<h2 class="p3">ไอท้อปพลัส บริษัทบริการออกแบบเว็บไซต์และการตลาดออนไลน์ เปิดตัวซอฟต์แวร์ ออโต้ดิจิ (Autodigi) แพลตฟอร์มสร้างและปรับแต่งแคมเปญโฆษณา Google แบบอัตโนมัติ ตั้งเป้าเชิญชวนผู้ประกอบการทดลองใช้งานฟรี 500 ราย</h2>
กัมพล ธนาปัญญาวรคุณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อตั้ง บริษัท ไอท้อปพลัส จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ให้ลูกค้าใช้งานเพื่อทำการตลาดออนไลน์ด้วยตนเอง เป็นซอฟต์แวร์การตลาดออนไลน์อัตโนมัติ (Marketing Automation) ในชื่อ ออโต้ดิจิ (Autodigi) ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นเทรนด์ใหม่ของการทำการตลาดออนไลน์ในอนาคต
จากการสำรวจอ้างอิงผลจากสำนักวิจัย <a href="https://www.marketsandmarkets.com/PressReleases/marketing-automation-software.asp">marketsandmarkets.com </a>คาดการณ์ไว้ว่า ปี 2562 นี้มูลค่าของแพลตฟอร์มการตลาดออนไลน์อัตโนมัติทั่วโลกจะมีมูลค่าราว 5.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ​ ขณะที่ในไทย จากสถิติของสมาคมโฆษณาดิจิทัล ปี 2561 มีการทำตลาดผ่านสื่อดิจิทัลมูลค่าราว 1.7 หมื่นล้านบาท เติบโตขึ้น 36% และสมาคมฯ ยังคาดการณ์ด้วยว่ามูลค่านี้จะเติบโตปีละ 20% ใน 3-5 ปีข้างหน้า
อย่างไรก็ตาม กัมพลกล่าวว่า มูลค่าการตลาดผ่านสื่อดิจิทัลของไทยดังกล่าวมีสัดส่วนน้อยมากที่เป็นการทำงานผ่านแพลตฟอร์มการตลาดออนไลน์อัตโนมัติ เนื่องจากแพลตฟอร์มลักษณะนี้ยังเป็นสิ่งใหม่ในประเทศไทย ปัจจุบันส่วนใหญ่ยังคงใช้มนุษย์ในการวางแผนแคมเปญ ไม่ว่าจะเป็นการจ้างผ่านดิจิทัลเอเจนซี่หรือมีแผนกการตลาดดิจิทัลของตนเอง
โดยซีอีโอไอท้อปพลัสอธิบายว่า แพลตฟอร์มการตลาดออนไลน์อัตโนมัติ เป็นระบบที่ช่วยคิดแคมเปญและคำนวณความคุ้มค่าของแคมเปญโฆษณากับ Google AdWords ได้อัตโนมัติ จึงไม่จำเป็นต้องใช้บุคลากรจำนวนมากและอาศัยความรู้ความเข้าใจของบุคลากรน้อยลง ตอบโจทย์ในยุคที่บุคลากรด้านนี้ค่อนข้างขาดตลาด
ในต่างประเทศนั้น ระบบเหล่านี้มีการใช้งานมาแล้วประมาณ 2 ปี มีระบบที่เป็นที่รู้จัก เช่น Cobiro, Opteo, Adference ซึ่งมีศักยภาพและข้อดีข้อเสียต่างกันไป ส่วนในไทยนั้นมีการพัฒนาแพลตฟอร์ม Marketing Automation อยู่ราว 2-3 ราย


<figure><img class="wp-image-6799 size-full" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/04/itopplus-0001-e1555578001111.jpg" alt="" width="800" height="533" /><figcaption> กัมพล ธนาปัญญาวรคุณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อตั้ง บริษัท ไอท้อปพลัส จำกัด</figcaption></figure>
ส่วนไอท้อปพลัสเองซุ่มพัฒนาออโต้ดิจิมา 1 ปีก่อนจะเปิดตัวให้ทดลองใช้ในวันนี้ ลักษณะแพลตฟอร์มจะสามารถแนะนำคีย์เวิร์ดที่ควรใช้ในการโฆษณาได้อัตโนมัติ พร้อมคำนวณราคา bid ที่คุ้มค่าในการทำแคมเปญ และสามารถติด tracking เมื่อต้องการตรวจสอบ conversion ที่เกิดขึ้นได้สะดวก ไม่จำเป็นต้องปรึกษาผู้ดูแลเว็บไซต์ให้จัดการโค้ดดิ้งหลังบ้านซึ่งอาจทำให้การทำงานช้าลง
กัมพลกล่าวว่า ลักษณะการทำงานส่วนใหญ่ของระบบนี้จะพัฒนาตามระบบของต่างประเทศ แต่มีการปรับแต่งให้เข้ากับพฤติกรรมลูกค้าชาวไทยและภาษาไทยมากขึ้น
“คนไทยไม่ชอบดูรีพอร์ตยาวๆ ไม่ต้องการอ่านรายละเอียด อีกอย่างคือภาษา ระบบเราแปลงเป็นภาษาไทย และศึกษาเรื่องคีย์เวิร์ดภาษาไทยซึ่งจะยากกว่าภาษาอังกฤษ” กัมพลกล่าวถึงการแก้ไขปัญหาของคนไทยในการทำแพลตฟอร์มนี้ซึ่งมีการสรุปผลแคมเปญให้อ่านและทำความเข้าใจได้รวดเร็ว
“ลูกค้าเป้าหมายเราจะเป็นบริษัทต่างๆ ที่มีแผนกการตลาดดิจิทัลของตัวเอง แพลตฟอร์มนี้จะทำให้เขาทำงานง่ายขึ้น”


<figure><img class="size-full wp-image-6800" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/04/ไอท้อปพลัส-ออโต้ดิจิ-interface.jpg" alt="" width="800" height="367" /><figcaption> ลักษณะอินเตอร์เฟซระบบออโต้ดิจิของบริษัทไอท้อปพลัส</figcaption></figure>
กัมพลกล่าวว่า คาดว่าจะใช้เวลาพัฒนาซอฟต์แวร์ต่อเนื่องอีก 2 ปีจึงจะทำงานได้สมบูรณ์ ในระหว่างนี้บริษัทจะรับสมัครผู้ประกอบการ 500 รายจาก 33 หมวดธุรกิจ เช่น เกษตรกรรม ที่พัก ยานยนต์ เบเกอรี่ ก่อสร้าง ฯลฯ ให้เข้ามาร่วมทดลองใช้ระบบ ออโต้ดิจิ ผ่านโครงการ Mission to Google Automation Platform 
คุณสมบัติของผู้เข้าร่วมจะต้องมีการทำแคมเปญโฆษณาบน Google AdWords อยู่แล้วและยินดีเชื่อมระบบเข้ากับออโต้ดิจิเพื่อให้บริษัทได้เก็บข้อมูลปัญหาการใช้งาน ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายในการทำแคมเปญโฆษณา ผู้ประกอบการจะต้องออกค่าใช้จ่ายเองตามปกติ แต่สามารถใช้ระบบออโต้ดิจิได้ฟรี นอกจากนี้ไอท้อปพลัสจะให้สิทธิในโปรแกรมสัมมนาเทรนนิ่งการใช้เครื่องมือของ Google และที่ปรึกษาแคมเปญระยะเวลา 1 ปีให้กับผู้ประกอบการที่ยินดีเข้าร่วม

<ul>
 	<li><a href="http://forbesthailand.com/news/it/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%82%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%B1.html">คว้าโอกาสการตลาดดิจิทัลบูม Ready Planet เปิดบริษัทลูกขยายเจาะกลุ่มคอร์ปอเรท-เอเจนซี่</a></li>
 	<li><a href="http://forbesthailand.com/news/marketing/%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B8%AA-%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A1-%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A5%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%A2.html">'ปับลิซีส กรุ๊ป' ควบรวม 'บริลเลียนแอนด์มิลเลียน' ติดสปริงบอร์ดรับเทรนด์ 'การตลาดดิจิทัล'</a></li>
</ul>
สำหรับไอท้อปพลัส ปี 2561 ที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้รวม 250 ล้านบาท และตั้งเป้าหมายเติบโตปีนี้ที่ 30% จากการขยายทีมขาย และออกผลิตภัณฑ์ใหม่รับสร้างแคมเปญโฆษณาบน Facebook และ Line จากเดิมที่มีผลิตภัณฑ์สองประเภท คือรับจ้างออกแบบพัฒนาเว็บไซต์ และรับสร้างแคมเปญโฆษณาบน Google รวมไปถึงได้รับอานิสงส์ปัจจัยบวกจากตลาดที่กำลังเติบโต
“ออโต้ดิจิยังไม่ทำเงินในปีนี้ แต่ถ้าพัฒนาสำเร็จก็จะเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ของเราในอนาคต” กัมพลกล่าว
&nbsp;
Forbes Facts

<ul class="ul1">
 	<li class="li3">ปัจจุบันรายได้ของไอท้อปพลัสมาจากรับทำเว็บไซต์กับรับสร้างแคมเปญโฆษณา Google อย่างละครึ่ง</li>
 	<li class="li3">มีบุคลากรทั้งหมด 30 คน ฐานลูกค้าราว 1 หมื่นราย โดยเน้นผู้ประกอบการ SMEs</li>
 	<li class="li3">กัมพลกล่าวว่า ราคาโฆษณากับ Google ยังคงเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากปี 2553 ราคา 1-3 บาทต่อคลิก ปีนี้ขึ้นมาที่เฉลี่ย 20 บาทต่อคลิก แต่ Google พยายามทำให้การใช้จ่ายเงินโฆษณามีประสิทธิภาพขึ้น จากการช่วยแนะนำคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมให้ลูกค้า</li>
</ul>
&nbsp;

ไอท้อปพลัส พัฒนาแพลตฟอร์มการตลาดออนไลน์อัตโนมัติ "ออโต้ดิจิ" ตัวช่วยลงโฆษณา Google

<h2>Cisco เลือกสิงคโปร์เป็นฮับในการเปิดศูนย์นวัตกรรมเป็นแห่งที่ 14 ของโลก และแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มุ่งเน้นการพัฒนาสมาร์ทซิตี้ IoT ความปลอดภัยทางไซเบอร์ และบล็อกเชน โดยทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ทั้งภาครัฐและเอกชนเพื่อใช้ระบบไอทีช่วยแก้โจทย์แห่งอนาคต</h2>
Cisco เปิดศูนย์นวัตกรรม Co-Innovation Center แห่งที่ 14 ของโลกและแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่โครงการ Mapletree Business City II ในสิงคโปร์ โดยจะเป็นฮับที่เชื่อมโยงไม่เฉพาะในสิงคโปร์แต่เปิดรับพาร์ทเนอร์ร่วมพัฒนานวัตกรรมจากทั่วภูมิภาค

Michael Maltese ผู้อำนวยการด้านนวัตกรรมของ Cisco ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก จีน และญี่ปุ่น ให้ข้อมูลเกี่ยวกับกลยุทธ์การพัฒนานวัตกรรมของ Cisco ว่า บริษัทมีการลงทุนวิจัยพัฒนาปีละ 6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยมีวิศวกรทำงาน 26,000 คนทั่วโลก และยังมีการทำงานร่วมกับบริษัทหรือพาร์ทเนอร์อื่นๆ ผ่านการควบรวมกิจการแล้ว 205 แห่ง พันธมิตรมากกว่า 3 แสนราย รวมถึงลงทุนในบริษัทกว่า 120 แห่ง คิดเป็นเม็ดเงินการลงทุนปีละ 250-300 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

สำหรับการเปิด ศูนย์นวัตกรรม Cisco แต่ละแห่ง รวมถึงที่สิงคโปร์ มีเป้าหมายเพื่อทำงานกับทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นลูกค้า พาร์ทเนอร์ สตาร์ทอัพ จนถึงสถาบันการศึกษา ไปสู่การทำโปรเจ็กต์วิจัยร่วมกันเพื่อให้เกิดนวัตกรรมโซลูชั่นใหม่ที่อาจสเกลไปใช้ในเชิงพาณิชย์ได้

<figure><img class="wp-image-5026 size-full" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/02/CISCO-Michael-Maltese.jpg" alt="" width="800" height="432" /><figcaption> Michael Maltese ผู้อำนวยการด้านนวัตกรรมของ Cisco ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก จีน และญี่ปุ่น</figcaption></figure>

Maltese อธิบายว่า ศูนย์นวัตกรรมแต่ละแห่งของ Cisco จะมีจุดมุ่งเน้นที่แตกต่างกันตามความต้องการของประเทศที่ตั้ง ยกตัวอย่างเช่น ในญี่ปุ่นจะมุ่งเน้นภาคการผลิต ผู้ให้บริการ และเทคโนโลยี 5G ขณะที่ในออสเตรเลียจะเป็นนวัตกรรมเกี่ยวกับเหมือง ทรัพยากร คมนาคมขนส่ง การศึกษา ฯลฯ ส่วนในสิงคโปร์นี้จะเน้นการร่วมพัฒนานวัตกรรมสมาร์ทซิตี้ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับการใช้อุปกรณ์ IoT (Internet of Things) ความปลอดภัยทางไซเบอร์ และบล็อกเชน
<ul>
 	<li><a href="http://forbesthailand.com/news/it/digital-transformation-%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%99-%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%8A.html">Digital Transformation ทั่วโลกเข้มข้น "เอเชีย" โชว์ความพร้อมพลิกโฉมธุรกิจ</a></li>
</ul>
Co-Innovation Center ในสิงคโปร์นั้นมีพาร์ทเนอร์ที่พร้อมร่วมงานกันแล้วอย่าง คณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจ (EDB) ซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐ ฮับผู้ประกอบการด้านนวัตกรรมความปลอดภัยทางไซเบอร์ ICE71 ที่ก่อตั้งโดย Singtel Innov8 และ Sembcorp บริษัทด้านสาธารณูปโภค วิศวกรรมชายฝั่ง และพัฒนาเมือง

&nbsp;
<h2>ศูนย์นวัตกรรม Cisco พัฒนาอะไร?</h2>
ระหว่างเดินเยี่ยมชม Co-Innovation Center ของ Cisco สิงคโปร์ ยังมีการนำโชว์เคสของศูนย์ฯ อื่นๆ จากรอบโลกมาแสดงให้ผู้เยี่ยมชมได้เห็นภาพโครงการการพัฒนาที่เกิดขึ้นร่วมกับพาร์ทเนอร์ด้วย

&nbsp;

โครงการท่าเรือ Rotterdam

โจทย์ของท่าเรือ Rotterdam ท่าเรือเก่าแก่อายุกว่า 400 ปีในเนเธอร์แลนด์คือต้องการจะ ยกระดับท่าเรือให้เป็นระบบออโตเมชันอย่างสมบูรณ์ภายในปี 2023 เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการคาดการณ์กระแสน้ำขึ้นน้ำลง วัดความเร็วลม และสภาพอากาศ รวมถึงบนท่าเรือเองจะใช้ระบบขนส่งคอนเทนเนอร์ทั้งพาหนะ เครน รางเป็นระบบอัตโนมัติทั้งหมด ทำให้ท่าเรือสามารถรองรับเรือคาร์โกไร้คนขับที่คาดกันว่าจะมีการนำมาใช้งานจริงในอนาคตได้

แต่เดิมท่าเรือ Rotterdam ใช้มนุษย์ในการจดข้อมูลการวัดสภาพอากาศและบังคับอุปกรณ์ขนส่งบนท่าเรือ เมื่อต้องการปรับเป็นอัตโนมัติจึงต้องอาศัยอุปกรณ์ IoT ซึ่งส่งข้อมูลผ่านระบบเครือข่ายมารวมศูนย์บังคับควบคุม โดยโครงการประเมินว่าอาจต้องใช้เซ็นเซอร์สูงถึง 1 แสนชิ้น

<figure><img class="size-full wp-image-5027" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/02/CISCO-Rotterdam-port-project.jpg" alt="" width="800" height="400" /><figcaption> โครงการท่าเรืออัตโนมัติ Rotterdam ที่ Cisco ร่วมงานกับ IBM</figcaption></figure>

สิ่งที่ Cisco และพาร์ทเนอร์กำลังแก้โจทย์คือการสร้างภาพจำลอง 3 มิติของท่าเรือนี้ขึ้นมา ตามด้วยการพัฒนาแอพพลิเคชั่นในการบริหาร และสิ่งที่สำคัญคือระบบเครือข่ายเชื่อมต่อเซ็นเซอร์ 1 แสนชิ้นจะต้องถูกต้อง แม่นยำ เชื่อถือได้ ตัวอุปกรณ์ IoT เองจะต้องได้รับการยืนยันว่าเป็นชิ้นที่ถูกต้องในการส่งข้อมูลเข้าระบบและออกแบบมาให้เหมาะกับสภาพแวดล้อม ณ จุดที่ถูกติดตั้ง ดังนั้น Cisco จึงต้องสั่งผลิตอุปกรณ์กับผู้ผลิตเป็นพิเศษสำหรับโครงการนี้

โปรโตไทป์ต้นแบบในท่าเรือ Rotterdam ถูกมองว่าอาจสเกลไปสู่การจำลองวิธีการไปยังท่าเรืออื่น หรือกระทั่งอุตสาหกรรมอื่น เช่น เหมือง แปลงเกษตร เป็นต้น

&nbsp;

อนาคตของขนส่งสาธารณะ

อีกห้องหนึ่งในศูนย์นวัตกรรม Cisco แสดงเคสวิจัยเรื่อง Mobility as a Service (MaaS) จากโจทย์การขนส่งสาธารณะที่หนาแน่นในปัจจุบัน ทำให้ต้องการโซลูชั่นมาทำให้การเดินทางสะดวก มีปริมาณขนส่งที่เหมาะสมในเส้นทางที่ผู้คนต้องการ

<img class="alignnone size-full wp-image-5029" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/02/CISCO-CCX-Co-Innovation-Center-Singapore.jpg" alt="" width="800" height="587" />

วิธีการของ Cisco คือใช้ข้อมูลจากการแตะบัตรเข้า-ออกของผู้โดยสาร ทั้งสถานีรถไฟฟ้า รถเมล์ และการเรียกบริการ Ride-Sharing ต่างๆ จากนั้นนำมาวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อให้เห็นภาพแบบเรียลไทม์ว่ามีผู้โดยสารหนาแน่นในบริเวณไหน และผู้โดยสารมักเดินทางไปที่ใด เพื่อส่งข้อมูลนี้ให้ผู้ให้บริการวางแผนการจัดการขนส่งสาธารณะได้
<ul>
 	<li><a href="http://forbesthailand.com/news/it/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%9D%E0%B8%B1%E0%B8%99-%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%97-%E0%B8%8B%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B5%E0%B9%89-%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2.html">ภาพฝัน "สมาร์ท ซิตี้" ของไทย ชีวิตในเมืองอัจฉริยะ</a></li>
</ul>
มองไปในอนาคตที่ไกลกว่านั้น Cisco หวังว่าโซลูชั่นนี้จะทำให้เกิดแพลตฟอร์มเดียวที่ผู้โดยสารเข้ามาเช็กการเดินทางได้ว่า ควรเลือกใช้เส้นทางไหนที่จะเร็วที่สุดหรือหนาแน่นน้อยที่สุดในแต่ละวัน ไปจนถึงซื้อตั๋วโดยสารได้เลยจากแอพฯ เดียวนี้

&nbsp;

ป้องกันความสูญเสีย (Downtime) ในโรงงาน

Downtime ในโรงงานอุตสาหกรรมที่ไม่ได้วางแผนไว้อาจเกิดขึ้นได้จากตัวเครื่องจักรหรือหุ่นยนต์ที่มีปัญหากะทันหัน โดย International Society of Automation (ISA) ประเมินว่า Downtime เช่นนี้สร้างความเสียหายให้โรงงานทั่วไปมูลค่า 5,000 เหรียญสหรัฐฯ ต่อนาที และยิ่งเสียหายมากขึ้นหากเป็นโรงงานอัตโนมัติ จะเสียหายได้ถึง 22,000 เหรียญสหรัฐฯ ต่อนาที

<figure><img class="wp-image-5028 size-full" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/02/fanuc-robot-1-e1550855770750.jpg" alt="" width="800" height="416" /><figcaption> แขนกลของบริษัท FANUC</figcaption></figure>

ดังนั้นศูนย์นวัตกรรม Cisco ในญี่ปุ่นจึงร่วมมือกับ FANUC บริษัทผู้ผลิตหุ่นยนต์แขนกลในโรงงานที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อติดตั้ง IoT เข้ากับแขนกลเหล่านี้ IoT จะคอยตรวจสอบการทำงานของหุ่นยนต์ตลอดเวลา โดยดูปัจจัยความเสี่ยงที่อาจทำให้การทำงานมีปัญหา เช่น อะไหล่ภายในแสดงอาการไม่ปกติ เพื่อแจ้งเตือนให้เตรียมอะไหล่ไว้สับเปลี่ยนล่วงหน้า ป้องกัน Downtime ที่จะเกิดขึ้น

Cisco เป็นผู้เชื่อมต่อ FANUC เข้ากับระบบคลาวด์ที่รวมข้อมูลจาก IoT เหล่านี้ เพื่อให้ FANUC ให้บริการมอนิเตอร์หุ่นยนต์ของบริษัทได้ตลอดเวลา ปัจจุบันมีการทำงานร่วมกันในโรงงาน 40 แห่งใน 10 ประเทศ โดยค่าใช้จ่ายเพื่อป้องกัน Downtime ระบบนี้จะเพิ่มต้นทุนโรงงานน้อยกว่า 5% เทียบกับความสูญเสียจาก Downtime จึงคุ้มค่ากว่า

&nbsp;
<h2>ยกระดับความปลอดภัยทางไซเบอร์</h2>
สำหรับโชว์เคสสุดท้ายคือศูนย์ความปลอดภัยทางไซเบอร์ หรือ Cisco Cybersecurity Center of Excellence (CCX) เป้าหมายสูงสุดคือการตรวจจับภัยคุกคาม (threat) ในระบบให้ได้เร็วที่สุด โดยค่าเฉลี่ยปัจจุบันของ Cisco สามารถตรวจจับได้ในเวลา 4.6 ชั่วโมง เทียบกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมในอาเซียนอยู่ที่ 184 วัน ถือว่าต่างกันมาก แต่หลักชั่วโมงก็ยังไม่รวดเร็วพอ Cisco จึงต้องการลดเวลาตรวจจับนี้ให้เหลือหลักนาทีหรือหลักวินาทีในอนาคต

CCX ในสิงคโปร์ จะเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างบริษัทกับพาร์ทเนอร์ เช่น รัฐบาล เอกชน สถาบันการศึกษา เพื่อร่วมกันพัฒนาระบบรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ระดับชาติ และสร้างทาเลนต์ในด้านนี้ของภูมิภาคให้มากขึ้น โดยศูนย์ฯ นี้เปิดรับทั้งมืออาชีพจากหน่วยงานเอกชนหรือรัฐให้เข้ามาร่วมงานฝึกทักษะขั้นสูงกับทีม CSIRT (Cisco Security Incident Response Team) รวมถึงเปิดโอกาสให้นักศึกษาระดับอุดมศึกษาเข้ามาฝึกงานได้ด้วย

ท้ายที่สุด การเรียนรู้การป้องกันภัยคุกคามใหม่ๆ ที่พัฒนากันใน CCX ก็จะถูกนำไปอัพเดทในระบบของลูกค้า Cisco ทั่วโลกนั่นเอง

&nbsp;

อ่านเพิ่มเติม
<ul>
 	<li><a href="http://forbesthailand.com/news/global/%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%B9%E0%B8%A5%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B9%84%E0%B8%AB%E0%B8%A5-marriott.html">การรั่วไหลของข้อมูลลูกค้ากว่า 500 ล้านรายของ Marriott ส่งผลกระทบลูกโซ่มากกว่าที่คุณคิด</a></li>
 	<li><a href="http://forbesthailand.com/news/hr/%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%A1-google-singapore-%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%9F%E0%B8%9F%E0%B8%B4%E0%B8%A8%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%9D%E0%B8%B1%E0%B8%99.html">พาชม Google Singapore ออฟฟิศในฝันของคนทำงานทั่วโลก</a></li>
</ul>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events