<h2>สินค้าแบรนด์จีนได้รับการยอมรับในตลาดมากขึ้น “ไฮเออร์”  เป็นแบรนด์แถวหน้าที่ส่งเครื่องใช้ไฟฟ้า ไปจำหน่ายทั่วโลกติดอันดับท็อป 3 ไม่แพ้แบรนด์ดังจากยุโรปและอเมริกา นอกจากรูปลักษณ์ที่ทันสมัย ทัดเทียมอินเตอร์แบรนด์แล้ว ด้านเทคโนโยลีก็ล้ำหน้าไม่แพ้กัน</h2>
Haier Smart Home เป็นสินค้า คอนเซ็ปต์ใหม่ของไฮเออร์ (Haier) แบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้า จากจีนแผ่นดินใหญ่ที่ขยายตลาดไปทั่วทุกภูมิภาคของโลก และกำลังให้ความสำคัญการเจาะตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในไทย หลังจากไฮเออร์สามารถก้าวขึ้นเป็นอันดับ 1 ในตลาดเครื่องปรับอากาศประเทศไทย ล่าสุดได้จัดเซตสินค้ากลุ่มสมาร์ทโฮม ทั้งเครื่อง ปรับอากาศ ตู้เย็น เครื่องซักผ้า ทีวี และตู้แช่ไวน์ นำเสนอการจำหน่ายเป็นชุด พร้อมพัฒนาแอปพลิเคชันเพื่อสั่งการใช้งานสินค้ากลุ่มสมาร์ทโฮมผ่านออนไลน์ได้ทุกที่ทุกเวลา ซึ่งไฮเออร์มั่นใจว่าจะได้การตอบรับที่ดีจากตลาด

<figure><img class="wp-image-28572 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/04/จาง-เจิ้งฮุ้ย-1.jpg" alt="" width="350" height="467" /><figcaption> Zhang Zhenghui ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไฮเออร์ อีเลคทริคอล แอพพลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด</figcaption></figure>

Zhang Zhenghui ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไฮเออร์ อีเลคทริคอล แอพพลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงการทำตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าของ แบรนด์ไฮเออร์ในไทยว่า ล่าสุดได้จัดเซตสินค้า “Haier Smart Home” โดยจัดชุดตัวอย่างโชว์ที่ศูนย์จำหน่ายสินค้าไฮเออร์ ซึ่งใหญ่ที่สุดในอาเซียน ที่เพิ่งเปิดตัวใน จังหวัดขอนแก่นไปเมื่อต้นเดือนมีนาคม ซึ่งเป็นสินค้าเทคโนโลยีใหม่ที่จะช่วยเพิ่มส่วนแบ่งด้านการตลาด และทำให้ไฮเออร์ก้าวสู่การเป็นผู้นำแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านในประเทศไทยในทุกประเภทสินค้า

เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว ไฮเออร์ ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ออกสู่ตลาดอย่าง NEWS ต่อเนื่อง ด้วยจุดขายด้านคุณภาพผลิตภัณฑ์ ดีไซน์ที่สวยงาม นวัตกรรมล้ำสมัย และฟังก์ชันที่สร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภค ซึ่ง “Haier Smart Home” ออกแบบสำหรับห้องนั่งเล่นอัจฉริยะ ห้องนอนอัจฉริยะ ห้องครัวอัจฉริยะ เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่

โดยจะเน้นขายผ่านดีลเลอร์ที่มีความพร้อม ซึ่งนอกจากศูนย์ที่ขอนแก่นแล้ว จะขายผ่านดีลเลอร์ใหญ่อีก 10 ราย โดยเน้นเจาะตรงสู่กลุ่มผู้บริโภคเป็นหลัก ขณะเดียวกันก็เตรียมแผนงานสำหรับขายเข้าโครงการที่อยู่อาศัย ซึ่งกำลังเจรจาอยู่หลายราย น่าจะมีความร่วมมือในอนาคต

<img class="alignnone size-full wp-image-28571" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/04/S__2637844.jpg" alt="" width="600" height="438" />

“ตอนนี้เรายังขายผ่านดีลเลอร์เป็นหลัก ปัจจุบันมีดีลเลอร์ 500 ราย จะขยายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตลาดเป้าหมายยังคงเป็นผู้บริโภครายย่อย ส่วนงานโครงการเป็นเรื่องที่กำลังพิจารณาและจะขยายในอนาคต” ประธานไฮเออร์กล่าวก่อนจะเผยว่า ที่ผ่านมาไฮเออร์ ในไทยมีผลการดำเนินงานที่ค่อนข้างดี หากดูจากผลประกอบการจะพบว่า ในปี 2562 ไฮเออร์ไทยมีรายได้ที่ 4.5 พันล้านบาท เติบโตขึ้นถึง 40% ส่วนในปี 2563 คาดว่า รายได้จะเพิ่มขึ้นตามเป้าหมายที่วางไว้คือ 6.5 พันล้านบาท

โดยมีสินค้ากลุ่มเทคโนโลยีใหม่เข้ามาเสริมมากขึ้น ในขณะที่สินค้าเดิมทั้งเครื่องซักผ้า เครื่องปรับอากาศ ทีวี และ ตู้เย็น ไฮเออร์มียอดขายที่ดีอยู่แล้ว โดยเฉพาะเครื่องปรับอากาศแบรนด์ไฮเออร์ถือเป็นอันดับ 1 ในตลาดเมืองไทย

ส่วนในตลาดโลก ไฮเออร์เป็นผู้ผลิตและผู้นำด้านผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมเครื่องใช้ ไฟฟ้าของโลก โดยมี 7 แบรนด์ในเครือ ประกอบด้วย Haier, Casarte, Leader, GE Appliances, Fisher &amp; Paykel, AQUA และ Candy โดยไฮเออร์ครองแชมป์แบรนด์เครื่องใช้ภายในบ้านอันดับ 1 ของโลกติดต่อกัน 11 ปีซ้อน ตั้งแต่ปี 2552 ถึงปี 2562 จากการจัดอันดับของสถาบันยูโรมอนิเตอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล

<hr />

อ่านเพิ่มเติมได้ที่ นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนเมษายน 2563
<img class="alignnone wp-image-28551 size-medium" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/04/ศุภชัย-เจียรวนนท์-01-229x300.jpg" alt="" width="229" height="300" />

“ไฮเออร์” ขยับสู่ “ไฮเอนด์” เสริมทัพสินค้าดิจิทัลไลฟ์-สมาร์ทโฮม

<h2 class="p2">ผลสำรวจประชาชนอเมริกันเกี่ยวกับความคาดหวังเรื่องเทคโนโลยีกับการใช้ชีวิต ชี้ 50% คาดหวังการใช้งาน “ไฮเปอร์ลูป” ภายในปี 2030 อีก 38% เชื่อมี “แท็กซี่ลอยฟ้า” ให้บริการ 49% หวังใช้ “หุ่นยนต์แม่บ้าน” สร้างความสะดวกสบายให้กับชีวิต</h2>
Dassault Systèmes ร่วมกับบริษัทวิจัยอิสระ CITE Research เผยผลสำรวจความคิดเห็นผู้บริโภคเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตในเมืองใหญ่ พบว่า ภายในปี 2030 เทคโนโลยีจะเข้ามาเติมเต็มและยกระดับคุณภาพชีวิตผู้บริโภคทุกไลฟ์สไตล์ พร้อมคำนึงถึงผลกระทบต่อสังคมทั้งเชิงบวกและเชิงลบ 

<ul class="ul1">
 	<li class="li3">การเดินทางด้วยรถไฟความเร็วสูง (Hyperloop) </li>
 	<li class="li3">เปลี่ยนบ้านธรรมดาให้กลายเป็นสมาร์ทโฮม (Smart Home) </li>
 	<li class="li3">การใช้จ่ายผ่านอุปกรณ์โมบายล์ (Mobile Payment) </li>
 	<li class="li3">แผนการประกันสุขภาพส่วนบุคคล (Personalized Preventive Health Plan) </li>
</ul>
สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของความต้องการที่เทคโนโลยีจะเข้ามามีบทบาท และอาจจะกลายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของผู้คนในอนาคต
สอดคล้องกับคำตอบของกลุ่มผู้ตอบแบบสอบถาม จากผลสำรวจถึงเทคโนโลยีในอนาคตที่ผู้บริโภคคาดหวัง พบประเด็นสำคัญคือ ภายในปี 2030 การนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาเติมเต็มประสบการณ์การใช้งานตามรสนิยมของผู้บริโภคเป็นเรื่องที่แบรนด์ควรตระหนัก ทั้งการใช้ชีวิตภายในบ้าน การเดินทาง สุขภาพ และการจับจ่ายใช้สอย
นอกจากนี้ยังมีอีกหลายหมวดหมู่ที่น่าสนใจ อาทิ เรื่องความปลอดภัย การใช้พลังงาน ความสะดวกสบาย การเข้าถึง การออม และ ประกันชีวิต ที่คาดหวังว่าจะมอบประโยชน์การใช้ชีวิตของพวกเขาจากเทคโนโลยีอื่นๆ
<img class="alignnone size-full wp-image-3985" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/01/Dassault-2030-Infographic.jpg" alt="" width="800" height="2353" />
ข้อมูลที่ได้รับจากการตอบแบบสอบถาม:
1.ประสบการณ์ใช้งานตามรสนิยมของกลุ่มมิลเลนเนียลมีอิทธิพลต่อการพัฒนาเทคโนโลยี ชาวมิลเลนเนียลอายุระหว่าง 18 - 34 ปี ให้ความสำคัญกับการแสดงออกถึงเอกลักษณ์ส่วนบุคคล ดังนั้น เทคโนโลยีควรนำเสนอรูปแบบการใช้งานให้ตรงกับไลฟ์สไตล์ โดยสามารถปรับเปลี่ยนได้ด้วยตนเองและตลอดเวลา ผู้ตอบแบบสอบถามอายุ 35 ปีขึ้นไป คาดว่า ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีจะช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้นอีกด้วย
2.ในปี 2030 บ้านจะยิ่งปลอดภัยและประหยัดพลังงานมากขึ้น ผู้ตอบแบบสอบถามกว่า 70% กล่าวว่า ในอนาคตจะเลือกใช้อุปกรณ์ที่สามารถรีโมทเพื่อควบคุมและตรวจสอบ การสั่งงานด้วยเสียง และวางระบบภายในบ้านแบบสมาร์ทโฮม หรือ บ้านอัจฉริยะ ขณะที่ผู้ตอบแบบสอบถาม 49% เลือกใช้แม่บ้านอัจฉริยะหรือหุ่นยนต์แม่บ้าน
3.ระบบไฟฟ้าและการเชื่อมต่ออัจฉริยะจะยกระดับระบบขนส่งมวลชนและยานยนต์ ช่วยให้ประหยัดต้นทุน ลดเวลาในการเดินทาง และสร้างความปลอดภัยให้กับผู้เดินทางบนท้องถนนมากยิ่งขึ้น ผู้ตอบแบบสอบถามมากกว่า 70% คาดการณ์ว่าจะใช้รถยนต์ไฟฟ้าหรือรถไฮบริดในอนาคต ขณะที่กว่า 50% คาดว่า จะเลือกใช้ระบบขนส่งความเร็วสูงหรือรถไฟความเร็วสูง หรือ ไฮเปอร์ลูป ด้านผู้ตอบแบบสอบถาม 38% คาดว่า จะมี “แท็กซี่ลอยฟ้า” เปิดให้ใช้บริการ

<ul>
 	<li><a href="http://forbesthailand.com/news/motoring/dyson-%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99-%E0%B8%A3%E0%B8%96ev.html">Dyson ประกาศตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าใน ‘สิงคโปร์’ เจาะตลาด EV เอเชีย</a></li>
 	<li><a href="http://www.forbesthailand.com/technology-detail.php?did=1548">รถบัสไฟฟ้าพันธุ์รักษ์โลก</a></li>
</ul>
ขณะที่ผู้ขับขี่กว่า 75% เชื่อว่า จะได้รับประสบการณ์ขับขี่รถยนต์ที่ดีขึ้นในอนาคต เช่น เทคโนโลยีเพื่อการวางแผนการเดินทางหรือกำหนดเส้นทางและแผนการควบคุมการจราจรในเขตเมือง อย่างไรก็ดี ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ยังไม่ยินดีที่จะเปิดให้เข้าถึงข้อมูลส่วนตัวเพื่อใช้ในการปรับปรุงคุณภาพการให้บริการ 
4.แผนการประกันสุขภาพส่วนบุคคลและการติดตั้งเครื่องมือสำหรับดูแลสุขภาพภายในบ้าน หรือโฮมทรีทเมนท์ (Home Treatment) จะใช้กันแพร่หลายมากยิ่งขึ้น ผู้ตอบแบบสอบถามกว่า 80% คาดว่า เทคโนโลยีจะช่วยให้พวกเขาจัดการสุขภาพได้ง่ายและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นซึ่งจะช่วยป้องกันโรคและช่วยให้พวกเขาใช้ชีวิตได้นานขึ้น
โดย 83% มองว่าแผนประกันสุขภาพที่ตรงกับพฤติกรรมหรือโภชนาการจะตอบโจทย์มากที่สุด 81% มองว่าจะซื้อเครื่องมือในการดูแลสุขภาพมาติดตั้งหรือนำมาใช้ที่บ้านเอง และ 80% คาดว่าจะมีระบบบันทึกข้อมูลด้านสุขภาพอิเล็กทรอนิกส์เปิดให้ใช้บริการ

<ul>
 	<li><a href="http://www.forbesthailand.com/world-detail.php?did=2640">Jessica Tan หลอมรวม Ping An Insurance สู่เทคโนโลยี</a></li>
</ul>
3 ใน 4 ของผู้ตอบแบบสอบถาม เชื่อว่า เทคโนโลยี เช่น แอพพลิเคชั่นสำหรับวินิจฉัยสุขภาพที่สามารถทำได้ด้วยตัวเองหรือที่บ้านอุปกรณ์สวมใส่ และศัลยกรรมกระดูกเทียมจะถูกนำมาใช้มากขึ้นในอนาคต
5.ร้านค้ารูปแบบเดิมจะยังมีอยู่ สิ่งที่จะเพิ่มเข้ามาคือการนำเทคโนโลยีมาเพิ่มความสะดวกในการชำระเงินและบริการต่างๆ ในร้านค้า ผู้ตอบแบบสอบถาม 84% เชื่อว่า การเปิดให้ชำระเงินผ่านโทรศัพท์มือถือ และการเพิ่มความสะดวกสบายด้านการส่งของได้ทุกที่ทุกเวลาช่วยเร่งให้อุตสาหกรรมซื้อขายสินค้าร้อนแรงมากยิ่งขึ้น
ขณะที่ 45% เชื่อว่า การพัฒนาการซื้อขายผ่านร้านค้าเสมือนจริงให้สำเร็จภายในปี 2030 ยังไกลเกินเอื้อม
หมายเหตุ: ผลการศึกษาฉบับนี้จัดทำขึ้นโดย Dassault Systèmes ผ่านระบบถาม-ตอบแบบออนไลน์ โดยผู้ตอบแบบสอบถามชาวอเมริกันกว่า 1,000 คน ระหว่างวันที่ 19 - 29 พฤศจิกายน 2018
&nbsp;

อ่านเพิ่มเติม
<ul>
 	<li><a href="http://forbesthailand.com/news-detail.php?did=2746">เทคโนโลยีเพื่อนักออกแบบ Solidworks 2019 ปล่อยฟีเจอร์ใหม่รองรับแว่น VR</a></li>
 	<li><a href="http://forbesthailand.com/world/7-%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A9%E0%B8%B1%E0%B8%97%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B9%82%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%A2%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%87.html">7 บริษัทเทคโนโลยีเด่นดัง จากการจัดอันดับ 100 บริษัทสุดยอดนวัตกรรมโลก</a></li>
</ul>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events