จุดนัดฝัน รวิวร-กิตติพงษ์ MEB เปิดโลกหนังสือออนไลน์ 

<h2>โซไซตี้ พาส บริษัทเทคโนโลยีสัญชาติสิงคโปร์ เตรียมงบกว่า 50 ล้านเหรียญสหรัฐ ไล่ซื้อกิจการในไทยและอาเซียน ประเดิมซื้อธอทฟูล มีเดีย ประเทศไทย รุกหนักธุรกิจอีคอมเมิร์ซ โซเชี่ยล คอมเมิร์ซ คาดปี 2025 มูลค่าตลาดพุ่ง 6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ</h2>
บริษัท โซไซตี้ พาส อินคอร์ปอเรท (“Society Pass” หรือ “SoPa”) บริษัทเทคโนโลยี สัญชาติสิงคโปร์ที่จดทะเบียนในตลาดแนสแดค ประเทศสหรัฐอเมริกา ประกาศรุกตลาดอีคอมเมิร์ซ โซเชี่ยลคอมเมิร์ซในไทยและอาเซียน ด้วยการเข้าซื้อกิจการ ซึ่งเป็นแนวทางหลักที่จะทำให้ขยายธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว

<img class="alignnone size-full wp-image-66415" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/07/โซไซตี้-พาส-ลุยซื้อกิจการในไทย-อาเซียน-04.jpg" alt="" width="476" height="520" />

เดนนิส เหวิน ผู้ก่อตั้ง ประธาน และซีอีโอ โซไซตี้ พาส (SoPa) กล่าวว่า โซไซตี้ พาส เป็นบริษัทเทคโนโลยี สัญชาติสิงคโปร์ เป็นหนึ่งใน 6 แพลตฟอร์มจากเอเชียที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แนสแดค ประเทศสหรัฐอเมริกา ปัจจุบัน โซไซตี้ พาส ขยายธุรกิจ 5 ประเทศในอาเซียน ได้แก่ สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และไทย

โดยวางกลยุทธ์หลักในการขยายธุรกิจด้วยการเข้าซื้อกิจการบริษัทเทคโนโลยีดาวรุ่งในประเทศต่าง ๆ โดยปีนี้คาดว่าจะใช้งบประมาณกว่า 50 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 1,800 ล้านบาท) ในการซื้อกิจการ

สำหรับการซื้อกิจการของโซไซตี้ พาสจะให้ความสำคัญในธุรกิจ 7 ด้านด้วยกัน ได้แก่ Loyalty Business ธุรกิจขายสินค้า ไลฟ์สไตล์ อาหารและเครื่องดื่ม โทรคมนาคม ดิจิทัล มีเดีย และ ท่องเที่ยว เพื่อสร้างระบบนิเวศให้กับธุรกิจหลักของโซไซตี้ พาส คือการให้บริการแพลตฟอร์มลอยัลตี้ พอยท์ ที่จะเชื่อมต่อระหว่างผู้บริโภคและผู้ขายสินค้าออนไลน์ ล่าสุดได้เข้าซื้อกิจการธอทฟูล มีเดีย กรุ๊ป ประเทศไทย แพลตฟอร์มที่ให้บริการวิดีโอที่เน้นตลาดโซเชี่ยลคอมเมิร์ซ ที่มีวิดีโออัพโหลดมากกว่า 675,000 วิดีโอ ยอดวิวมากกว่า 80,000 ล้านวิว มีช่องยูทูบ 263 ช่อง และมีผู้สมัครกว่า 85 ล้านคน

<img class="alignnone size-full wp-image-66417" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/07/โซไซตี้-พาส-01.jpg" alt="" width="720" height="480" />

“การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ ถือเป็นการรุกตลาดในไทยเป็นครั้งแรกของ SoPa เพื่อสร้างการเติบโตในระบบนิเวศของ SoPa ให้เพิ่มมากขึ้นภายใต้การผสานรวมกับบริษัทเทคโนโลยี หวังขยายตลาดสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งในเวียดนาม ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และไทย”

สำหรับธอทฟูล มีเดีย กรุ๊ป มีสำนักงานใหญ๋ในประเทศไทย และยังดำเนินการในสหรัฐอเมริกา เวียดนาม และฟิลิปปินส์ ในปี 2564 มีรายได้ถึง 5.8 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 208.8 ล้านบาท การเข้าซื้อกิจการธอทฟูล มีเดีย กรุ๊ปในครั้งนี้จะทำให้บริษัทมีรายได้และฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นทันที

&nbsp;
<h2>- ตั้งเป้าซื้อ 15 กิจการในปีนี้ -</h2>
เดนนิส กล่าวว่า ในวิกฤตเป็นโอกาส ในช่วงเศรษฐกิจไม่ดี ทำให้บริษัทมีโอกาสเข้าซื้อกิจการได้ในราคาที่เหมาะสม ขณะเดียวกันเป็นโอกาสในการขยายธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว เพื่อรองรับแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ โซเชี่ยลคอมเมิร์ซที่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในประเทศไทยปัจจุบันมูลค่าการขยายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์อยู่ที่ประมาณ 30,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และคาดว่าในปี 2025 จะมีมูลค่าสูงถึง 60,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

<img class="alignnone size-full wp-image-66418" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/07/โซไซตี้-พาส-02.jpg" alt="" width="720" height="480" />

ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา โซไซตี้ พาส ได้ซื้อกิจการไปแล้ว 7 บริษัท คาดว่าในสิ้นปีนี้จะซื้อกิจการรวม 12 - 15 บริษัท ภายใต้งบประมาณ 50 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยในประเทศไทยคาดว่าจะใช้งบประมาณราว 15 - 20 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยในปี 2023 - 2024 บริษัทได้ตั้งงบประมาณไว้มากกว่านี้เพื่อซื้อกิจการอีกหลายแห่ง ซึ่งเงินส่วนหนึ่งที่ใช้ในการซื้อกิจการมาจากการระดมทุนในตลาดแนสแดค หรือเป็นการแลกหุ้นระหว่างบริษัท ล่าสุดอยู่ระหว่างพูดคุยกับผู้ให้บริการอีวอลเล็ตรายใหญ่เพื่อขยายธุรกิจร่วมกันในอาเซียน

“ในทุกวิกฤตมีโอกาส ในช่วงที่คนอื่นไม่ลงทุน เรามองเป็นโอกาสที่จะขยายการลงทุน โดยเน้นลงทุนอย่างระมัดระวัง เน้นการคัดเลือกบริษัทอย่างรอบคอบที่สุด สภาพตลาดในภาวะปัจจุบัน แม้จะอยู่ในช่วงที่ต้องระมัดระวัง แต่ต่อให้มีวิกฤต คนยังซื้อของผ่านอินเทอร์เน็ต โซเชียลมีเดีย เมื่อเศรษฐกิจฟื้น เราจะได้รับผลประโยชน์จากการลงทุนครั้งนี้” เดนนิสกล่าว

<img class="alignnone size-full wp-image-66416" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/07/โซไซตี้-พาส-03.jpg" alt="" width="720" height="480" />

แนวทางในการทำธุรกิจของ โซไซตี้ พาส คือการมุ่งสร้างระบบนิเวศของลอยัลตี้ โปรแกรม ทำให้ผู้บริโภคและคู่ค้าของบริษัทได้ประโยชน์จากทุก ๆ บริษัทที่โซไซตี้ พาสเข้าซื้อกิจการ ดังนั้นการเติบโตจึงมาจากสองส่วน คือรายได้จากบริษัทที่เข้าซื้อกิจการ และรายได้จากค่าธรรมเนียมลอยัลตี้ พอยท์ ในอัตราร้อยละ 1.5 ที่ลูกค้าและคู่ค้าของเรานำไปใช้หรือให้บริการ และด้วยกลยุทธ์นี้จะทำให้ โซไซตี้ พาส มีกำไรที่สูงกว่า และมีอัตราการเติบโตอย่างยั่งยืน เมื่อเทียบกับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซรายใหญ่ ที่เน้นทุ่มงบลงทุนด้านการตลาดอย่างมหาศาล แต่ได้ผลกำไรน้อย

สำหรับผลการดำเนินงานของโซไซตี้ พาสในปีนี้ คาดว่าจะมีรายได้ 10 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยสัดส่วนร้อยละ 40 มาจากกิจการในประเทศไทย ขณะที่ปี 2023 คาดว่าจะมีรายได้ 25 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยสัดส่วนจากประเทศอยู่ที่ร้อยละ 33 เนื่องจากบริษัทจะขยายธุรกิจในอินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ซึ่งคาดว่าจะเติบโตสูงเช่นเดียวกัน

&nbsp;

อ่านเพิ่มเติม: 
<ul id="crumbs">
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/news/%e0%b8%a1%e0%b8%b4%e0%b8%aa%e0%b9%80%e0%b8%95%e0%b8%ad%e0%b8%a3%e0%b9%8c-%e0%b8%94%e0%b8%b5-%e0%b9%84%e0%b8%ad-%e0%b8%a7%e0%b8%b2%e0%b8%a2-%e0%b8%95%e0%b8%ad%e0%b8%9a%e0%b9%82%e0%b8%88%e0%b8%97.html">มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย.ตอบโจทย์กำลังซื้อคนไทย โตสวนกระแส เร่งผุด 1,000 สาขาปี 2569</a></li>
</ul>
<div class="single-content-writer-box">
<div>

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

</div>
</div>

โซไซตี้ พาส ลุยซื้อกิจการในไทย-อาเซียน

<h2>James Mulvany บุกเบิก Radio.co ด้วยความฝันที่อยากทำงานในวงการวิทยุมาตั้งแต่เด็ก ทว่ากระแสของโลกออนไลน์ได้กลายเป็นใบเบิกทางให้เขาหันเข้าหาประโยชน์จากพลังเสียงของพอดแคสต์อย่างเต็มรูปแบบ</h2>
<img class="alignnone wp-image-64769" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/06/homepage-video-placeholder-mobile-7202.jpg.jpg" alt="James Mulvany" width="720" height="405" />

ขณะที่กำลังศึกษาอยู่ในโรงเรียน James Mulvaney เริ่มเรียนรู้ที่จะใช้โปรแกรม Photoshop และสร้างรายได้จากการออกแบบเว็บไซต์ แม้ว่าความหลงใหลที่แท้จริงของเขาจะ อยู่ในวงการวิทยุ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่เสียงออนไลน์ที่กำลังเติบโต

“ผมอยากเป็นดีเจรายการวิทยุมาตลอด และเคยลองทำมาแล้วราว 2-3 ครั้ง” เขากล่าว “ในขณะเดียวกัน ผมก็ให้ความสนใจในด้านเทคโนโลยีและได้เรียนรู้เกี่ยวกับการจัดรายการออนไลน์ กระทั่งในปี 2004 ผมได้เปิดตัวธุรกิจแห่งแรกในชื่อ Wavestreaming เพื่อขายบริการสตรีมมิ่งให้กับอุตสาหกรรมวิทยุ”

ครั้นอายุ 18 ปี Mulvaney ตัดสินใจที่จะเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัย ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วเขาสามารถหาเลี้ยงชีพด้วยตัวของตัวเองได้ “ผมไม่ต้องการใบปริญญา” เขากล่าว “แต่ผมเป็นเด็กเงียบๆ ที่ใช้เวลาอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ตลอด ฉะนั้นผมจึงต้องเข้าสังคมให้มากขึ้น”

การตัดสินใจดังกล่าวยังช่วยให้ Mulvany สามารถสร้างการเติบโตให้กับ Wavestreaming ไปอีกระดับผ่าน “โครงการบ่มเพาะ” ธุรกิจของมหาวิทยาลัย ซึ่งเขาได้อยู่ท่ามกลางผู้ก่อตั้งและที่ปรึกษาสตาร์ทอัพจำนวนมาก และ 1 ปีต่อมา เขาก็ได้ว่าจ้างพนักงาน 3 คนแรกของบริษัท

ยุครุ่งเรืองของ Radio.co

จากนั้นทาง AOL ก็ได้ติดต่อมา “พวกเขากำลังมองหาพันธมิตรเพื่อให้บริการสตรีมมิ่งแก่ลูกค้า” Mulvany กล่าว “เราตกลงกันได้แล้วและสิ่งต่างๆ ก็เริ่มต้นขึ้นจริงๆ จากที่เคยมีลูกค้าใหม่ 10 รายต่อสัปดาห์ ตอนนี้เราขยายฐานได้มากกว่า 30 รายต่อวัน”

ขณะที่เม็ดเงินของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 100,000 ปอนด์ต่อปีเป็น 700,000 ปอนด์ ทว่า Mulvany รู้ดีว่ามันจะไม่สามารถคงอยู่ตลอดไปได้ “ในที่สุด AOL ตัดสินใจขายธุรกิจส่วนนั้นให้กับอีกบริษัทหนึ่ง ซึ่งไม่สนใจที่จะร่วมงานกับเรา” เขากล่าว “มันเป็นการปลุกให้ตื่นครั้งใหญ่ เราพึ่งพาข้อตกลงนี้มากเกินไป”

เขาใช้เวลา 6 เดือนนับจากนั้นเพื่อมองหาศักยภาพในการเติบโต ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่ Wavestreaming เริ่มดำเนินธุรกิจแบบ B2B ให้กับอุตสาหกรรมวิทยุเป็นการเฉพาะ ขณะที่การทำงานร่วมกับ AOL มักจะเกี่ยวข้องกับลูกค้า ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ องค์กรประเภทต่างๆ 

<figure><img class="wp-image-64771" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/06/unnamed.jpg" alt="James Mulvany" width="543" height="543" /><figcaption> James Mulvany ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ Radio.co</figcaption></figure>

“ผมเห็นโอกาสในการสร้างแพลตฟอร์มที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้” เขากล่าว “โรงแรม บาร์ ร้านค้าปลีก ธุรกิจเพื่อการพักผ่อน ฯลฯ สามารถมีสถานีวิทยุของตัวเองและสร้างประสบการณ์ด้านเสียงที่ไม่เหมือนใครให้กับลูกค้าของพวกเขา นั่นคือจุดเริ่มต้นของ Radio.co แพ็คเกจที่จะจัดการทุกอย่างตั้งแต่เล่นเพลง สตรีมมิ่ง ไปจนถึงการดูว่าใครกำลังฟังอยู่และพวกเขาคอยติดตามมานานแค่ไหนแล้ว”

หลังจากเปิดตัวในปี 2015 ฐานลูกค้าของ Radio.co เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมีลูกค้าตั้งแต่ค่ายเพลง หนังสือพิมพ์ สปอร์ตคลับ ไปจนถึงมหาวิทยาลัย องค์กรการกุศล และแบรนด์ทางการค้ามากมาย 

ธุรกิจนี้ยังได้รับแรงผลักดันอย่างมากจากความนิยมที่เพิ่มขึ้นของลำโพงอัจฉริยะ ผู้คนกำลังฟังวิทยุ ไม่ใช่ผ่านเครื่องรับวิทยุแบบเดิม แต่ผ่าน Google หรือ Alexa หรือในรถยนต์ผ่านไอโฟน

“คุณสามารถฟังในขณะที่คุณกำลังทำอาหาร เดินไปทำงาน หรือในโรงยิม” Mulvany กล่าว “การให้ทางเลือกแก่ผู้คนเป็นสิ่งสำคัญ และสำหรับแบรนด์ นั่นคือที่ที่โอกาสที่แท้จริงอยู่”

พอดแคสต์สำหรับทุกคน

ในปี 2019 Mulvany ได้เปิดตัว Podcast.co ซึ่งเป็นการต่อยอด Radio.co ขึ้นมาอีกระดับ “ลูกค้าของเรามีความสนใจที่จะเริ่มพอดแคสต์ของตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ” เขาอธิบาย “มันไม่ใช่สื่อใหม่ แต่ประมาณปี 2017 มันฟื้นคืนชีพและกลายเป็นกระแสหลักมากขึ้น”

ไม่ว่าจะผ่านทางวิทยุหรือพอดแคสต์ เสียงได้กลายเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสำหรับแบรนด์ในการสื่อสารและส่งเสริมการสนทนากับลูกค้า  โดยในเดือนมกราคม 2022 การวิจัยพบว่าร้อยละ 73 ของชาวอเมริกันฟังวิทยุออนไลน์ในเดือนก่อนหน้า เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 39 เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ในขณะเดียวกัน ค่าโฆษณาบนพอดแคสต์มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นเป็น 2 เท่าจาก 1.33 พันล้านเหรียญในปี 2021 เป็น 2.74 พันล้านเหรียญในปี 2025

<img class="alignnone wp-image-64770" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/06/5f86b7103541375c1fd7f668_MM-OpenGraph-1024x538.jpg" alt="" width="720" height="378" />

ไม่เพียงเท่านี้ ในขณะที่สำรวจวิธีการทำตลาด Podcast.co Mulvany ได้ค้นพบธุรกิจที่ 3 โดยบังเอิญ ซึ่งก็คือ Matchmaker.fm “การจัดรายการพอดแคสต์จำนวนมากอาศัยการสัมภาษณ์เป็นการดำเนินเรื่อง ฉะนั้นเราจึงมุ่งเป้าไปที่การเฟ้นหาแขกรับเชิญที่จะมาร่วมแบ่งปันในรายการ ไม่ว่าจะเป็นซีอีโอ นักเขียน นักกีฬา หรือผู้ที่มีประสบการณ์ชีวิตที่น่าสนใจ”

“ทั้งหมดที่เราต้องทำก็คือ เชื่อมต่อทั้ง 2 กลุ่มเข้าด้วยกัน ผลที่ได้คือระบบจับคู่ ซึ่งหลังจากที่เราเปิดตัวในเดือนกุมภาพันธ์ 2020 ในช่วงก่อนล็อกดาวน์ ผมกำหนดไว้ว่าต้องมีลูกค้า 30 รายภายใน 30 วัน ซึ่งในที่สุดผมก็ได้มา 48 รายด้วยกัน"

พลังแห่งเสียง

ความลับของการบริหารหลายบริษัทให้ประสบความสำเร็จนั้น Mulvany กล่าว อยู่ที่ทักษะและความแข็งแกร่งของทีม ซึ่งตอนนี้มีสมาชิกทั้งหมด 40 คน ซึ่งส่วนใหญ่ทำงานจากที่บ้านเป็นหลัก 

“ผมให้ความสำคัญกับการลงทุนในผู้คนและสร้างทีมที่ยอดเยี่ยม และผมคงทำไม่ได้หากไม่มีพวกเขา” เขากล่าว

อย่างไรก็ดี Mulvany ไม่ได้ปฏิเสธการแสวงหาเงินลงทุนจากภายนอกสำหรับการเติบโตในอนาคต “เรามีแผนสำหรับการเติบโตในสหรัฐอเมริกา เพื่อรองรับลูกค้าองค์กรมากขึ้น เป้าหมายของเราคือการเป็นบริษัทสำหรับการตลาดด้านเสียงและเพื่อการมีส่วนร่วมกับผู้คนผ่านสื่อเสียง”

แปลและเรียบเรียงโดย ชญาน์นัทช์ ธนินท์พงศ์ภัค จากบทความ The Online Audio Entrepreneur Helping Brands To Leverage Their Broadcasting Power เผยแพร่บน Forbes.com

อ่านเพิ่มเติม: <a style="color: #003300;" href="https://forbesthailand.com/world/america/rachel-drori-ผู้ก่อตั้ง-daily-harvest.html">Rachel Drori จากอดีตผู้บริหารการตลาดหญิงแกร่งสู่ผู้ก่อตั้ง Daily Harvest มูลค่า 1.1 พันล้านเหรียญฯ</a>
<div class="single-content-writer-box">
<div>

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a style="color: #003300;" href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

</div>
</div>

James Mulvany ปลุกปั้น Radio.co ด้วยพลังเสียงของพอดแคสต์

"อาร์เอส กรุ๊ป" วางเป้าปี 64 ทะลุ 5,700 ล้านบาท สวนกระแสโควิด

10 อันดับ “ยูทูปเบอร์” รายได้สูงสุดในโลก ปี 2018

เปิดทิศทางปี 2562 จาก "6 แพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง" ดนตรี-วิดีโอ

<h2>Johnson &amp; Johnson Vision จับมือ Shopee เปิดตัว ACUVUE Online Store ครั้งแรกบนอีคอมเมิร์ซ สร้างประสบการณ์ใหม่ให้ผู้ใช้คอนแทคเลนส์ด้วย Connected Commerce ผ่านแพคเกจ ACUVUE eCash</h2>
บริษัท จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน แผนกวิชั่น ผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์คอนแทคเลนส์ ACUVUE รุกฐานลูกค้าบนโลกออนไลน์ ตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค จับมือกับ Shopee ประเทศไทย เปิดตัว ACUVUE Official Store บน Shopee Mall ครั้งแรกของแบรนด์คอนแทคเลนส์ในประเทศไทย ที่ใช้รูปแบบของ Connected Commerce เชื่อมผู้บริโภคจากโลกออนไลน์สู่ประสบการณ์ที่ดีกว่าผ่านหน้าร้านแว่นตา

เสาวณีย์  พันธ์ขจรเวช ผู้อำนวยการกลุ่มธุรกิจวิชั่นแคร์ บริษัท จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน กล่าวว่า “ปัจจุบัน พฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภคชาวไทยเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ด้วยการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตที่มากขึ้น ขณะที่ทุกวันนี้มีการวางขายคอนแทคเลนส์ในเกรย์ มาร์เก็ต ค่อนข้างมาก ซึ่งทำให้เกิดปัญหาจากการใส่คอนแทคเลนส์ตามมา ซึ่งจริงๆ แล้ว คอนแทคเลนส์นับว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในกลุ่มเครื่องมือแพทย์ซึ่งควรจะใช้ภายใต้การดูแลและแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านสายตา เพื่อให้เกิดการใช้ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องและปลอดภัย”

จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน วิชั่น จึงนำเสนอการขายในรูปแบบใหม่สำหรับอนาคต พร้อมๆ กับการเข้าถึงพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภคในยุค 4.0 ด้วยกลยุทธ์ Connected Commerce ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงผู้บริโภคที่ชื่นชอบการซื้อผลิตภัณฑ์คอนแทคเลนส์บนออนไลน์มาร์เก็ตเพลส Shopee Mall

"เราถือเป็นเจ้าแรกของแบรนด์คอนแทคเลนส์ในประเทศไทย ที่มีการปรับตัวให้เข้ากับยุคดิจิตอล รองรับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป และการขยายตัวของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ด้วยการเปิด ACUVUE Official Store แบรนด์คอนแทคเลนส์เป็นครั้งแรกโดยร่วมมือกับ Shopee ผู้นำตลาดอีคอมเมิร์ซในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และไต้หวัน รวมถึงการสร้าง Partnership กับร้านแว่นตาชั้นนำในประเทศไทย"

<figure><img class="wp-image-1759 size-full" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/เสาวณีย์-พันธ์ขจรเวช.jpg" alt="" width="638" height="425" /><figcaption> เสาวณีย์ พันธ์ขจรเวช ผู้อำนวยการกลุ่มธุรกิจวิชั่นแคร์ บริษัทจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน</figcaption></figure>

“ACUVUE eCash เป็นคูปองเงินสด ที่สามารถใช้แทนเงินหลังการซื้อผ่าน ACUVUE Official Store ผ่าน eCash ในราคา 500, 1,000 และ 2,000 บาท ซึ่งหลังจากซื้อคูปองเงินสดแล้วสามารถนำลิงก์ที่ได้ไปรับสินค้า ณ ร้านแว่นตาที่ได้รับการรับรองในฐานะ ACUVUE Experience Center ทั้งหมดกว่า 120 แห่งทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมทั้งที่จังหวัดชลบุรี เชียงใหม่ และภูเก็ต” เสาวณีย์ กล่าวและเสริมว่า

“ปัจจุบันหลังการเปิดตัวราว 2 เดือน eCash ที่เราจำหน่ายมากที่สุดคือราคา 2,000 บาท ซึ่งส่วนใหญ่พฤติกรรมของลูกค้าที่เกิดขึ้นคือการซื้อ eCash ในราคาต่างๆ มาจ่ายรวมกันตามราคาที่ต้องการซื้อ เนื่องจาก eCash ดังกล่าวไม่สามารถแปลงเป็นเงินสด แต่สิ่งที่ผู้บริโภคจะได้รับคือส่วนลดราว 20 เปอร์เซ็นต์และรวมไปถึงประสบการณ์ด้านการตรวจสายตาจากพนักงานของร้านแว่นตานั้นๆ ที่ผ่านการรับรองจากเรา”

ปัจจุบัน ร้านแว่นตาที่ได้รับการเป็น ACUVUE Experience Center อยู่ที่ราว 20 ร้าน ซึ่งเราเตรียมขยายเป็น 120 แห่ง ผ่าน พันธมิตรร้านแว่น 7 แบรนด์ อาทิ KT Optic, หอแว่น เป็นต้น

ทั้งนี้ เสาวณีย์ เผยภาพรวมปัจจุบันของตลาด คอนแทคเลนส์ที่มีมูลค่าตลาดราว 2.4 พันล้านบาท โดยมีการซื้อขายผ่านออนไลน์ที่ราว 10-20 เปอร์เซ็นต์ และมีกลุ่มร้านค้าออนไลน์ที่เป็นเกรย์ มาร์เก็ต จำหน่ายสินค้า คอนแทคเลนส์ โดยเฉพาะปีนี้ที่ร้านค้าเหล่านี้เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก ซึ่งจริงๆ แล้วคอนแทคเลนส์เป็นผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในกลุ่มเครื่องมือแพทย์ซึ่งควรจะใช้ภายใต้การดูแลและแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านสายตา สำหรับสัดส่วนคอนแทคเลนส์ของ ACUVUE ที่ขายดีของเราคือกลุ่มคอนแทคเลนส์รายวันที่มีสัดส่วนอยู่ที่ 60 เปอร์เซ็นต์

ด้าน ศิวกร สิริวงศ์ภาณุพงศ์ หัวหน้าฝ่ายพัฒนาธุรกิจ ช้อปปี้ (ประเทศไทย) กล่าวถึงการจับมือกับ จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน วิชั่น ในครั้งนี้ว่า “การเปิดตัว ACUVUE Official Store บนแพลตฟอร์ม Shopee เป็นการสะท้อนความมุ่งมั่นของเราในการคัดสรรและนำเสนอสินค้าที่ตรงใจผู้บริโภค อีกทั้งยังเพิ่มประเภทสินค้าให้หลากหลาย ผ่านการร่วมมือกับแบรนด์สินค้าชั้นนำในประเทศไทย สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้

เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับแบรนด์คอนแทคเลนส์ชั้นนำระดับโลกอย่าง จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน วิชั่น ในฐานะพันธมิตรอย่างเป็นทางการของ Shopee ต่อจากนี้ไป เราจะยังคงทำงานอย่างใกล้ชิดกับจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน วิชั่น เพื่อส่งมอบประสบการณ์ช้อปปิ้งออนไลน์ที่เหนือระดับ อีกทั้งยังนำเสนอสิทธิพิเศษสูงสุดให้แก่ผู้บริโภคอีกด้วย”

จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน วิชั่น คาดว่า ภายใต้กลยุทธ์ Connected Commerce ผ่านการเปิด ACUVUE Official Store บน Shopee Mall จะสามารถมอบบริการและประสบการณ์แก่ผู้บริโภคในการเลือกใส่คอนแทคเลนส์ที่เหมาะสมกับดวงตาของตนเอง พร้อมๆ กับการได้รับการดูแลสุขภาพตา ซึ่งในส่วนของร้านแว่นตาเอง ก็เป็นจุดที่สามารถสร้างความแตกต่างของงานบริการที่ทางร้านสามารถดูแลลูกค้าได้ในแบบที่โลกออนไลน์ยังเข้าไม่ถึง

Johnson & Johnson Vision จับมือ Shopee เปิดตัว ACUVUE Online Store ซื้อ คอนแทคเลนส์ด้วย eCash

<h2>ความสำเร็จของ Domino’s, Papa John’s และธุรกิจพิซซ่ารายใหญ่ทั้งหลาย ก่อความเสียหายให้เหล่าร้านพิซซ่ารายย่อยมากมายตอนนี้ Slice กำลังลงมือช่วยรวมพลคนตัวเล็กๆ เหล่านี้ พาเข้าสู่โลกออนไลน์ และปล่อยหมัดสวนกลับบ้าง</h2>
Ilir Sela ชอบเรียกตัวเองว่า “พิซซ่ารุ่นที่ 3” ผู้อพยพชาวแอลเบเนียวัย 38 ปี ซึ่งครอบครัวขยายของเขาเป็นเจ้าของร้านขายพิซซ่าจำนวนมากกระทั่งเขาเองก็จนปัญญาจะนับ ดังนั้นเมื่อเขาเปิดตัวธุรกิจในปี 2010 เพื่อนำเสนอเทคโนโลยีช่วยร้านพิซซ่าอิสระให้สามารถแข่งขันกับร้านแบบ Domino’s, Little Caesars, Papa John’s และ Pizza Hut ได้ สิ่งแรกที่เขาทำคือให้พี่เขย ลูกพี่ลูกน้องและเพื่อนๆ เขา เข้ามาสมัครใช้บริการในบรรดาคนจำนวนนั้นคือ Blerim Marku ผู้จัดการร้าน Pizza Club ในเมือง Edgewater รัฐ New Jersey และเป็นลูกพี่ลูกน้องญาติห่างๆ ของ Sela ที่เติบโตขึ้นมาพร้อมกับเขาใน New York ช่วงนั้น

Pizza Club ทำธุรกิจขายพิซซ่าผ่านหน้าร้านและส่งอาหารผ่านทางโทรศัพท์ ซึ่งเป็นวิธีล้าสมัย แม้จะรู้ว่า “Papa John’s และ Domino’s นั้นขายดิบขายดีจากยอดสั่งซื้อทางออนไลน์” Marku กล่าว ปัญหาคือร้านขายพิซซ่าขนาดเล็กยังไม่เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีมากพอในการสร้างระบบสั่งซื้อออนไลน์ที่เป็นรูปแบบเฉพาะตัว ในขณะที่ตัวกลางเชื่อมระบบดิจิทัลอย่าง Grubhub และ Seamless ก็แพงเกินไปเมื่อ Sela นำเสนอหนทางราคาไม่แพงให้ลูกพี่ลูกน้องของเขาในการรับคำสั่งซื้อรูปแบบดิจิทัล ซึ่งเป็นบริการที่เขาเรียกว่า “MyPizza” Marku ก็เข้าร่วม ผลปรากฏว่ายอดขายของ Pizza Club ที่เคยชืดชากลับร้อนแรงขึ้นมาและตอนนี้ Slice กำลังช่วยให้ร้านทำเงินได้ราว 1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปี ใกล้เคียงกับสาขาทั่วไปของ Domino’s “นี่แหละที่เราต้องการ” Marku กล่าว

วันนี้ Pizza Club คือหนึ่งในร้านขายพิซซ่ากว่า 8,200 แห่ง ทั้งในเมืองใหญ่และเมืองเล็กรวม 2,200 เมืองตลอดทั่วทุกรัฐในประเทศ ที่ใช้แพลตฟอร์มสั่งพิซซ่าของ Sela ซึ่งตอนนี้รีแบรนด์เป็น Slice จากการได้รับเงินสนับสนุน 20 ล้านเหรียญ Slice ตั้งอยู่ในมหานคร New York เติบโตอย่างรวดเร็ว บริษัทดำเนินการจัดส่งคิดเป็นมูลค่าประมาณ 100 ล้านเหรียญเมื่อปีที่แล้ว FORBES คาดการณ์ว่าคำสั่งซื้อในปีนี้น่าจะอยู่ที่ 250 ล้านเหรียญซึ่งจะทำให้ Slice มีรายได้อยู่ที่ประมาณ 25 ล้านเหรียญบริษัทมีศักยภาพที่จะโตยิ่งขึ้นไปกว่านี้เพราะถึงที่สุดแล้ว ตลาดพิซซ่าในสหรัฐอเมริกานั้นมีมูลค่าถึง 4.5 หมื่นล้านเหรียญ

แต่เนื่องจากเครือข่ายธุรกิจนี้ขยายตัวผ่านระบบดิจิทัล ร้านขายพิซซ่าท้องถิ่นจึงอยู่ในสภาวะล้าหลัง โดยเฉพาะ Domino’s นั้น ได้รับความเชื่อถือจากการพลิกธุรกิจมาเป็นบริษัทเทคโนโลยีซึ่งสามารถผลักดันยอดขายออนไลน์ไปอยู่ที่กว่าครึ่งหนึ่งของอดขายทั้งหมดในสหรัฐฯ

Sela ใช้เงินนั้นเริ่มธุรกิจ MyPizza ที่นำเสนอสิทธิประโยชน์ 2 อย่างให้ร้านค้าท้องถิ่น อย่างแรกคือการขายแบบดิจิทัลที่ทำให้ปริมาณการสั่งซื้อเพิ่มขึ้น เพราะลูกค้ามีแนวโน้มสั่งเพิ่มสินค้าที่ให้กำไรงามเช่น มอสซาเรลลาสติ๊ก หรือน้ำอัดลมขนาด 2 ลิตร Sela บอกว่าปริมาณการสั่งซื้อเฉลี่ยต่อออร์เดอร์ของลูกค้าเพิ่มขึ้นจาก 18 เหรียญผ่านทางโทรศัพท์ มาอยู่ที่ 30 เหรียญผ่านแพลตฟอร์ม อย่างที่สองคือยอดขายออนไลน์มาพร้อมข้อมูล ซึ่งช่วยให้ร้านท้องถิ่นส่งมอบบริการและจับกลุ่มลูกค้าได้อยู่หมัดขึ้นผ่านโปรแกรมส่วนลดต่างๆ และสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าขาประจำในช่วงแรกนั้น

บริษัทมีแค่ Sela และวิศวกรประจำเว็บไซต์ เขาไม่ได้มีงบทำการตลาดมากนัก เลยใช้วิธีติดแผ่นป้ายรอบรถ แล้วขับไปจอดหน้าร้านที่เขาหวังว่าจะสมัครใช้บริการ “ผมจะทำให้แน่ใจว่าเจ้าของร้านเห็นรถ” เขากล่าว “นั่นช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้เรา และทำให้พวกเขาคิดว่าธุรกิจเราใหญ่กว่าที่เราเป็น”

เขาคงต้นทุนไว้ที่ระดับต่ำด้วยการตั้งระบบหลังบ้านไว้ที่บ้านเกิดในมาซิโดเนียซึ่งตอนนี้เขามีพนักงาน 300 คน โดยส่วนใหญ่ทำหน้าที่คีย์ข้อมูลเข้าระบบและบริหารจัดการฐานข้อมูลบัญชีผู้ใช้งานจุดขายของ Slice เมื่อเทียบกับผู้ให้บริการเจ้าใหญ่กว่าที่ไม่ใช่แพลตฟอร์มเฉพาะสำหรับการสั่งซื้อพิซซ่า

Sela ทำเงินได้แล้ว 40 ล้านเหรียญจากคำสั่งซื้อพิซซ่าในปี 2015 ซึ่งในช่วงเวลาเดียวกันนั้นขณะที่กำลังมองหาเงินทุนและความชำนาญเฉพาะทางมาช่วยในการขยายธุรกิจ เขาก็เริ่มระดมทุนก้อนแรก จากนั้นเมื่อฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมา Sela และ Ryan Scott ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดของ Slice และอดีตผู้บริหารของ Grubhub และ Seamless ก็ช่วยกันหว่านล้อมให้ Jeff Richards หุ้นส่วนผู้จัดการที่ GGV Capital บินมาจาก Silicon Valley เพื่อมาเจอพวกเขาที่งาน International Pizza Expo ใน Las Vegas Sela นักขายที่เต็มไปด้วยพลังและชอบเข้าสังคมพยายามเสนอขายโอกาสในการสร้างธุรกิจที่อาจแข่งขันกับยักษ์ใหญ่วงการพิซซ่า ด้วยการรวมร้านพิซซ่าขนาดเล็กนับหมื่นแห่งเข้าด้วยกัน เขายังมองเห็นโอกาสสำหรับ Slice ที่จะช่วยลูกค้าในการทำราคาขายต่อกล่องและต่อเมนูได้ดีกว่า และโอกาสในการขยายธุรกิจไปนอกสหรัฐฯ

“ในฐานะนักลงทุนในบริษัทร่วมลงทุน” Richards กล่าว “หลายครั้งที่เราได้ยินว่ามีผู้คนแวดวงเทคโนโลยีหาทางเข้ามาทำงานในธุรกิจที่พวกเขาพยายามเรียนรู้ นี่คือชายหนุ่มจากธุรกิจนั้น ที่เติบโตมากับซอสพิซซ่าในเส้นเลือด และรู้ดีว่ามีปัญหาใหญ่อยู่ในธุรกิจของตน” และทั้ง Richards กับ Sela ต่างก็รู้ว่าปัญหาขนาดใหญ่ย่อมนำมาซึ่งโอกาสอันยิ่งใหญ่ด้วยเช่นกัน

เรื่อง: Amy Feldman เรียบเรียง: ชูแอตต์

<hr />

<a href="http://bit.ly/2sscxRI">คลิกอ่านฉบับเต็มของ "ปลดตรวนพิซซ่า" ได้ที่ Forbes Thailand Magazine ฉบับ มิถุนายน 2561 ในรูปแบบ e-Magazine</a>
<a href="http://bit.ly/2sscxRI"><img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/f88efffd328103b25d80f6c20d7f1bea.jpg" alt="" /></a>

ปลดตรวนพิซซ่า

<h2>10 อันดับแรกของ YouTuber ที่ทำรายได้สูงสุดในโลกปี 2017 สร้างเม็ดเงินรวมกัน 127 ล้านเหรียญในรอบ 1 ปี ทะยานขึ้นถึง 80% จากปีก่อนหน้า พวกเขาอาจไม่ได้โด่งดังเท่ากับดารา Hollywood แต่ก็มีฐานแฟนคลับขนาดใหญ่เพียงพอจนสามารถจัดกิจกรรมพบปะแฟนๆ ระดับโลกได้</h2>
ดาราร้อนแรงที่สุดของ Youtube อาจใช้เวลาส่วนใหญ่ในโลกพิกเซล แต่อย่าได้เข้าใจผิดไป พวกเขาเก็บเงินหลายล้านเหรียญไว้เป็นเงินสดจริงๆ รายชื่อเซเลบริตี้ Youtube ที่ทำเงินได้มากที่สุดของเราเป็นเหล่าเกมเมอร์ ถึง 6 ใน 10 คน บรรดาผู้ชมหลั่งไหลเข้าไปในช่องของพวกเขา เพื่อดูคนเหล่านั้นเล่นเกมล่าสุด ขณะแสดงความเห็นตลกขบขันไปพร้อมกัน ในการจัดอันดับนี้เป็นเซเลปหน้าใหม่ ซึ่งสร้างความปลาบปลื้มให้แฟนๆ ด้วยวิดีโอหวาดเสียว เด็กๆ ร่าเริงแจ่มใส และการต่อสู้ใน Call of Duty

ทั้งนี้ FORBES จัดอันดับเซเลบริตี้ YouTube จากรายได้ระหว่างวันที่ 1 มิถุนายน 2016 จนถึง 1 มิถุนายน 2017 โดยเป็นรายได้ก่อนหักค่าธรรมเนียมบริหารจัดการและภาษี

&nbsp;

อันดับ 1 DANIEL MIDDLETON / DanTDM

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/a07f8c2ff52b7644599af1f57785be93.png" alt="" />

รายได้: 16.5 ล้านเหรียญ
หมวด: เกม

นับตั้งแต่เปิดช่องในปี 2012 ผู้เล่นเกม Minecraft ชาวอังกฤษผู้นี้เก็บยอดวิวไปแล้วกว่า 1.1 หมื่นล้านวิว มีผู้ติดตาม 17 ล้านคน ออกกราฟิกโนเวล และเดินสายทัวร์กว่า 50 รายการ รวมถึงโชว์ 4 ครั้งที่ขายบัตรหมดเกลี้ยงที่ Sydney Opera House รายได้ 16.5 ล้านเหรียญที่เขาทำได้ในปี 2017 นับเป็นสถิติสูงสุดตั้งแต่ที่ FORBES เคยเก็บสถิติรายได้ YouTuber มาตั้งแต่ปี 2015

&nbsp;

อันดับ 2 EVAN FONG / VanossGaming

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/09d6fbf342773259149694e1c4e8902e.png" alt="" />

รายได้: 15.5 ล้านเหรียญ
หมวด: เกม

Fong นักเล่นเกมชาวแคนาดา โด่งดังสุดๆ จากเกมอย่าง Grand Theft Auto และ Call of Duty และสปอนเซอร์ต้องจ่ายเงิน 450,000 เหรียญในการปรากฏตัวบนวิดีโอของเขา ในรอบ 1 ปีที่เราเก็บสถิติ VanossGaming มียอดเข้าชมรวมทุกคลิป 2 พันล้านครั้ง

&nbsp;

อันดับ 4 (ร่วม) MARK FISCHBACH / Markiplier

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/b83b9961146e5ba8066fbc0f3ecf0611.png" alt="" />

รายได้: 12.5 ล้านเหรียญ
หมวด: เกม

ผู้ติดตามช่อง 19 ล้านคนของเกมเมอร์ผู้นี้รู้จักเขาในชื่อ Markiplier และจากกิตติศัพท์การออกความเห็นสดระหว่างเล่นแบบโอเวอร์เกินจริง จึงไม่น่าแปลกใจว่าเมื่อไม่นานนี้เขาเดินสายแสดงตลกไปทั่วสหรัฐฯ และยุโรป

&nbsp;

อันดับ 4 (ร่วม) LOGAN PAUL

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/ae2eb5b86222d27703da425e04af62ac.png" alt="" />

รายได้: 12.5 ล้านเหรียญ
หมวด: วิดีโอบล็อก

วิดีโอบล็อกเกอร์ ซึ่งเน้นทำประเด็นต่างๆ เช่น สุนัขของเขา เบนเข็มสู่การออกแบบเสื้อผ้าร่วมกับแบรนด์ดังอย่าง Maverick

&nbsp;

อันดับ 6 FELIX KJELLBERG / PewDiePie

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/e2df85507305a16811855780a83e7a99.png" alt="" />

รายได้: 12 ล้านเหรียญ
หมวด: เกม

Kjellberg หรือ PewDiePie คนดัง YouTube ชาวสวีเดนซึ่งครั้งหนึ่งเคยติดอันดับสูงสุดในรายชื่อของเรา แต่กลับมีปี 2017 อันย่ำแย่ นักโฆษณาบางรายทิ้งเกมเมอร์ผู้นี้ไปหลังกรณีภาพเหยียดเชื้อชาติในคลิปของเขา Disney ปลดเขาออกจากเครือข่ายช่องโทรทัศน์ Maker Studios แม้แต่ YouTube เองยังยกเลิกงานโชว์ Scare PewDiePie ของเขา ทำให้รายได้ของ Kjellberg หดหายไปถึง 20% จากปีก่อนหน้า

แต่เขายังคงมีผู้ติดตามเกือบ 60 ล้านคน และความสามารถในการดึงดูดผู้คนของเขากระตุ้นให้บางแบรนด์ เช่น Razer และ Origin PC กลับเข้ามาใหม่

&nbsp;

อันดับ 7 JAKE PAUL

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/bee45332750c9d0b9452bcb2e1e1d4d6.png" alt="" />

รายได้: 11.5 ล้านเหรียญ
หมวด: วิดีโอบล็อก

ผู้เป็นวิดีโอบล็อกเกอร์แบบพี่ชายเขา Logan (อันดับ 4) และมีปัญหาแบบเดียวกับ PewDiePie หลังจาก Jake Paul ยั่วโทสะเพื่อนบ้านและนำมาโม้ลงช่องของตัวเอง ทำให้เกิดกระแสต่อต้านจน Disney ปลดเขาออกจากรายการ Bizaardvark

อย่างไรก็ตาม เขายังทำรายได้มากพอจนเข้ามาติดอันดับ 7 ของเราจากฐานแฟนนับหลายล้านคนที่ชื่นชอบวิดีโอแกล้งคนกับการแสดงผาดโผนต่างๆ ของ Jake นอกจากนี้เขายังเริ่มก่อตั้งบริษัทบริหารจัดการบุคลากรดาวเด่น พร้อมทั้งขายสินค้าเกี่ยวเนื่องที่ทำเงินได้หลายล้านเหรียญอีกด้วย

&nbsp;

อันดับ 8 (ร่วม) RYAN TOYSREVIEW

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/f93e59e03227937d37e037e25203c9f9.png" alt="" />

รายได้: 11 ล้านเหรียญ
หมวด: ของเล่นเด็ก

Ryan นักเรียนวัยประถมอายุเพียง 6 ขวบ มีอาชีพในฝันของเด็กทุกคนคือการรีวิวของเล่น ในรอบ 1 ปีที่เราเก็บสถิตินี้ Ryan มีผู้ชมคลิปของเขารวมกันมากกว่า 8 พันล้านครั้ง

&nbsp;

อันดับ 8 (ร่วม) SMOSH

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/e7e668db354c9e0870ca5fb6203b2310.png" alt="" />

รายได้: 11 ล้านเหรียญ
หมวด: ตลก

Anthony Padilla และ Ian Hecox คือผู้บุกเบิกการทำโชว์ตลกบน Youtube แต่แยกกันแล้วในเดือนมิถุนายน

&nbsp;

อันดับ 10 LILLY SINGH / ||Superwoman||

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/004de134b627012837b9ba3e2f9c7c12.png" alt="" />

รายได้: 10.5 ล้านเหรียญ
หมวด: วิดีโอบล็อก

หญิงสาวหนึ่งเดียวในการจัดอันดับครั้งนี้ และชาวแคนาดาอีกรายที่โด่งดังระดับโลกผ่านช่องทาง YouTube เธอเปลี่ยนวิดีโอไดอารี่สร้างแรงบันดาลใจของเธอให้เป็นมูลค่าตัวเลข 6 หลักด้วย How to Be a Bawse หนังสือติดอันดับขายดีของ New York Times
<div>

&nbsp;

<hr />

<a href="http://bit.ly/2HaFurN">คลิกอ่านบทความทางธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ที่ Forbes Thailand Magazine ฉบับ มีนาคม 2561 ในรูปแบบ e-Magazine</a>
<a href="http://bit.ly/2HaFurN"><img class="" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/b016375a9b6beb0537fe391ea3131a53.jpg" alt="" width="259" height="338" /></a>

</div>

10 อันดับ YouTube Stars รายได้สูงที่สุดในโลก ปี 2017

<h2>เหตุที่คนยุคมิลเลนเนียมนิยม Facebook เป็นเพราะ Facebook สามารถใช้ ‘ส่อง’ ประวัติของคนที่ต้องการได้ง่ายๆ ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าอาจมีคนแอบดูประวัติออนไลน์ของเราบนสื่อสังคมและค้นหาข้อมูลของเราด้วย Google ได้ทุกเมื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...เมื่อเราสมัครงาน</h2>
จากการเก็บสถิติของ CareerBuilder เว็บไซต์หางานในอเมริกาเหนือ ยุโรป และเอเชีย พบว่า 35% ของนายจ้างมีแนวโน้มที่จะเรียกสัมภาษณ์ผู้สมัครงานรายนั้นๆ ต่ำลง หากพวกเขาไม่มีประวัติบนโลกออนไลน์ สถิตินี้ถูกคาดการณ์ว่าจะสูงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อธุรกิจจำนวนมากเริ่มทำกิจการบนแพลตฟอร์มดิจิทัล

ต้นเหตุของสถิตินี้เกิดจากนายจ้างพบว่าการเลือกผู้สมัครที่เหมาะสมกับงานทำได้ง่ายขึ้นเมื่อสืบค้นข้อมูลของพวกเขาบนโลกออนไลน์

อะไรบ้างที่นายจ้างจะเพ่งเล็งเป็นพิเศษ? การศึกษาโดย GoDaddy ผู้ให้บริการเว็บโฮสติ้ง เปิดเผยว่า 5 สิ่งที่ผู้สมัครงานจะถูกตรวจสอบบนโลกออนไลน์มากที่สุด ได้แก่
<ol>
 	<li>ความคิดเห็นที่เป็นการเหยียดหรืออคติต่อสิ่งต่างๆ เช่น เชื้อชาติ, ศาสนา, เพศ ฯลฯ</li>
 	<li>ความเป็นมืออาชีพในการทำงาน</li>
 	<li>ความคิดเห็นทางลบต่อนายจ้างคนก่อนหรือเพื่อนร่วมงาน</li>
 	<li>รูปภาพหรือวิดีโอที่ไม่เหมาะสม</li>
 	<li>การใช้ยาเสพติด</li>
</ol>
<figure><img style="width: 680px; height: 473px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/4de8cfd0635a10808aea2ecdcf55ffbc.png" alt="" width="680" height="473" /><figcaption> Facebook อาจกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้คุณถูกตัดทิ้งจากรายชื่อว่าที่พนักงานใหม่</figcaption></figure>

Haley D. Hensley ผู้จัดการด้านทรัพยากรบุคคลของ DocuLynx บริษัทโซลูชั่นด้านการบริหารจัดการข้อมูล ให้ความเห็นว่า แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่ใช้ตรวจสอบผู้สมัครงานมากที่สุดคือ LinkedIn ซึ่งคนส่วนใหญ่ทราบดีว่ามารยาทบน LinkedIn คือไม่ควรโพสต์เรื่องส่วนตัวหรือประเด็นที่เสี่ยงต่อการวิพากษ์วิจารณ์ลงไป

และไม่ใช่เพียงแค่รูปภาพหรือข้อความที่ไม่เหมาะสมเท่านั้น ปัจจัยอื่นๆ อีกมากจะถูกนำมาพิจารณาเมื่อฝ่ายบุคคลตรวจสอบตัวตนบนโลกออนไลน์ของคนๆ หนึ่ง สิ่งหนึ่งที่สำคัญมากคือ บุคลิกภาพและตัวตนของผู้สมัครงานในโลกออนไลน์ ในใบสมัครงาน และตัวตนจริงในระหว่างสัมภาษณ์ควรจะสอดคล้องกัน ไม่ว่าจะเป็นบุคลิกเชิงบวกหรือลบก็ตาม

นอกจากนี้ Hensley ยังกล่าวด้วยว่า กิจกรรมออนไลน์ที่แม้ไม่เกี่ยวข้องกับสายงานที่คุณกำลังหางานทำอยู่ ก็อาจจะมีผลอย่างมหันต์ เธอเล่าให้ฟังว่า มีคนมากมายที่เกือบจะต้องตกงานหลังโพสต์บางข้อความลงในโซเชียลมีเดียแม้กระทั่งในกลุ่มส่วนตัวก็ตาม

“คติประจำใจในการใช้สื่อสังคมของฉันและเชื่อว่าทุกคนควรจะดำเนินตามคือ ‘โพสต์ให้เหมือนกับว่าทั้งโลกสามารถเห็นข้อความของคุณ’ ถ้าคุณสะดวกใจที่ใครก็ตามสามารถเห็นโพสต์นั้นได้ ถือเป็นตัวบ่งชี้ที่ดีว่าคุณกำลังเขียนข้อความในขอบเขตที่เหมาะสม” Hensley กล่าว

&nbsp;
<h2>พลิกวิกฤตตัวตนออนไลน์ให้กลายเป็นโอกาส</h2>
แม้ว่าจะมีคำเตือนมากมายให้เราระมัดระวังเมื่ออยู่ในโลกออนไลน์ ผู้สมัครงานควรตระหนักด้วยว่าในข้อเสียนั้นยังมีข้อได้เปรียบ

ในการศึกษาของ GoDaddy ยังพบอีกว่า 1 ใน 3 ของฝ่ายทรัพยากรบุคคลมักจะค้นพบข้อมูลบนโลกออนไลน์ที่นำไปสู่การเลือกว่าจ้างผู้สมัครรายนั้น ได้แก่ ประวัติที่สนับสนุนคุณสมบัติอันเหมาะสมต่องาน, บุคลิกตรงกับวัฒนธรรมองค์กร และมีภาพลักษณ์ที่เป็นมืออาชีพ

<figure><img style="width: 680px; height: 439px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/641386173ab5cfcb89e8f2373b2673d1.png" alt="" width="680" height="439" /><figcaption> ในจำนวนคนมากมายที่ยื่นสมัครงานตำแหน่งเดียวกัน ตัวตนบนโลกออนไลน์กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่บริษัทยุคใหม่ใช้คัดเลือกพนักงาน</figcaption></figure>

Jim Hughes ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายทรัพยากรบุคคลที่ Red Lobster บริษัทร้านอาหารทะเล กล่าวว่า “เมื่อคุณเป็นผู้หางาน ต้องคาดการณ์ไว้ก่อนว่าบริษัทต่างๆ จะตรวจสอบประวัติสาธารณะของคุณเป็นลำดับแรก และเป็นตัวชี้วัดว่าบริษัทจะเก็บคุณไว้เป็นตัวเลือกในขั้นต่อไปหรือไม่ แม้ข้อมูลออนไลน์อาจจะไม่ใช่ใบสมัครงานอย่างเป็นทางการ แต่มันก็เหมือนๆ กับใบสมัคร เพราะเป็นส่วนผสมของประวัติส่วนตัว ทัศนคติ รวมถึงตัวตนและสไตล์ของคุณ”

ตัวตนบนโลกออนไลน์ก็เหมือนส่วนขยายของใบสมัครงาน ผู้รับสมัครงานส่วนใหญ่ใช้เวลาอ่านรายละเอียดในประวัติสมัครงานของเราไม่มาก แต่สนใจสิ่งที่ผู้สมัครเขียนบนโลกออนไลน์มากกว่า โดยเฉพาะหากว่ามันสัมพันธ์กับสายงานที่สมัคร

Ryan Frailich ผู้ก่อตั้งบริษัทที่ปรึกษาด้านทรัพยากรบุคคล Frailich Consulting กล่าวว่า “เมื่อบริษัทใช้ Google สืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับผู้สมัครงาน จะเป็นปัจจัยบวกมากหากเขา/เธอมีบุคลิกและทัศนคติกระตือรือร้นต่อเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสายงาน ยกตัวอย่างเช่น ครั้งหนึ่งผมเคยว่าจ้างผู้อำนวยการฝ่ายที่ปรึกษาวิทยาลัย และพบว่าคนๆ นั้นมีบทสนทนาใน Twitter กับคนในแวดวงการศึกษา

มันเป็นแรงส่งอย่างมากเมื่อทราบว่าผู้สมัครรายนี้คิดถึงหัวข้อที่เกี่ยวกับงานแม้จะเป็นเวลาส่วนตัว และไม่ใช่แค่สมัครงานอะไรก็ได้ที่มี แต่ยื่นใบสมัครในสายงานที่เธอมีความกระตือรือร้นอย่างสูงที่จะทำ”

ความจริงแล้ว ผู้หางานที่มีไหวพริบจะเล็งเห็นว่า ตัวตนออนไลน์คือจุดเริ่มต้นของการหางานมากกว่าจะเป็นตัวกรองขั้นสุดท้าย หรือเรียกได้ว่าเป็น “แบรนด์” ของคนๆ หนึ่ง การสร้างตัวตนให้เป็นคนที่สนใจหัวข้อหรือประเด็นใดเป็นพิเศษผ่านสังคมออนไลน์จะสามารถเปิดประตูสู่หน้าที่การงานได้ดียิ่งกว่าความพยายามสมัครงานแบบทั่วๆ ไปเสียอีก

&nbsp;
แปลและเรียบเรียงจาก What Millennial Job Seekers Need To Know About Their Online Presence โดย Kaytie Zimmerman ผู้ก่อตั้งบล็อก Optimistic Millennial ซึ่งให้คำแนะนำกับคนทำงานวัยผู้ใหญ่ตอนต้น

เช็กตัวตนออนไลน์ของคุณให้ดี เมื่อบริษัทยุคใหม่เลือกจ้างพนักงานจากการเสิร์ช Google

ZALORA เปิดตัวแคมเปญ 12.12 Online Fever 2015 รวบรวมพันธมิตรผู้นำธุรกิจออนไลน์ เพื่อกระตุ้นธุรกิจ e-commerce ทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยนำเสนอข้อเสนอสุดพิเศษให้กับลูกค้าส่งเสริมการซื้อสินค้าออนไลน์ ซึ่งในปีนี้ พบกับการร่วมมือครั้งสำคัญกับ ผู้ค้าออนไลน์ชื่อดังเพื่อให้เกิดความหลากหลายและก่อให้เกิดมูลค่าการขาย อาทิ Eatigo, Foodpanda, HappyFresh, HotelQuickly, iflix, Internet, Kerry Express, Line, Luxola&nbsp; Moxy, Ookbee, SCB, R abbit 
&nbsp; 
"12.12 Online Fever" มาพร้อมกับสั่งสินค้าในหมวด แฟชั่น อาหาร ความงาม ท่องเที่ยว และอื่นๆ จาก Local brands และ International brands โดยแบรนด์พันธมิตรออนไลน์ที่เข้าร่วมแคมเปญจะถูกรวมรวบไว้บนหน้า landing page ของทุกเว็บไซต์ ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อเปลี่ยนลูกค้า Offline สู่ Online และทำให้ตลาดของ e-commerce เติบโตขึ้นไปพร้อมกัน ในวันที่ 12 ธันวาคม 2558 ตั้งแต่เวลา 0 นาฬิกา 12.12 Online Fever จะออนไลน์ในเว็บไซต์และแอพพลิเคชั่นของซาโลร่าทั้ง 8 ประเทศ ผ่าน <a href="http://www.zalora.co.th/online-fever">www.zalora.co.th/online-fever</a>

ZALORA จับมือเบอร์หนึ่งผู้ประกอบการออนไลน์ สร้างปรากฎการณ์ 12.12 ONLINE FEVER

เรื่อง: Yue Wang เรียบเรียง: อิทธิพล จึงวัฒนาวงค์
<h2>เป็นเวลาสองทศวรรษที่ Zhang Ligang คร่ำหวอดอยู่ในธุรกิจการแพทย์และอินเทอร์เน็ต และแล้วในที่สุดการเชื่อมโยงธุรกิจทั้งสองเข้าด้วยกันก็ช่วยเพิ่มความหวังในการขยายบริการสาธารณสุขที่ยังขาดแคลนในปัจจุบัน</h2>
เมื่อยี่สิบปีก่อน Zhang Ligang จากมณฑล Jiangsu ได้เข้าศึกษาที่ Harvard Medical School เพื่อคว้าปริญญาเอกด้านพันธุกรรมซึ่งไม่ใช่ความสำเร็จที่จะได้มาโดยง่าย แต่การศึกษาของเขากลับถูกขัดจังหวะ (ขณะนั้นเขาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทแล้ว) ด้วยความแรงของยุคดอทคอมในช่วงปลายทศวรรษ 1990 Zhang เข้าร่วมงานกับ Sohu ซึ่งเป็นหนึ่งในอินเทอร์เน็ตพอร์ทัลที่ใหญ่ที่สุดของจีน และจากนั้นไม่นานก็เป็นผู้ร่วมก่อตั้งเว็บ eLong เว็บไซต์จองตั๋วท่องเที่ยวที่ปัจจุบันจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ Nasdaq

แต่แล้วเขาก็ไม่ได้อยู่กับ eLong นานนักเพราะโลกการแพทย์ได้ดึงตัวเขากลับไปอีกครั้งในปี 2004 เขาเปิดตัว iKang ซึ่งแปลว่า "รักสุขภาพ" ในภาษาจีนกลาง แรกเริ่มมันเป็นเพียงเว็บแพลตฟอร์มใช้ในการติดต่อแพทย์ จนกระทั่ง Zhang คิดได้ในช่วงแรกของธุรกิจนั่นเองว่า การเป็นผู้ให้บริการที่เขาเป็นเจ้าของเองนั้นคือกุญแจสำคัญ

ปัจจุบันในฐานะผู้ให้บริการการตรวจสุขภาพนอกกรุง Beijing บริษัท iKang ได้วางฐานที่มั่นสำคัญของธุรกิจเอกชนที่ยังถูกครอบครองโดยรัฐบาลจีน แล้วบริษัททำได้อย่างไร เขาทำได้โดยการรวบรวมรายชื่อลูกค้าของเขา ซึ่งตอนนี้มีมากกว่า 20,000 รายชื่อ ปรากฏว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในจีนนั้นมีความคล้ายคลึงกับในสหรัฐฯ นั่นคือคนชั้นกลางชาวจีนจำนวนมากจะเข้าถึงหมอผ่านทางนายจ้างของตน

ด้วยมูลค่าการตลาด 1.1 พันล้านเหรียญจากการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ Nasdaq บริษัท iKangแสดงให้เห็นถึงโอกาสทางธุรกิจสุขภาพที่สามารถเข้าถึงและให้บริการตรวจสุขภาพและคัดกรองโรคในสาขาต่างๆ เช่น การตรวจภายใน นรีเวชศาสตร์ ทันตกรรม กุมารเวชศาสตร์ และมะเร็ง ทั้งนี้รายได้ 248 ล้านเหรียญในช่วงเก้าเดือนของปีงบประมาณที่สิ้นสุดเมื่อ 31 ธันวาคมที่ผ่านมาเติบโตถึง 44 เปอร์เซ็นต์ และบริษัทก็ทำกำไรได้อย่างยอดเยี่ยม

บริการของ iKang ช่วยให้ผู้คนสามารถระบุอาการของโรคที่อาจลุกลามได้ทันก่อนที่พวกเขาจะป่วยจริง ๆ แต่บริษัทยังไม่คิดก้าวเข้าสู่ธุรกิจโรงพยาบาลเต็มตัว เนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีความซับซ้อนเนื่องจากระบบราชการและยังเต็มไปด้วยการคอรัปชั่น (ปีที่แล้วบริษัทยาข้ามชาติ Glaxo-SmithKline ถูกปรับไป 489 ล้านเหรียญจากการติดสินบนแพทย์ในโรงพยาบาล)

Damjan P. De-Noble ผู้บริหาร Rubicon Strategy Group บริษัทให้คำปรึกษาด้านปฏิบัติงานโรงพยาบาลในจีนกล่าวว่า Zhang ในวัย 44 ปีสร้าง iKang ด้วยการลงทุนจำนวนมากไปกับอุปกรณ์การแพทย์คุณภาพสูงและเดินเข้าหาบริษัทต่างๆ เพื่อทำสัญญาตรวจสุขภาพโดยตรง ซึ่งช่วยให้บริษัทของเขาเข้าถึงพนักงานออฟฟิศชาวจีนขณะที่ผู้ให้บริการทั้งเอกชนและต่างชาติส่วนใหญ่ยังล้มลุกคลุกคลาน

ตอนนี้ iKang มีศูนย์ปฏิบัติการ 58 แห่งและคลินิกที่เป็นหุ้นส่วนอีกจำนวน 400 แห่งใน 150 เมืองทั่วประเทศจีน ลูกค้ามีตั้งแต่ธนาคารของรัฐจนถึงบริษัทข้ามชาติ รวมถึงพนักงานที่เป็นชาวต่างชาติด้วย

แม้ว่า Zhang จะถือหุ้น 13 เปอร์เซ็นต์ของ iKang แต่นโยบายส่วนใหญ่จะเปลี่ยนแปลงผ่านการโหวตของผู้ถือหุ้น การทำเดินงานของบริษัทสะท้อนวิสัยทัศน์ของเขาเอง  เขาออกจาก eLong หลังจากไม่สามารถตกลงกันได้กับคู่ค้าบางราย "ผมรู้สึกว่ามีเรื่องต้องทำอีกมากในธุรกิจดูแลสุขภาพ" เขากล่าว "ประสบการณ์การทำงานของผมช่วยได้มากทีเดียว"

การมีประชากรที่ใส่ใจกับสุขภาพเพิ่มมากขึ้นประกอบกับการสนับสนุนจากรัฐบาลกลางและการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนมีส่วนในการเติบโตสูงของธุรกิจนี้ ตลาดสาธารณสุขเชิงป้องกันของจีนกำลังขยายตัวในอัตรา 15 เปอร์เซ็นต์ต่อปีตามรายงานของ Richard Yeh นักวิเคราะห์ด้านสาธารณสุขในประเทศจีนจากบริษัท Citigroup ขณะเดียวกัน LEK บริษัทให้คำปรึกษาด้านการจัดการระดับโลกกล่าวว่าตลาดมีมูลค่าสูงถึง 4 – 5 หมื่นล้านหยวน (เกือบ 9 พันล้านเหรียญ)

Zhang ค้นพบเส้นทางไปสู่มหาวิทยาลัยในฝันของเขาซึ่งคือ Harvard จากการเรียนอย่างหนักและอดทน (เขาปฏิเสธข้อเสนอจาก University of Southern California) การตัดสินใจเช่น การลาออกจากการเรียนปริญญาเอกและการเข้าทำงานที่ Sohu เป็นหนึ่งในเรื่องที่ยากต่อการเข้าใจสำหรับพ่อแม่ที่มีความภูมิใจในตัวลูกชาย แต่ในทีสุดพวกเขาก็ยอมรับได้ "แม่เข้าใจผม" เขากล่าว "เธอรู้ว่าเมื่อผมตัดสินใจทำบางอย่างแล้ว ผมจะเอาจริง"

กระแสความแรงของโลกอินเตอร์เน็ตแสดงให้เห็นว่าสัญชาตญาณตั้งต้นของ Zhang ไม่ไกลเกินจริง เขากล่าวว่าบริษัทของเขาอาจยังเป็นเพียงผู้เล่นรายเล็กๆ หากว่าเขายังยึดติดอยู่กับสิ่งที่อยู่ในใจของเขา เรื่องกล้าหาญที่สุดที่เขาได้ทำลงไปคือการตัดสินใจให้บริการออฟไลน์

<hr />

<a href="http://goo.gl/CuklCS">คลิ๊กเพื่ออ่าน "เมื่อธุรกิจสุขภาพในแดนมังกรเข้าสู่โลกออนไลน์" ฉบับเต็มได้ที่  Forbes Thailandฉบับ JULY 2015</a>

เมื่อธุรกิจสุขภาพในแดนมังกรเข้าสู่โลกออนไลน์.

<h2>คนจีนใช้อินเทอร์เน็ตทะลุ 630 ล้านคนแล้ว พร้อมก้าวสู่ยุคโมบาย หลังออนไลน์ผ่านอุปกรณ์แซงคอมพิวเตอร์ ขณะที่แนวโน้มสื่อสารผ่านทางโปรแกรมแชทมากขึ้น</h2>
China Internet Network Information Center (CNNIC) ได้เผยแพร่รายงานประจำปี 2014 เกี่ยวกับการใช้อินเทอร์เน็ตภายในประเทศจีน ซึ่งปัจจุบันมีประชากรกว่า 1,360 ล้านคน โดยมีตัวเลขที่น่าสนใจคือ

-ผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นทั่วประเทศ หลังเดือนมิถุนายน 2014 ประเทศจีนมีจำนวนผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ต 632 ล้านคน เพิ่มจากปี 2013 รวม 14.42 ล้านคน อัตราการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตอยู่ที่ 46.9% และใช้ผ่านอุปกรณ์พกพา 527 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีกลาย 26.99 ล้านคน กลุ่มผู้ใช้ใหญ่สุดคือนักเรียนนักศึกษาที่ 25% และเวลาออนไลน์เฉลี่ยต่อสัปดาห์สูงถึง 25.9 ชั่วโมง (ขณะที่ค่าเฉลี่ยในสหรัฐฯ ในปี 2013 ตกสัปดาห์ละ 20.4 ชั่วโมง)

-เข้าสู่ยุคโมบาย นับเป็นครั้งแรกที่จำนวนผู้เข้าเว็บผ่านอุปกรณ์พกพาหรือโมบายเพิ่มขึ้นจนแซงหน้าเครื่องพีซี ซึ่งเป็นปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก สะท้อนให้เห็นแนวโน้มของการจับจ่ายผ่าน app ซึ่งเป็นตลาดที่เติบโตอย่างรวดเร็วที่สุดในจีน

-เกิดเครื่องมือการเงินออนไลน์มากมาย ปริมาณผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในทางการเงิน หรือเพื่อบริหารจัดการสินทรัพย์ มีมากเกินกว่า 60 ล้านคนภายในเวลาไม่ถึงปี เว็บไซต์สำหรับการลงทุนอย่าง Yuebao ซึ่งให้บริการบนออนไลน์ และผ่านโมบาย โดยไม่จำกัดเงินฝากหรือค่าธรรมเนียมขั้นต่ำ เพื่อให้นักลงทุนรายย่อยมีโอกาส Yuebao เป็นบริการหนึ่งในอาณาจักร Alibaba ผู้ใช้ระบบจ่ายเงินออนไลน์ Alipay สามารถลงทุนผ่าน Yuebao ได้  โดยให้ผลตอบแทนมากกว่า 3% ของธนาคารรัฐ ทั้งนี้กลางปี 2014 Yuebao มีทรัพย์สินทั้งหมด 9 หมื่นล้านเหรียญ

-ช่องว่างทางดิจิทัล ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตภาคชนบทมี 178 ล้านคน คิดเป็น 28.2% ของผู้ใช้งานทั้งหมดในจีน หรืออีกด้านหนึ่ง มีคนในชนบทอีกประมาณ 450 ล้านคนขาดโอกาสใช้งานอินเทอร์เน็ต ช่องว่างดังกล่าวขยายมากขึ้นในระบบบรอดแบนด์ ในบริเวณภาคตะวันตกและตอนกลางประเทศ ซึ่งเป็นภูมิภาคที่ยากจน ประชากรที่มีโอกาสใช้งานอินเทอร์เน็ตที่ความเร็วตั้งแต่ 8 MB ขึ้นไป มีเพียง 18% ในขณะที่คนในมณฑลทางตะวันออกซึ่งเป็นภูมิภาคที่ร่ำรวยกลับมีถึง 36%

-การเสื่อมความนิยมของ Weibo และเว็บโซเชียลเน็ตเวิร์ค จำนวนผู้ใช้งานไมโครบลอก 275 ล้านคน ลดลงจากปลายปี 2013 ราว 5.43 ล้านคน แม้อัตราการใช้งานจะทรงตัว แต่ยูสเซอร์เริ่มหันไปใช้โปรแกรมส่งข้อความอย่าง WeChat กันแล้ว แสดงให้เห็นแนวโน้มของการสื่อสารที่เริ่มเปลี่ยนจากพื้นที่สาธารณะ มาสู่ความเป็นส่วนตัวมากขึ้น

หากพิจารณาข้อมูลจากนอกประเทศ อย่างเช่นรายงาน <a href="http://www.forbesthailand.com/article_detail.php?article_id=237">Web Index 2014-15</a> ซึ่งจัดทำโดย World Wide Web Foundation ชี้ให้เห็นสถานภาพการใช้อินเทอร์เน็ตของประเทศจีนอยู่ในลำดับ 44 ด้วยคะแนน 45.97 จากทั้งหมด 86 ประเทศ โดยคะแนนแต่ละหมวดประกอบด้วย Universal Access 60.55, Relevant Content 51.21, Freedom And Openness 10.94 และ Empowerment 56.42  โดยคะแนนในหมวดเสรีภาพและการเปิดกว้างอยู่ต่ำมาก เนื่องจากนโยบายควบคุมข้อมูลข่าวสารออนไลน์ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน แต่คะแนนในอีกสามหมวดนั้นถือว่าสูงมาก

โดยเฉพาะคะแนนด้านการสนับสนุนการเติบโตของ SMEs ซึ่งอยู่ในหมวด Empowerment นั้น ในรายงานระบุว่า ประเทศที่ร่ำรวยแล้วจะได้คะแนนในส่วนนี้สูง ส่วนประเทศที่มีรายได้ต่ำหรือรายได้ปานกลางนั้น เว็บไซต์ยังไม่สามารถสนับสนุนธุรกิจขนาดย่อม ให้เติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยกเว้นในประเทศรายได้ปานกลางเพียง 6 ประเทศ ที่ได้คะแนนเกินครึ่ง ได้แก่ ตุรกี, จีน, บราซิล, อาร์เจนติน่า, อินเดีย และมอริเชียส  โดยจีนได้ 6.00 อยู่ในลำดับ 22

&nbsp;

&nbsp;

เรียบเรียงจาก:
<ul>
 	<li><a href="http://www.forbes.com/sites/adamsegal/2014/11/07/how-china-influences-the-internet/">How China Influences The Internet</a> โดย Adam Segal</li>
 	<li><a href="http://thewebindex.org/report/#3.2.3_the_web_and_smes">Web Index 2014-15: The Web and Rising Global Inequality</a></li>
</ul>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events