<h2>วัตสัน แบรนด์สุขภาพและความงามภายใต้ เอเอส วัตสัน กรุ๊ป เปิดตัวคอลเลกชันพิเศษ ‘Blue Beauty’ ภายใต้กลุ่มผลิตภัณฑ์ Naturals by Watsons โดยขวดของผลิตภัณฑ์ทํามาจากพลาสติกรีไซเคิล 100% จากมหาสมุทร เพื่อช่วยลดปัญหาการจัดการขยะที่ไม่ได้ประสิทธิภาพ เนื่องในโอกาสวันคุ้มครองโลก 22 เมษายน 2024</h2>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในแต่ละปี มหาสมุทรต้องประสบปัญหาขยะพลาสติกมากถึง 14 ล้านตัน ซึ่งเทียบเท่ากับน้ำหนักของปลาวาฬสีน้ำเงินกว่า 140,000 ตัว โดยภายในปี 2593 น้ำหนักของพลาสติกในมหาสมุทรคาดว่าจะมีน้ำหนักมากกว่าปลาที่อาศัยอยู่ โดยปัจจัยหลักของปัญหาเกิดจากการจัดการขยะที่ไม่ได้ประสิทธิภาพ ขยะพลาสติกเหล่านี้มาจากบริเวณห่างจากชายฝั่งไม่เกิน 50 กิโลเมตร ซึ่งส่งผลกระทบต่อสัตว์ทะเลอย่างน้อย 700 ชนิด และนำไปสู่การสูญเสียชีวิตของสัตว์ทะเลมากถึง 100 ล้านตัวต่อปี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;มาลีนา ไหง ประธานกรรมการบริหาร เอเอส วัตสัน&nbsp;กล่าวว่า "พลาสติกในมหาสมุทรส่งผลกระทบในวงกว้าง ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตทางทะเลหรือสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยของมนุษย์ วัตสันได้เข้าใจถึงปัญหานี้เป็นอย่างดี จึงได้นำเสนอผลิตภัณฑ์ Blue Beauty รุ่นพิเศษของ Naturals by Watsons ที่ขวดของผลิตภัณฑ์ทํามาจากพลาสติกรีไซเคิล 100% จากมหาสมุทร โดยแนวคิดนี้ถือเป็นความพยายามครั้งสำคัญของเราในการส่งเสริมความยั่งยืนอย่างไม่หยุดยั้ง ความมุ่งมั่นของเราในครั้งนี้เป็นการสนับสนุนให้ลูกค้าร่วมรณรงค์อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และส่งเสริมให้พวกเขาดูแลความสวยงามของผิวพรรณพร้อมกับดูแลโลกของเราอย่างยั่งยืนไปพร้อมๆ กัน"&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ คอลเลกชันพิเศษ ‘Blue Beauty’ ภายใต้กลุ่มผลิตภัณฑ์ Naturals by Watsons เป็นสินค้าที่จำหน่ายในตลาดฮ่องกง ไทย และไต้หวัน พร้อมวางกลยุทธ์ขยายตลาดต่อเนื่องไปยังมาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ และเพื่อเป็นการสืบเนื่องจากการบรรลุเป้าหมายของโครงการรณรงค์สิ่งแวดล้อมในครั้งก่อน ที่การซื้อผลิตภัณฑ์ Naturals by Watsons แต่ละครั้งของผู้บริโภคจะมีค่าเท่ากับการปลูกต้นไม้หนึ่งต้น ปัจจุบัน วัตสัน ประเทศไทย ได้ขยายความมุ่งมั่นด้านสิ่งแวดล้อมให้ครอบคลุมระบบนิเวศทางทะเลมากยิ่งขึ้นในปี 2567 ภายใต้ความเข้าใจถึงบทบาทสําคัญของมหาสมุทรที่มีต่อระบบนิเวศและสุขภาพของผู้คนทั่วโลก วัตสันได้ร่วมมือกับมูลนิธิรักษ์ไทยเพื่อสนับสนุนการอนุรักษ์ทางทะเล โดยทุกชิ้นของผลิตภัณฑ์ Naturals by Watsons ที่ถูกซื้อ วัตสันจะนำยอด 1 บาทต่อหนึ่งขวด ไปบริจาคให้กับโครงการทําความสะอาดขยะทะเลที่เกาะเต่าภายใต้การดำเนินงานของมูลนิธิรักษ์ไทย ที่มีเป้าหมายในการมุ่งลดมลพิษ อีกทั้งยังปกป้องสิ่งมีชีวิตในทะเล รักษาความงามและความหลากหลายทางชีวภาพของมหาสมุทรในประเทศไทย วัตสัน ประเทศไทยแสดงให้เห็นถึงพันธกิจในการดูแลและปกป้องสิ่งแวดล้อมทุกด้าน เพื่อให้มั่นใจว่าโลกจะมีสุขภาพดีขึ้นสําหรับคนรุ่นต่อไป&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;"ทุกการตัดสินใจไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือใหญ่ ล้วนมีบทบาทสําคัญในการปกป้องโลกของเราทั้งหมด ความพยายามของเราจึงนำมาสู่การเพิ่มจํานวนผลิตภัณฑ์ Sustainable Choices กว่า 9,700 รายการ ตั้งแต่ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม ไปจนถึงผลิตภัณฑ์ส่วนตัว เราทําให้ทุกคนสามารถเข้าถึงการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืนได้มากขึ้น ด้วยการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทางเลือกในชีวิตประจําวัน เราหวังว่าจะช่วยให้ลูกค้าของเราดูดี ทําดีและได้รับความรู้สึกดี ๆ ไปพร้อมกับเรา จากการดูแลโลกใบนี้" มาลีนา กล่าวเสริม เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ&nbsp;:&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/marketing/walls-x-inthanin-create-6-new-menu-together" alt="ไอศกรีมผสมเครื่องดื่ม! ‘วอลล์’ จับมือ ‘อินทนิล’ รังสรรค์ 6 เมนูแปลกใหม่คลายร้อน">ไอศกรีมผสมเครื่องดื่ม! ‘วอลล์’ จับมือ ‘อินทนิล’ รังสรรค์ 6 เมนูแปลกใหม่คลายร้อน</a>​ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

วัตสันฉลอง 'วันคุ้มครองโลก 2024' เปิดตัว Blue Beauty ขวดผลิตภัณฑ์ทำจากพลาสติกรีไซเคิลจากมหาสมุทร 100% 

<h2 class="p1">วัตสัน งัดกลยุทธ์รักษา loyalty ลูกค้า เปิดตัวโปรแกรม Watsons One Pass บัตรใบเดียวใช้สะสมแต้ม-รับส่วนลดได้ 8 ประเทศทั่วเอเชีย </h2>
พสิษฐ์ มั่นคงขันติวงศ์ ผู้จัดการทั่วไป วัตสัน ประเทศไทย เปิดเผยว่า วัตสันได้เปิดตัวโปรแกรมใหม่ Watsons One Pass ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ลูกค้าที่ถือบัตรสมาชิกวัตสันสามารถสะสมคะแนนและใช้สิทธิประโยชน์ได้ในร้านวัตสัน 8 ตลาดทั่วเอเชีย ได้แก่ ไทย จีน ฮ่องกง Macau ไต้หวัน สิงคโปร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย โดยเริ่มใช้บริการได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
“วัตถุประสงค์ของโครงการนี้สืบเนื่องมาจากการจัดทำแบบสำรวจเพื่อเจาะลึกเทรนด์การช็อปปิ้งความสวยงามกับผู้บริโภคที่เป็นสมาชิกวัตสัน 14,000 คนใน 7 ตลาดเอเชีย ซึ่งพบว่าผู้บริโภคมีการเดินทางไปยังประเทศอื่นๆ ในเอเชียประมาณ 1.7 ครั้งต่อปี ส่วนคนไทยเดินทางไปยังแหล่งท่องเที่ยวอื่นในเอเชียประมาณ 1.2 ครั้งต่อปี ประเทศที่นิยมไปคือ ฮ่องกง สิงคโปร์ และญี่ปุ่น”
พสิษฐ์ กล่าวว่า ในการทำแบบสำรวจยังพบว่า ผู้บริโภคที่เดินทางท่องเที่ยวมีการใช้จ่ายมากกว่าปกติ 50% และพบว่าผู้บริโภค 90% รู้จักวัตสันและมีแนวโน้มจะช็อปที่ร้านวัตสันในประเทศอื่นๆ นั่นจึงทำให้เราคิดว่าจะทำอย่างไรให้สมาชิกวัตสันทั้งไทยและภูมิภาคสามารถเพลิดเพลินไปกับสิทธิประโยชน์ของวัตสันได้


<figure><img class="wp-image-15112 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/08/watsons06.jpg" alt="" width="720" height="480" /><figcaption> โปรแกรม Watsons One Pass บัตรใบเดียวที่สมาชิกวัตสันใช้สะสมแต้ม-รับส่วนลดได้ 8 ประเทศทั่วเอเชีย</figcaption></figure>
สำหรับการใช้งาน Watsons One Pass ลูกค้าสามารถโชว์บัตรสมาชิกวัตสัน หรือบัตรสมาชิกอิเล็กทรอนิกส์ในแอพพลิเคชั่นวัตสัน, Virtual Card ในขั้นตอนการชำระเงิน ก็จะได้รับสิทธิประโยชน์ทั้งการสะสมคะแนนปกติ และรับส่วนลดพิเศษเมื่อซื้อสินค้าในร้านวัตสัน โดยวัตสันจะมีระบบกลางไว้แปลงเป็นค่าเงินของประเทศผู้ถือบัตรและคำนวณกลับมาเป็นคะแนนสะสม
ทั้งนี้ ปัจจุบันผู้ถือบัตรสมาชิกวัตสันในเอเชียมีอยู่ 86.1 ล้านคน เป็นชาวจีนมากสุด 65 ล้านคน ส่วนสมาชิกชาวไทยมีอยู่ประมาณ 5 ล้านคน ใกล้เคียงกับมาเลเซียและไต้หวัน โดยโปรแกรม Watsons One Pass จะทำให้วัตสันในแต่ละตลาดที่เข้าร่วมโปรแกรมสามารถเข้าถึงข้อมูลร่วมกันในบางส่วนได้
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันร้านวัตสันทำตลาดอยู่ใน 10 ประเทศในภูมิภาคเอเชีย นั่นหมายความว่ามีอีก 2 ประเทศที่ยังไม่เข้าร่วมโปรแกรมดังกล่าวคือ เวียดนาม และฟิลิปปินส์ เนื่องจากสองตลาดนี้ยังไม่พร้อมที่จะอินทิเกรตข้อมูล


<figure><img class="wp-image-15111 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/08/watsons05.jpg" alt="" width="619" height="900" /><figcaption> ผลสำรวจเพื่อเจาะลึกเทรนด์การช็อปปิ้งความสวยงามโดยวัตสัน พบว่าผู้บริโภค 90% มีแนวโน้มช็อปสินค้าที่วัตสันในประเทศอื่น</figcaption></figure>

&nbsp;
<h2 class="p1">หวังรักษา loyaty ลูกค้า ป้องกัน brand  switching</h2>
พสิษฐ์ ระบุว่า สำหรับโปรแกรมนี้วัตถุประสงค์หลักไม่ใช่ความต้องการเพิ่มยอดขาย แต่ต้องการมอบสิทธิประโยชน์แก่ลูกค้า ที่ไม่ว่าเดินทางไปไหนก็สามารถใช้สิทธิประโยชน์ของบัตรสมาชิกวัตสันได้ และเท่าที่ทราบขณะนี้เราเป็นแบรนด์แรกที่สามารถใช้บัตรสมาชิกข้ามประเทศได้
ด้าน นวลพรรณ ชัยนาม ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด วัตสัน ประเทศไทย กล่าวว่า ขณะนี้ loyalty มีความสำคัญมาก หากได้ยอดขายก็ถือว่าเป็นผลพลอยได้ แต่สิ่งที่ต้องการคือ brand love คือลูกค้ามีความรัก ความภักดี และความผูกพันต่อแบรนด์เพิ่มขึ้น ซึ่งจะสามารถป้องกัน brand switching ได้


<figure><img class=" wp-image-15110" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/08/watsons04.jpg" alt="" width="471" height="589" /><figcaption> (ซ้าย) พสิษฐ์ มั่นคงขันติวงษ์ ผู้จัดการทั่วไป (ขวา) นวลพรรณ ชัยนาม ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด วัตสัน ประเทศไทย</figcaption></figure>
“ความต้องการของเราคืออยากให้ลูกค้ามีประสบการณ์ที่ดี และมีความพึงพอใจสูงสุด เพราะถ้าลูกค้าพึงพอใจ จำนวนลูกค้าที่หายไปก็จะน้อยลง อย่างไรก็ตาม โปรแกรมนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของปัจจัยที่จะให้ความสัมพันธ์กับลูกค้าเหนียวแน่นมากขึ้น แต่ไม่ใช่ปัจจัยหลักที่จะทำให้ลูกค้าอยู่กับเราไปตลอดกาล”
นวลพรรณ ระบุอีกว่า สำหรับแนวทางการป้องกัน brand switching ของวัตสันนั้น เนื่องจากเราให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของลูกค้า และเมื่อความต้องการของลูกค้าเปลี่ยนแปลงไป เราต้องปรับตัวตาม ซึ่งสิ่งสำคัญคือความเร็วที่ต้องปรับให้เร็วเท่าลูกค้าด้วย ดังนั้นจึงเห็นเราทำทั้งอี-คอมเมิร์ซ แอพพลิเคชั่นบนมือถือ มีการเปลี่ยนแปลงหน้าร้าน ฯลฯ ก็เพื่อให้ตอบรับกับความต้องการของผู้บริโภค
<ul>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/news/marketing/%e0%b8%81%e0%b8%a5%e0%b8%a2%e0%b8%b8%e0%b8%97%e0%b8%98%e0%b9%8c-2562-%e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%95%e0%b8%aa%e0%b8%b1%e0%b8%99.html">กลยุทธ์ช่วงชิงลูกค้าสายบิวตี้ปี 2562 จาก “วัตสัน”</a></li>
</ul>
&nbsp;
<h2 class="p1">ก้าวต่อไปทำโปรเฉพาะประเทศได้</h2>
พสิษฐ์ ระบุว่า ฐานสมาชิกของวัตสันเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี จากการเปิดสาขาใหม่เพิ่มปีละประมาณ 50 สาขา โดยปัจจุบันมีสาขาในไทย 520 สาขา และภายในสิ้นปี 2562 จะมีมากกว่า 560 สาขา
“ปัจจุบันวัตสัน ประเทศไทยมีลูกค้าชาวต่างชาติประมาณ 10% เท่าที่สังเกตจากกายภาพเรามีนักท่องเที่ยวจีนเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งโปรแกรมนี้ทำให้ต่อไปเราจะทราบอย่างแน่ชัดว่านักท่องเที่ยวมาจากประเทศใด และสามารถ personalized โปรโมชันให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้”
สำหรับผลประกอบการครึ่งปี 2562 ของวัตสัน ประเทศไทย พสิษฐ์ระบุว่ารายได้มีการเติบโตในระดับ high single digit ซึ่งถือว่าเป็นไปตามเป้าหมาย ขณะที่ภาพรวมตลาดสินค้าความงามในปี 2562 นั้น มองว่ายังเติบโตได้อยู่ เนื่องจากเป็นสินค้าที่ผู้คนยังต้องใช้ในชีวิตประจำวัน
&nbsp;

อ่านเพิ่มเติม
<ul>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/news/marketing/%e0%b8%9a%e0%b8%b4%e0%b8%a7%e0%b8%95%e0%b8%b5%e0%b9%89-%e0%b8%9a%e0%b8%b8%e0%b8%9f%e0%b9%80%e0%b8%9f%e0%b8%95%e0%b9%8c-%e0%b8%9b%e0%b8%a3%e0%b8%b1%e0%b8%9a%e0%b9%82%e0%b8%a1%e0%b9%80%e0%b8%94%e0%b8%a5.html">บิวตี้ บุฟเฟต์ ปรับโมเดลร้านรับแบรนด์นอกบริษัทวางขาย กู้ชีพจรหลังธุรกิจติดลบหนักสุดในรอบ 22 ปี</a></li>
</ul>
&nbsp;

รายงานโดย กนกวรรณ มากเมฆ / Online Content Creator

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

"วัตสัน" งัดกลยุทธ์กันลูกค้าหนี ผุดโปรแกรมบัตรใบเดียวใช้ได้ทั่วเอเชีย

<h2>ปี 2562 วัตสัน ยังคงเดินหน้าขยายสาขาดึงลูกค้า โดยเปิดกลยุทธ์ปรับเปลี่ยนลูกเล่นภายในร้าน ใช้เทคโนโลยีบริการเลือกเครื่องสำอาง ผสานกับการรุกช่องทางขายออนไลน์</h2>
ตลาดร้านค้าเครื่องสำอางแบบมัลติแบรนด์มีเจ้าใหญ่ครองตลาดคือ วัตสัน ซึ่งเปิดไปมากกว่า 500 สาขาในปีที่ผ่านมา และยังคงไม่หยุดเติบโต

พสิษฐ์ มั่นคงขันติวงษ์ ผู้จัดการทั่วไป วัตสัน ประเทศไทย เปิดเผยว่าปีนี้วัตสันจะมีการลงทุน 630 ล้านบาท งบลงทุนส่วนใหญ่จะยังคงใช้ในการขยายสาขาเป็นแกนหลักในการเพิ่มยอดขายอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้เป็นการปรับปรุงสาขาเดิม และลงทุนด้านอี-คอมเมิร์ซที่วัตสันเริ่มบริการมากว่า 1 ปี

จากปีก่อนที่โต 2 ดิจิต ปีนี้วัตสันยังตั้งเป้าโต 2 ดิจิต เนื่องจากเชื่อว่ากำลังซื้อของกลุ่มตลาดความงามและสุขภาพจะยังโตสม่ำเสมอ

<figure><img class="wp-image-6920 size-full" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/04/พสิษฐ์-นวลพรรณ-วัตสัน.jpg" alt="" width="800" height="533" /><figcaption> (ซ้าย) พสิษฐ์ มั่นคงขันติวงษ์ ผู้จัดการทั่วไป (ขวา) นวลพรรณ ชัยนาม ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด วัตสัน ประเทศไทย</figcaption></figure>

โดยปีนี้ วัตสันจะเปิดตัวเพิ่ม 50 สาขา แบ่งเป็น 60% ในต่างจังหวัด และ 40% ในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และภาคกลาง และจะปรับปรุงสาขาเก่าอีก 75 สาขาตามรอบการปรับปรุงสาขาที่จะปรับทุกๆ 3-4 ปี

พสิษฐ์กล่าวว่า ร้านค้าของบริษัทจะเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 8 หรือ G8 ซึ่งจุดเด่นคือใช้เทคโนโลยีเข้ามาบริการลูกค้ามากขึ้น ทำให้ลูกค้าเลือกซื้อเครื่องสำอางได้สะดวกและง่าย

&nbsp;
<h2>วัตสัน G8 ใช้ AR ทดลองสีสัน</h2>
ร้านรุ่นใหม่เต็มรูปแบบจะเปิดตัวก่อนใน 3 สาขาคือ สยามสแควร์ ไอคอนสยาม และเดอะ มอลล์ บางกะปิ ภายในร้านมีไฮไลต์คือเครื่อง Style Me เป็นจอทัชสกรีนที่ใช้เทคโนโลยี AR (Augmented Reality) ให้ลูกค้าทดลองสีและรูปแบบเครื่องสำอางบนใบหน้าได้เสมือนจริง มีพื้นที่ Makeup Station ให้ทดลองสินค้าตัวอย่างพร้อมกระจก ไฟ เก้าอี้ และอุปกรณ์เช็ดทำความสะอาด ปิดท้ายที่ Try Me เป็นมุมสินค้าที่ติดตั้งเซ็นเซอร์ ทำให้โฆษณาที่ปรากฏบนจอตรงกับสินค้าที่ลูกค้ากำลังเลือกหยิบ

<img class="alignnone size-full wp-image-6921" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/04/Watsons-Shop-9-e1556015995372.jpg" alt="" width="800" height="533" />

นอกจากนี้ ภายในร้านยังปรับจอโฆษณาทั้งหมดเป็นดิจิทัล ทำให้การปรับเปลี่ยนโฆษณาทำได้ง่ายและมีลูกเล่นมากกว่า ติดตั้ง wi-fi ในร้าน รวมถึงมีมุม Self-Check Out ช่วยบริการด้วย

<img class="alignnone size-full wp-image-6922" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/04/วัตสัน-Style-Me-Try-Me.jpg" alt="" width="800" height="590" />

พสิษฐ์กล่าวว่า ร้านแบบใหม่จะลงทุนมากกว่าเดิมราว 2 ล้านบาทต่อสาขา แต่ละสาขาที่ลงทุนใหม่และที่ปรับปรุงจะมีการลงฟังก์ชันบริการไม่เท่ากัน แต่อย่างน้อยจะปรับจอโฆษณาทั้งหมดเป็นดิจิทัล

ด้าน นวลพรรณ ชัยนาม ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด วัตสัน ประเทศไทย อธิบายว่าเครื่องมือเหล่านี้จะทำให้ลูกค้าตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ลดเวลาการเลือกซื้อสินค้าลง มีโอกาสซื้อสูงขึ้น โดยมีการทดลองในต่างประเทศแล้วพบว่าช่วยเพิ่มยอดขายได้จริง

&nbsp;
<h2>อี-คอมเมิร์ซล็อกลูกค้า</h2>
นอกจากร้านค้าออฟไลน์แล้ว วัตสันยังคงมุ่งทำตลาดออนไลน์ควบคู่ต่อเนื่องจากปีก่อน โดยปี 2561 มียอดขายเพิ่มขึ้น 248% เทียบกับปีก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม นวลพรรณเปิดเผยว่ายังเป็นสัดส่วนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับยอดขายรวมของบริษัท

“แต่ปีนี้เรามีแผนผลักดันอีกมาก มีการลงทุนด้านดิจิทัล มีสินค้า exclusive ที่ต่างจากในร้านออฟไลน์และสินค้า Own Brand ลงขายมากกว่า 3,000 รายการ มีแผนโปรโมชัน เราให้ความสำคัญอย่างมากกับอี-คอมเมิร์ซ” นวลพรรณกล่าว

พสิษฐ์เสริมด้วยว่า เชื่อว่าอี-คอมเมิร์ซของวัตสันจะมีจุดเด่นที่สินค้าในร้านการันตีแล้วว่าเชื่อถือได้ มีโปรโมชันให้สม่ำเสมอ และสามารถใช้ระบบ click &amp; collect มารับสินค้าเองได้ที่วัตสันทุกสาขา

<figure><img class="size-full wp-image-6924" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/04/IMG_20190423_145317-e1556016630350.jpg" alt="" width="800" height="600" /><figcaption> มาส์ก Own Brand ของวัตสันที่ตั้งเป้าบุกตลาดในปีนี้</figcaption></figure>

สำหรับแผนด้านอื่นของวัตสัน ยังวางเป้าการเติบโตของยอดสมาชิกสม่ำเสมอซึ่งปกติจะเติบโต 15-18% ทุกปีตามการเปิดสาขาใหม่ โดยปีนี้วัตสันมีสมาชิกแล้ว 5 ล้านราย และลูกค้าระดับอีลีท 2 แสนราย (เป็นลูกค้าที่ใช้จ่ายกับวัตสันมากกว่า 14,000 บาทต่อปี)
<ul>
 	<li><a href="http://forbesthailand.com/people/dine-with-the-boss/ines-caldeira-%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%9E.html">Ines Caldeira ดัน L'Oreal ไทย สู่ Beauty Tech Company อันดับ 1</a></li>
 	<li><a href="http://forbesthailand.com/people/cover-story/%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%99-%E0%B8%98%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%A0%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B9%8C-%E0%B9%84%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A0%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%A8.html">สุวิน-ธัญญาภรณ์ ไกรภูเบศ มั่งคั่งอย่าง BEAUTY สวยสะพรั่งถึงหมื่นล้านใน 5 ปี</a></li>
</ul>
พสิษฐ์กล่าวว่า ด้านสินค้าภายในร้านจะมุ่งเน้น Own Brand ของวัตสันมากขึ้น จากปีก่อนพบว่าสินค้ากลุ่มนี้เติบโตถึง 20% ปีนี้จึงจะเพิ่มจำนวนสินค้ากลุ่ม Own Brand จาก 750 SKUs เป็น 900 SKUs ภายในสิ้นปี เทียบกับสินค้ารวมทั้งร้านที่มีกว่า 5,000 SKUs และจะเน้นในกลุ่มสินค้าสไตล์ญี่ปุ่นและเกาหลี ชูจุดเด่น “Mask Destination” มีมาส์กที่ตอบสนองความต้องการลูกค้าได้ครบ ทำให้ลูกค้าสามารถใช้มาส์กได้ทุกวัน

&nbsp;

Forbes Facts
<ul>
 	<li>พสิษฐ์เป็นคนไทยคนแรกที่ได้ดำรงตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปของวัตสัน ประเทศไทย ก่อนหน้านี้เขาดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ (COO) ของบริษัท และร่วมงานกับวัตสันมานาน 14 ปี</li>
 	<li>เขากล่าวว่า เทรนด์การบริการในร้านค้าทำให้แนวโน้มร้านวัตสันมีขนาดใหญ่ขึ้น จากปกติเฉลี่ย 250 ตร.ม.ต่อสาขา ปัจจุบันต้องการพื้นที่ 400-500 ตร.ม.ต่อสาขา (เฉพาะสาขาที่มีศักยภาพสูง)</li>
 	<li>สินค้ามาแรงปี 2562 คาดว่าจะเป็นกลุ่มสกินแคร์โดยเฉพาะเดิร์มสกิน และกลุ่มผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ</li>
</ul>

กลยุทธ์ช่วงชิงลูกค้าสายบิวตี้ปี 2562 จาก “วัตสัน”

เมื่อกล่าวถึงระบบ computing ที่สามารถสื่อสารกับคนได้ด้วยภาษามนุษย์ มีความคิดในการตั้งสมมติฐาน หรือเรียนรู้ได้ด้วยการสอนจากคน หลายคนอาจรู้สึกเหมือนอยู่ในภาพยนตร์แนววิทยาศาสตร์ล้ำยุค แต่ดิฉันอยากขอจะเล่าตัวอย่างสักสองสามเรื่อง เพื่อให้ท่านได้เห็นถึงศักยภาพที่มาพร้อมกับความอัจฉริยะนี้

ขอเริ่มจากตัวอย่างเรื่องการไปพบแพทย์ ที่หากผู้ป่วยคนหนึ่งตรวจพบว่าเป็นโรคมะเร็งปอด ทั้งที่ในชีวิตไม่เคยสูบบุหรี่ และไม่มีพฤติกรรมเสี่ยง โดยทั่วไปผู้ป่วยมักจะได้รับการรักษาตามอาการ แต่หากแพทย์สามารถที่จะเข้าถึงคลังข้อมูลที่รวบรวมเอาประสบการณ์การรักษาของผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลก ตลอดจนผลงานวิจัยทางการแพทย์ล่าสุดได้เพียงปลายนิ้ว แพทย์จะสามารถตั้งสมมติฐานได้ถึงความน่าจะเป็นของสาเหตุและวางแผนการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ  ซึ่งตัวอย่างนี้ไม่ได้ไกลตัวเลยและกำลังเกิดขึ้นแล้วที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ด้วยระบบ computing ที่ชื่อว่า “วัตสัน” ซึ่งได้รับการฝึกฝนจากผู้เชี่ยวชาญของศูนย์มะเร็ง Memorial Sloan-Kettering ประกอบกับการประมวลข้อมูลที่เกี่ยวข้องต่างๆ รวมถึง วารสารทางการแพทย์เกือบ 300 เรื่อง ตำราอีกกว่า 200 เล่ม และข้อมูลมากกว่า 12 ล้านหน้ากระดาษ เทคโนโลยีที่เรียนรู้ได้และมีความคิดในการวิเคราะห์จึงเป็นตัวช่วยได้เป็นอย่างดีในการสร้างมิติใหม่ทางการแพทย์

อีกกรณีหนึ่งคือ ตำรวจทางหลวงรัฐ Tennessee ตั้งพันธกิจ “Drive to Zero” ขึ้น ด้วยความมุ่งมั่นที่จะลดอัตราการสูญเสียจากอุบัติเหตุบนท้องถนนให้เป็นศูนย์ แน่นอนว่า ศูนย์ เป็นตัวเลขที่ท้าทาย โดยเฉพาะเมื่อจำนวนตำรวจทางหลวงนั้นมีอยู่อย่างจำกัด เขาจึงให้ระบบ computing เรียนรู้ประวัติการเกิดอุบัติเหตุที่ถูกบันทึกไว้ตั้งแต่อดีตจากทุกๆ หน่วยงานครอบคลุมกว่า 109,220 ตารางกิโลเมตร ประกอบกับข้อมูลอื่นๆ เช่น สภาพอากาศ กิจกรรม งานสำคัญ และสถานที่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตามใบอนุญาต เพื่อหาความสัมพันธ์ที่เป็นปัจจัยในการก่อให้เกิดอุบัติเหตุ ทำให้พวกเขาคาดการณ์ได้ล่วงหน้ากว่า 4 ชั่วโมงว่าพื้นที่ใดเป็นจุดเสี่ยงและมีความเสี่ยงจากปัจจัยใด แล้วจึงส่งกำลังตำรวจเพื่อดูแลพื้นที่นั้นเป็นพิเศษ

ตัวอย่างทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นจริงแล้วในปัจจุบันด้วยพัฒนาการของเทคโนโลยีในยุคที่เรียกว่า “ยุค cognitive” ซึ่งเป็นวิวัฒนาการของระบบ computing ที่มีความสามารถในการเรียนรู้ได้ ต่างจากเดิมที่ปฏิบัติงานตามชุดคำสั่งในยุค programming ที่เรารู้จักกันมายาวนานกว่า 60 ปี

ยุค cognitive นั้น หากจะพูดให้เห็นภาพชัดเจน ดิฉันขอยกตัวอย่าง “วัตสัน” ระบบ computing ที่ถือเป็นการบุกเบิกครั้งสำคัญในวงการเทคโนโลยี ที่ได้รับพัฒนาให้มีความสามารถในการเข้าใจภาษามนุษย์ ตั้งสมมติฐานได้ จากการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมหาศาล รวมทั้งมีความสามารถในการเรียนรู้ที่ไม่สิ้นสุดจากการปฏิสัมพันธ์กับคนและข้อมูล
นอกจากความพร้อมของเทคโนโลยีแล้วนั้น ปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของยุคนี้อย่างรวดเร็ว คงหนีไม่พ้นเรื่องของข้อมูลที่เพิ่มขึ้นอย่างท่วมท้น หลายองค์กรหยิบประเด็นเรื่องการบริหารจัดการข้อมูลเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดมาพูดถึงบ่อยครั้ง โดยองค์กรส่วนใหญ่ให้ความสำคัญเรื่องการเก็บรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่างๆ ทั้งในและนอก data center

ปัจจัยสุดท้ายคือ การที่แพลตฟอร์มคลาวด์กลายเป็นอีกแรงขับเคลื่อนสำคัญให้องค์กรธุรกิจสามารถปฏิบัติงานต่างๆ ได้เร็วและง่ายขึ้นด้วยต้นทุนที่ลดลง หรือแลกเปลี่ยนข้อมูลมหาศาลได้อย่างสะดวก รวมทั้งยังเป็นคลังสมองขนาดใหญ่ให้กับนักพัฒนาซอฟต์แวร์ที่เข้าไปต่อยอดองค์ความรู้ใหม่ๆ ในการพัฒนาแอพพลิเคชั่น คลาวด์จึงเป็นเสมือนแพลตฟอร์มแห่งโอกาสทางธุรกิจ ที่องค์กรไม่ว่าจะขนาดเล็กหรือใหญ่ก็สามารถเข้าถึงได้ ปรากฏการณ์เหล่านี้ล้วนเป็นตัวเร่งให้เกิดวิวัฒนาการสู่ “ยุค cognitive” ด้วยความเหมาะสมของสถานการณ์ ความลงตัวด้านความพร้อม และที่สำคัญคือในเวลาที่เรากำลังต้องการ

ผลลัพธ์ที่แตกต่างเมื่อคิดได้มากกว่า

cognitive ไม่ใช่เรื่องไกลตัวแล้วในวันนี้ และกำลังเป็นที่สนใจจากผู้นำมากมาย โดยผลสำรวจความคิดเห็นกลุ่มผู้บริหารระดับสูง (C-Suite) ทั่วโลกกว่า 5,000 คน จากสถาบันการศึกษาคุณค่าทางธุรกิจของไอบีเอ็ม (IBM Institute of Business Value) เผยว่าร้อยละ 95 ของผู้บริหารระดับสูงในธุรกิจประกัน ค้าปลีก และการดูแลสุขภาพ ตั้งเป้าหมายที่จะลงทุนนำเทคโนโลยี cognitive มาใช้ในอนาคตอันใกล้นี้ อีกทั้งยังมีการคาดการณ์ว่าภายในอีก 3 ปีข้างหน้า  ครึ่งหนึ่งของผู้บริโภคทั่วไปจะได้สัมผัสกับความอัจฉริยะของ cognitive ผ่านการบริการใกล้ตัวต่างๆ ในชีวิตประจำวัน

<img class="img-responsive" src="/uploads/userfiles/images/2016%2001-Jan/insight.jpg" alt="" width="661" height="502" />

<hr />

<img class="img-responsive" src="/uploads/userfiles/images/2016%2001-Jan/Untitled-1.png" alt="" width="281" height="281" />
พรรณสิรี อมาตยกุล
กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events