีที่แล้ว จากตลาดที่มีมูลค่า 8.7 หมื่นล้านเหรียญ แซงหน้า Rakuten ที่ได้ไปเพียง 17% ตามที่ข้อมูลของบริษัทวิจัยการตลาด Euromonitor ที่ได้บันทึกไว้
<ul>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/world/asia/taizo-son-%e0%b8%81%e0%b8%b9%e0%b8%a3%e0%b8%b9%e0%b8%aa%e0%b8%b2%e0%b8%a2%e0%b9%80%e0%b8%97%e0%b8%84%e0%b9%82%e0%b8%99%e0%b9%82%e0%b8%a5%e0%b8%a2%e0%b8%b5.html">Taizo Son กูรูสายเทคโนโลยี ผู้สร้างผลักดันเทคโนโลยีชั้นสูง</a></li>
</ul>
นอกจากการแข่งขันกับ Amazon แล้ว Rakuten ยังต้องแข่งขันกับบรรดายักษ์สื่อสารรายอื่น ๆ ที่ทั้งทุนหนาและแข็งแกร่งในตลาดญี่ปุ่น NTT Docomo เป็นผู้นําด้วยส่วนแบ่งการตลาด 30% จากยอดผู้ลงทะเบียนใช้งานทั้งหมด 178 ล้านคน ตามมาด้วย KDDI ในสัดส่วน 28% และ SoftBank 23% ที่เหลือเป็นของบริษัทที่เช่าคู่สายจาก 3 บริษัทดังกล่าวเพื่อให้บริการโทรศัพท์มือถือราคาถูก

&nbsp;
<h2>จากวัยรุ่นมีปัญหาสู่มหาเศรษฐีพันล้าน</h2>
ย้อนกลับไปในช่วงวัยรุ่นของ Hiroshi Mikitani เขาทั้งโดดเรียน สูบบุหรี่ เล่นปาจิงโกะ และพนันม้าแข่ง ก่อนจะกลับตัวได้ในช่วงท้ายของมัธยมปลาย เขาจบจากมหาวิทยาลัย Hitotsubashi ถึงช่วงทำงานก็เป็นนายแบงก์ที่ Industrial Bank of Japan (IBJ) ซึ่งเป็นธนาคารสายอนุรักษ์นิยม เขาเป็นคนแรกในรุ่นที่ได้ทุนจากธนาคารไปต่อ MBA ที่ Harvard Business School

ชีวิตของเขาเปลี่ยนไปเมื่อเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่ Kobe บ้านเกิดของเขาเมื่อปี 1995 ซึ่งได้คร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 6,000 คน รวมถึงญาติและเพื่อนๆ ของเขาด้วย แรงกระตุ้นนี้ทำให้เขาหันมาสนใจศาสนาพุทธและลาออกจาก IBJ

<figure><img class="wp-image-21284 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/09/Hiroshi-Mikitani-Rakuten-young-age.jpg" alt="Hiroshi Mikitani" width="553" height="558" /><figcaption> Mikitani เมื่อปี 2006</figcaption></figure>

ในปี 1997 เมื่อไม่รู้จะทำอะไรในญี่ปุ่นซึ่งนิยมรับเด็กจบใหม่มากกว่าพนักงานที่ย้ายงาน Mikitani ร่วมกับเพื่อน Shinnosuke Honjo ใช้เงินลงทุนกว่าครึ่งล้านเหรียญก่อตั้ง Rakuten เป็นตลาดออนไลน์ที่มีความเป็นลูกผสมระหว่าง Amazon กับ eBay ซึ่งสร้างรายได้ต่อปีเกือบ 30 ล้านเหรียญในปี 2000 ปีที่ Rakuten เปิดไอพีโอ

Mikitani นับเป็นหนึ่งในหัวแถวของผู้ปฏิวัติอินเทอร์เน็ตในญี่ปุ่นเคียงคู่กับ Masayoshi Son แห่ง Softbank และเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรญี่ปุ่น โดยประกาศใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก ทั้งยังยื่นเสนอซื้อสถานีโทรทัศน์ Tokyo Broadcasting System แบบไม่เป็นมิตร (ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ในญี่ปุ่นแม้ในปัจจุบัน)

เขายังเป็นผู้ก่อตั้ง Japan Association of the New Economy หรือ JANE ซึ่งส่วนใหญ่มีสมาชิกเป็นบริษัทอินเทอร์เน็ตและไอที มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมนโยบายการปฏิรูปต่างๆ เช่น การผ่อนปรนกฎหมายผู้อพยพในญี่ปุ่น การอนุญาตให้มีธุรกิจไรด์แชร์ริ่ง การลดภาษีต่างๆ เป็นต้น

&nbsp;

เรื่อง: James Simms เรียบเรียง: นันทิยา วรเพชรายุทธ

&nbsp;

<hr />

<a href="https://buffet.ookbee.com/magazine/forbes/issue/3344a01a-930d-4d0c-88c3-b1c63c876c58">คลิกอ่านเรื่องราวฉบับเต็ม “ปฏิวัติเครือข่ายมือถือใหม่บน "คลาวด์” ได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนสิงหาคม 2562 ในรูปแบบ e-Magazine</a>

<img class="lazy alignnone wp-image-15289 lazy-loaded" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/08/AUGUST-.jpg" sizes="(max-width: 300px) 100vw, 300px" srcset="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/08/AUGUST-.jpg 744w, https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/08/AUGUST--228x300.jpg 228w" alt="" width="300" height="394" data-lazy-type="image" data-lazy-src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/08/AUGUST-.jpg" data-lazy-srcset="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/08/AUGUST-.jpg 744w, https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/08/AUGUST--228x300.jpg 228w" data-lazy-sizes="(max-width: 300px) 100vw, 300px" />

Hiroshi Mikitani แห่ง Rakuten ปฏิวัติเครือข่ายมือถือใหม่บนคลาวด์

Opensignal ชี้ "การสตรีมมิ่งวิดีโอ" ด้วย 4G ของค่ายมือถือไทยยังไม่เร็วพอ-หยุดชะงักบ่อย

<h2>ในช่วงเวลานี้ บล็อกเชน เป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการพูดถึงมากที่สุดในโลก ทั้งวงการตลาดแลกเปลี่ยนเงินตรา ธนาคาร ผู้ใช้คำปรึกษาด้านไฟแนนซ์ ธุรกิจขนส่งของ และอื่นๆ อีกมากมาย และมีอีกวงการหนึ่งที่สามารถเชื่อมโยงบล็อกเชนเข้าระบบได้นั่นก็คือธุรกิจการสื่อสารโทรคมนาคม</h2>
ในอุตสาหกรรมโทรคมนาคม ฐานข้อมูลรวมนั้นค่อนข้างแพร่หลาย อุตสาหกรรมโทรคมนาคมมีกรอบการดำเนินงานที่ซับซ้อนมากที่สุดเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมอื่นๆ หลายรายเช่น คู่ค้า ผู้ให้บริการเครือข่าย ผู้จัดจำหน่าย ผู้ขาย/ลูกค้า เป็นต้น การดำเนินการโทรคมนาคมเป็นกระบวนการจัดการบริการเพื่อให้แน่ใจว่ามีบริการที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้า นอกจากนี้กรอบกระบวนการดำเนินงานด้านโทรคมนาคมรวมถึงการจัดการฟังก์ชั่นเช่นการจัดการสินค้าในคลังม

ดังที่เราทราบกันว่า<a href="https://www.bitkub.com/">บล็อกเชน</a>นั้นเป็นบัญชีแยกประเภทแบบกระจาย เพื่อสร้างฐานข้อมูลที่ปลอดภัยและใช้ร่วมกันได้ กรณีการใช้งานของบล็อกเชน ในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมมีความหลากหลาย ซอฟต์แวร์ภายในสามารถพัฒนาบริการได้ตั้งแต่การโรมมิ่งข้อมูล การป้องกันการฉ้อโกงกระบวนการภายในธุรกรรมสมาร์ท การระบุการจัดการโทเค็นข้อมูลมือถือและอื่นๆ อีกมากมายในอนาคตอันใกล้ อย่างไรก็ตามในบทความนี้เราจะเน้นพูดคุยเรื่องการจัดการภายในของอุตสาหกรรมโทรคมนาคม

 
<h2>การจัดการข้อมูลผู้ใช้</h2>
กระบวนการปัจจุบันของอุตสาหกรรมโทรคมนาคมในปัจจุบันคือผู้ใช้ต้องพิสูจน์ตัวตนของพวกเขาในการเข้าถึงบัญชีหรือบริการที่ใช้เวลานานมากๆ ซึ่งวิธีนี้ไม่สะดวกและมีความเสี่ยงเพราะทุกคนสามารถพยายามลงชื่อเข้าใช้ได้หากพวกเขารู้จักคุณ

ในสถานการณ์นี้เทคโนโลยี บล็อกเชนสามารถใช้เพื่อให้ผู้ใช้มีข้อมูลประจำตัวดิจิทัลซึ่งสามารถใช้ผ่านอุปกรณ์แอปพลิเคชันและองค์กรได้ เห็นได้ชัดว่าผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องมีรหัสผ่านแยกต่างหากสำหรับบัญชีออนไลน์ต่างๆ เพียงแค่ใช้แอพพลิเคชั่นเดียว ผลก็คือเสียเวลาน้อยลงและทำให้สะดวกและปลอดภัยมากยิ่งขี้น

หากบล็อกเชนนี้ถูกเชื่อมกับบริการอื่นๆ ผู้ใช้สามารถใช้ข้อมูลประจำตัวดิจิทัลนี้ในการตรวจสอบตัวเองเมื่อเข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์หลายแห่งเช่นอี-คอมเมิร์ซ การเข้าอาคารที่มีความปลอดภัย การซื้อตั๋วเครื่องบิน การตรวจสอบเอกสารส่วนตัวเช่นหนังสือเดินทางใบขับขี่ ยิ่งอุตสาหกรรมโทรคมนาคมตอบสนองความต้องการของผู้ใช้มากเท่าไหร่พวกเขาก็จะมีโอกาสที่จะมีผู้ใช้มากขึ้นในอุตสาหกรรมนี้

&nbsp;
<h2>ธุรกรรมที่ชาญฉลาดและการใช้เงินบนมือถือ</h2>
บล็อกเชนสามารถเปิดใช้งานการใช้สินทรัพย์ดิจิทัลเพื่อซื้อของเช่นเพลงเกมมือถือบัตรของขวัญและคะแนน นอกจากนี้ บล็อกเชนยังเปิดใช้งานการชำระเงินทั่วโลกด้วยค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรมเพียงเล็กน้อย ปัจจุบันนี้การทำธุรกรรมทั่วโลกสามารถทำได้ผ่านธนาคาร

สำหรับชำระเงินบนมือถือด้วยโซลูชั่นการชำระเงินด้วย <a href="https://www.bitkub.com/buy-cryptocurrency">Cryptocurrency</a> สมาชิกโทรศัพท์มือถือจากเครือข่ายที่แตกต่างกันเพื่อชำระเงินอย่างรวดเร็วเมื่อพวกเขาเดินทาง ปัจจุบันการชำระเงินมือถือไม่สามารถใช้กับโทรศัพท์มือถือเมื่อเดินทางไปยังประเทศอื่นๆ นี่อาจเป็นหนึ่งในโอกาสสำหรับอุตสาหกรรมโทรคมนาคมเพื่อเพิ่มลูกค้า

&nbsp;
<h2>เสริมสร้างระบบภายใน</h2>
เทคโนโลยีบล็อกเชนจะสนับสนุนกระบวนการภายในที่เกี่ยวข้องกับระบบดูแลฝ่ายปฏิบัติการและระบบการย้ายค่ายเบอร์เดิม (ผู้ใช้สามารถเก็บหมายเลขเดิมและเปลี่ยนผู้ให้บริการของเขา) การเรียกเก็บเงินรวมถึงการชำระล่วงหน้าและชำระภายหลังและ SIM หมายเลขพอร์ตที่ใช้จะขึ้นอยู่กับบุคคลที่สามซึ่งสามารถ ลบออกได้โดยอัตโนมัติ กระบวนการดำเนินการกำหนดเส้นทางจาก บล็อกเชน ของผู้ให้บริการรายหนึ่งไปยังผู้ให้บริการบล็อกเชนรายอื่น ดังนั้นจะเชื่อถือได้ง่ายขึ้น

นอกจากนี้กลุ่มผลประโยชน์สามารถเรียกเก็บเงินได้โดยไร้ข้อโต้แย้ง ในอดีตการเรียกเก็บเงินสูงกว่าที่คาดไว้เสมอดังนั้นจึงอาจเป็นข้อขัดแย้งระหว่างกัน ตอนนี้มันสามารถแก้ไขได้ด้วยการมาของบล็อกเชน

ยังมีอีกหลายสิ่งมากมายที่อุตสาหกรรมโทรคมนาคมสามารถพัฒนาได้ ที่ผ่านมาเริ่มมีบริษัทโทรคมนาคมเช่น Deutsche Telekom, Telia และ PCCW global ที่กำลังประยุกต์ใช้บล็อกเชนเข้าระบบ และภายในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าบล็อกเชนจะเป้นสิ่งทั่วไปที่อุตสาหกรรมใหญ่ๆใช้กันเบื้องหลังการจัดเก็บข้อมูล

<a href="https://www.bitkubblockchain.com">Bitkub Blockchain Technology</a> เป็นบริษัทในประเทศไทยที่ให้บริการคำปรึกษาประยุกต์ใช้บล็อกเชนในทุกธุรกิจที่มีมูลค่าและการจัดเก็บข้อมูล และเป็นสิ่งหนึ่งที่ประเทศไทยสามารถพัฒนาระบบด้วยบล็อกเชนได้

บล็อกเชนอาจกระทบต่ออุตสาหกรรมโทรคมนาคมได้อย่างไร?

<h2>Verizon ประเดิมเปิดตัว 5G เริ่มให้บริการ 4 เมืองใหญ่ในสหรัฐฯ ชิงตลาดอินเทอร์เน็ตบ้านความเร็วสูง ออกโปรโมชั่นลดราคาเอาใจลูกค้า ด้านเจ้าใหญ่ AT&amp;T เร่งเเผนลงสนามปีนี้</h2>
บริษัทโทรคมนาคมรายใหญ่ 'Verizon' เปิดตัวเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง 5G โดยจะเริ่มให้บริการใน 4 เมืองในสหรัฐ ได้เเก่ Houston, Indianapolis, Los Angeles เเละ Sacramento

สำหรับเครือข่าย 5G ของ Verizon จะสามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆ ภายในบ้าน ผ่านสัญญาณอินเทอร์เน็ต Wi-Fi ด้วยความเร็วประมาณ 300 เมกะบิตต่อวินาทีและความเร็วสูงสุดถึง 1 Gbps สามารถดาวน์โหลดภาพยนตร์ high definition ความยาวหนึ่งเรื่องได้ภายในสองนาที อีกทั้งยังสามารถใช้อุปกรณ์เชื่อมต่อ Wi-Fi พร้อมกันได้หลายเครื่อง ดูสตรีมมิ่งออนไลน์ได้อย่างไม่สะดุด

นักวิเคราะห์ของ Gartner Bill Menzes กล่าวว่า นี่คือสิ่งที่อินเทอร์เน็ตเเบบเคเบิลมีปัญหาสะสมมานานหลายปี เเละบริษัทเครือข่ายโทรศัพท์สามารถฉกฉวยผลประโยชน์นี้ไว้ได้

โดยที่ผ่านมาลูกค้าผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตจำนวนมาก เเสดงความไม่พอใจต่อการบริการของผู้ให้บริการเคเบิลต่างๆ ทั้งฟังก์ชั่นการใช้งาน ค่าใช้บริการเเละค่าธรรมเนียมต่างๆ

ขณะที่ Verizon ออกโปรโมชั่นเอาใจผู้บริโภคด้วยอินเทอร์เน็ตบ้าน 5G ในราคาเพียง 50 เหรียญสหรัฐฯต่อเดือน สำหรับลูกค้าเดิมของ Verizon เเละราคา 70 เหรียญสหรัฐฯต่อเดือน สำหรับบุคคลทั่วไป พร้อมข้อเสนอ Chromecast หรือ Apple TV 4K ฟรีและ YouTube TV 3 เดือน โดยบริการนี้จะมาพร้อมกับการติดตั้งรวมและการเข้าถึงโทรศัพท์มือถือ 5G ครั้งแรกเมื่อบริษัทปล่อยสัญญาณให้บริการในพื้นที่ของผู้ใช้

นอกจากเจ้าใหญ่อย่าง Verizon แล้ว บริษัทโทรคมนาคมคู่แข่งสำคัญอีกหลายราย อย่าง AT&amp;T, T- Mobile และ Sprint ก็กำลังจะเข้ามาตีตลาดเปิดตัวเครือข่าย 5G สำหรับผู้บริโภคตามบ้านในสหรัฐฯ เช่นกัน โดย AT&amp;T มีเเผนจะให้บริการเครือข่ายอินเทอร์เน็ต 5G ใน 12 เมืองทั่วสหรัฐ ภายในปีนี้ด้วย

&nbsp;

ที่มา
<ul>
 	<li>https://www.voanews.com/a/can-wireless-challenge-cable-for-home-internet-service/4594582.html</li>
 	<li>https://www.theverge.com/2018/10/1/17923072/verizon-5g-network-home-internet-service</li>
</ul>
ภาพ : AFP

Verizon เปิดตัวเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง 5G

จากการก่อสร้างและวางโครงข่ายเคเบิลใยแก้วใต้น้ำระหว่างประเทศ (MCT Submarine Cable) โดยความร่วมมือจาก 3 ยักษ์ใหญ่โทรคมนาคม บริษัท ซิมโฟนี่ คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) ประเทศไทย บริษัท Telcotech กัมพูชา และ บริษัท Telekom Malaysia Berhad มาเลเซีย ด้วยงบลงทุนกว่า 2 พันล้านบาท ในระยะทางกว่า 1,300 กิโลเมตร ได้พร้อมเปิดให้บริการเต็มระบบพร้อมกันทั้ง 3 ประเทศในเดือนเมษายนจะที่ถึง

“ในหลายปีที่ผ่านมา อัตราการเติบโตของการสื่อสารมีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เราจึงริเริ่มโครงการเอ็มซีทีขึ้น โดยมีพันธมิตรจากอีก 2 ประเทศเข้าร่วมด้วย ซึ่งเรามีนโยบายหลัก คือ ความเป็นกลางในการเข้าถึงโครงข่าย (Open Access) พร้อมสนับสนุนให้มีการเชื่อมต่อไปยังผู้ให้บริการรายอื่นๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศในรูปแบบภาคพื้นดินและภาคพื้นน้ำ” ธีรรัตน์ ปัณฑรสูตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซิมโฟนี่ คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) และผู้อำนวยการโครงการเอ็มซีที (MCT) กล่าว

<img style="width: 680px; height: 564px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/058d18eba0122287857a20a014865555.jpg" alt="" />

บมจ.ซิมโฟนี่ ได้ตั้งสถานีภาคพื้นดิน โมฬี เคเบิล แลนดิ้ง สเตชั่น บนหาดแม่รำพึง จังหวัดระยอง เพื่อเชื่อมต่อสัญญาณเคเบิลใยแก้วใต้น้ำจาก 2 ประเทศสู่สถานีภาคพื้นดิน เพื่อใช้ในโครงการเอ็มซีทีและสัญญาณเคเบิลใต้น้ำไปยังโครงข่ายอื่นๆ โดยจุดเชื่อมต่อสัญญาณเคเบิลใต้น้ำอยู่ห่างจากสถานีภาคพื้นดินออกไปในอ่าวไทยประมาณ 200 กิโลเมตร ก่อนจะเชื่อมสัญญาณต่อไปยังสีหนุวิลล์ ประเทศกัมพูชา และเชราติ้ง รัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย แผนความตกลงในการร่วมมือ 3 ฝ่าย

“เราเตรียมความพร้อมด้านการติดตั้งอุปกรณ์และขยายโครงข่ายไฟเบอร์ออพติก รวมถึงเกตเวย์ที่มีอยู่ให้เพียงพอที่จะรองรับความต้องการใช้งานโครงข่ายอินเทอร์เน็ตที่มีปริมาณมากขึ้นทุกวัน ช่วยยกระดับการสื่อสารและธุรกิจภูมิภาคด้วยเทคโนโลยีที่รองรับการเชื่อมต่อทั้งรับ-ส่งข้อมูลได้สูงถึง 100 Gbps และรองรับการสื่อสารโทรคมนาคมในอาเซียนด้วยการขยายตัวได้มากถึง 30 Tbps เพื่อที่จะผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางโทรคมนาคมของประเทศในกลุ่มอาเซียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งมีส่วนช่วยในการส่งเสริมภาพลักษณ์ด้านสื่อสารโทรคมนาคมของประเทศให้ไปสู่ระดับภูมิภาค"

<img style="width: 680px; height: 510px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/71a0bba06f0f93c641da533fbf797e54.jpg" alt="" />

<img style="width: 680px; height: 510px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/134b6b8daf1b2eb10fd25b42b757e34b.jpg" alt="" />

โดยกลุ่มลูกค้าของ บมจ.ซิมโฟนี่ ในระยะเริ่มแรกจะเป็นกลุ่มลูกค้าเดิมในประเทศ ก่อนขยายตลาดสู่กลุ่มลูกค้าในต่างประเทศ ทั้งนี้ลูกค้าในประเทศ อาทิ ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ (Mobile Operator) ผู้ให้บริการเชื่อมต่อเข้ากับเครือข่ายอินเทอร์เน็ต (Internet Service Provider) รวมถึงผู้ให้บริการเครือข่ายอื่นๆ (Network Service Provider) ที่ได้รับใบอนุญาตให้บริการเชื่อมต่อบริการระหว่างประเทศ ซึ่งมีความต้องการในการใช้บริการโครงข่ายที่มีความจุในการรับส่งข้อมูลในปริมาณมาก

หลังจากเปิดให้บริการอย่างเต็มระบบในเดือนเมษายนนี้ ธีรรัตน์ คาดการณ์ว่าโครงการเอ็มซีทีจะสร้างรายได้ให้บริษัทประมาณ 90 ล้านบาท และในปี 2561 ประมาณ 120-130 ล้านบาท คาดว่าจะใช้ระยะเวลาในการคืนทุนประมาณ 5-6 ปี โดยแผนขั้นต่อไป คือการรุกสู่ลูกค้าในตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศอัพเปอร์อาเซียน ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้บริการกลุ่มใดก็ตาม

“ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ซิมโฟนี่ให้ความสำคัญกับระบบเคเบิลใต้น้ำ เพราะเราเชื่อมั่นว่าเป็นระบบโครงข่ายที่ดีที่สุดในโลก เนื่องจากมีความเสถียรสูง เงินลงทุนและราคาในการให้บริการไม่แพงเมื่อเปรียบเทียบกับโครงข่ายในระบบอื่นๆ” ธีรรัตน์ ปัณฑรสูตร กรรมการผู้จัดการ บมจ.ซิมโฟนี่ กล่าวเพิ่มเติม

<hr />

<a href="http://www.forbesthailand.com/asianbiz-detail.php?did=1342">อ่านเพิ่มเติม SYMC เดินเกมรุกอาเซียนเชื่อมพรมแดนการสื่อสารภูมิภาค </a>
<a href="http://www.forbesthailand.com/asianbiz-detail.php?did=1342"><img style="width: 300px; height: 221px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/9e03e1302a95b900999aa98da94650f8.png" alt="" /></a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events