<h2>The 1 Insight เผย ข้อมูลการใช้จ่ายของสมาชิกในช่วงโครงการช้อปลดหย่อนภาษี Easy E-Receipt หนุน 5 สินค้าขายดีที่ผู้บริโภคนิยมซื้อจนยอดพุ่ง โดยกลุ่มคน Gen Z ตื่นตัวในเรื่องสิทธิ์การซื้อเพื่อลดหย่อนภาษีมากที่สุดส่งผลให้มีการใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้นจากปีก่อนถึง 18 % </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;The 1 Insight เผยพฤติกรรมผู้บริโภคในช่วงต้นปี 2567&nbsp;ระหว่างวันที่ 1-29 ม.ค. 2567 โดยวิเคราะห์จากฐานข้อมูลสมาชิกบัตรเครดิต เซ็นทรัล The 1 ระหว่างที่รัฐบาลได้จัดทำโครงการช้อปลดหย่อนภาษี Easy E-Receipt ซึ่งจะเห็นได้ว่า&nbsp;ในช่วง 10 วันสุดท้ายของการช้อปลดหย่อนภาษีดังกล่าว มี 5 อันดับสินค้ายอดนิยมที่ขายดีทั่วประเทศ ได้แก่&nbsp;1. เครื่องฟอกอากาศ ยอดขายเพิ่มขึ้น +98%&nbsp;2. เครื่องปรับอากาศ ยอดขายเพิ่มขึ้น&nbsp;+68%&nbsp;3. ไดร์เป่าผมและเครื่องหนีบผม&nbsp;ยอดขายเพิ่มขึ้น +56%&nbsp;4. โทรศัพท์มือถือ&nbsp;ยอดขายเพิ่มขึ้น +27%&nbsp;5. รองเท้ากีฬา&nbsp;ยอดขายเพิ่มขึ้น +20%&nbsp; <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/02/i2kphGXjukmrjZdNrrEw.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="i2kphGXjukmrjZdNrrEw.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ จากการวิเคราะห์อันดับสินค้า Top 5 ดังกล่าว จะเห็นได้ว่ามี 2 ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อผู้บริโภคในการเลือกซื้อสินค้าช่วงมกราคม 2567 ได้แก่ 1. ความจำเป็น หรือเป็นสินค้าที่ควรจะซื้อในช่วงเดือนนี้ อาทิเช่น เครื่องฟอกอากาศและเครื่องปรับอากาศ มีความสำคัญต่อหลายๆ ครอบครัวมากขึ้น เพราะวิกฤตจากมลพิษฝุ่น PM 2.5 เวียนกลับมาอีกครั้ง และ 2. ช่วงราคา โดยกลุ่มสินค้าที่มีราคาสูงกว่ากลุ่มสินค้าประเภทอื่นๆ อาจให้ความสะดวกในการซื้อเพื่อลดหย่อนภาษีมากกว่า เรียกได้ว่าใช้จ่ายเพียงไม่กี่รายการก็อาจใกล้ถึงยอดลดหย่อนภาษีสูงสุดได้ สอดคล้องกับการที่ "อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์" ขึ้นแท่นเป็นหมวดสินค้าที่ได้รับความนิยมสูงสุดในช่วงนี้ จนติดอันดับ Top 5 ถึง 4 ใน 5 อันดับเลยทีเดียว&nbsp; &nbsp; ขณะที่มุมมองของการใช้จ่ายที่แตกต่างกันในแต่ละช่วงวัย The 1 Insight เผยกลุ่มสินค้าอันดับหนึ่งที่ผู้บริโภค Gen X, Gen Y และ Gen Z เลือกซื้อแตกต่างกันไปตามไลฟ์สไตล์ ดังนี้Gen X (อายุระหว่าง 45 - 59 ปี เกิด พ.ศ. 2508 - 2522) ผู้บริหารรุ่นใหญ่ เน้น Work-Life Balance แต่ความรับผิดชอบเต็มร้อย! มียอดซื้อเติบโตสูงที่สุดในกลุ่ม "สินค้ากีฬาออกกำลังกาย" และแบรนด์ยอดนิยมได้แก่ Skechers, Nike และ AdidasGen Y (อายุระหว่าง 28 - 44 ปี เกิด พ.ศ. 2523 - 2539) Middle Management ไฟแรง เป้าหมายมีไว้พุ่งชน! เป็นกลุ่มช่วงวัยที่ยังคงให้ความสำคัญกับเรื่องของ "ภาพลักษณ์" จึงทำให้มียอดซื้อเติบโตสูงสุดในกลุ่ม "เครื่องสำอางและน้ำหอม" โดยแบรนด์ยอดนิยมได้แก่ Dior, Chanel และ NarsGen Z (อายุระหว่าง 21 - 27 ปี เกิด พ.ศ. 2540 - 2552) กลุ่มวัยเพิ่งเริ่มทำงานแต่ต้องเสียภาษี จึงมีความตื่นตัวเรื่องลดหย่อนภาษีมากเป็นอันดับ 1 อีกทั้งยังมียอดซื้อเติบโตสูงสุดในกลุ่ม "อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์" โดยแบรนด์ยอดนิยมได้แก่ Apple, Dyson และ Samsung&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ ข้อมูลจาก The 1 Insight ยังชี้ให้เห็นว่า ช่วงวัยที่ให้ความสำคัญกับการลดหย่อนภาษีมากที่สุดคือ Gen Z เพราะมียอดการใช้จ่ายเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 18% เมื่อเทียบกับปีก่อน เรียกได้ว่าสูงกว่า Gen X และ Gen Y ที่มียอดการใช้จ่ายอยู่ที่ 2% และ 6% ตามลำดับ&nbsp;สำหรับโครงการ Easy E-Receipt หรือการใช้สิทธิลดหย่อนภาษี 2567 (ยื่นแบบต้นปี 2568) ผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสามารถใช้สิทธิ์ซื้อลดหย่อนภาษีสูงสุด 50,000 บาท ตั้งแต่ 1 ม.ค. - 15 ก.พ. 67 โดยรวมถึงสินค้าและบริการในร้านค้าที่จดทะเบียน VAT มีใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบ E-Tax ไปจนถึงสินค้าในหมวดหนังสือเล่ม, E-Book และ สินค้า OTOP ต่างๆ ​​​​เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ&nbsp;:&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/hr/the-office-does-not-meet-the-needs-of-use" alt="ผลการศึกษาซิสโก้ชี้ พนักงานส่วนใหญ่เชื่อว่าออฟฟิศไม่ตอบโจทย์การใช้งานอีกต่อไป">ผลการศึกษาซิสโก้ชี้ พนักงานส่วนใหญ่เชื่อว่าออฟฟิศไม่ตอบโจทย์การใช้งานอีกต่อไป</a>​ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ช้อปลดหย่อนภาษี Easy E-Receipt หนุน Top 5 สินค้ายอดซื้อพุ่ง Gen Z ตื่นตัวสุดช้อปมากกว่าปีก่อน 18%

<h2>กรมสรรพากรเริ่มมาตรการ Easy E-Receipt รับปีใหม่ ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 50,000 บาท เริ่มตั้งแต่ 1 มกราคม - 15 กุมภาพันธ์ 2567 คาดมีเงินหมุนเวียนราวในระบบ 70,000 ล้านบาท ดันจีดีพีโต 0.18% โดยผู้มีคุณสมบัติเข้าร่วม ได้แก่ ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แต่ไม่รวมถึงห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สิทธิประโยชน์จะใช้ในการลดหย่อนภาษีประจำปี 2567 ซึ่งต้องยื่นแบบต้นปี 2568 เตือนให้คนไทยไม่ลืมวางแผนภาษีกันแต่เนิ่นๆ โดยมาตรการ Easy E-Receipt นั้นไม่จำเป็นต้องลงทะเบียน แต่ต้องมีใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์เต็มรูปแบบ (e-Tax Invoice) ร้านค้าที่เข้าร่วมจะมีสัญลักษณ์ Easy E-Receipt ควบคู่กับ e-Tax Invoice &amp; e-Receipt&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับเงื่อนไขของมาตรการ Easy E-Receipt ได้แก่ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กรณีซื้อสินค้าหรือรับบริการจากผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม จะต้องมีใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปตามมาตรา 86/4 แห่งประมวลรัษฎากรในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) พร้อมต้องระบุเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร (เลขประจำตัวประชาชน) ของผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการด้วย โดยค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการที่จะได้รับสิทธิฯ ไม่รวมถึง&nbsp; &nbsp; 1. ค่าซื้อสุรา เบียร์ และไวน์&nbsp; &nbsp; 2. ค่าซื้อยาสูบ&nbsp; &nbsp; 3.&nbsp;ค่าซื้อรถยนต์ รถจักรยานยนต์ และเรือ&nbsp; &nbsp; 4.&nbsp;ค่าน้ำมันและก๊าซสำหรับเติมยานพาหนะ&nbsp; &nbsp; 5. ค่าสาธารณูปโภค ค่าน้ำค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ และค่าอินเทอร์เน็ต&nbsp; &nbsp; 6. ค่าบริการที่มีข้อตกลงการให้บริการและผู้รับบริการสามารถใช้บริการดังกล่าวนอกเหนือจากระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 ถึงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567&nbsp; &nbsp; 7.&nbsp;ค่าเบี้ยประกันวินาศภัย &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กรณีการซื้อสินค้าหรือการรับบริการจากผู้ขายสินค้าหรือผู้ให้บริการที่ไม่เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม จะต้องมีใบรับตามมาตรา 105 แห่งประมวลรัษฎากรในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Receipt) พร้อมต้องระบุชื่อ นามสกุล และเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร (เลขประจำตัวประชาชน) ของผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการด้วย เฉพาะค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการดังต่อไปนี้&nbsp; &nbsp; 1. ค่าซื้อหนังสือ หนังสือพิมพ์ และนิตยสาร&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2. ค่าบริการหนังสือ หนังสือพิมพ์ และนิตยสารที่อยู่ในรูปของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต&nbsp; &nbsp; 3. ค่าซื้อสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ซึ่งได้ลงทะเบียนกับ กรมการพัฒนาชุมชนแล้ว &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ค่าซื้อสินค้าและค่าบริการตามข้อ 1 และ 2 เมื่อรวมกันแล้วสามารถหักลดหย่อนได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 50,000 บาท &nbsp; &nbsp; ณ ตอนนี้ห้างร้านและศูนย์การค้าหลายแห่งต่างออกมาจัดโปรโมชั่นขานรับมาตรการ&nbsp;Easy E-Receipt กันแล้ว ไม่ว่าจะกลุ่มเดอะมอลล์ เซ็นทรัล ไอคอนสยาม วันสยาม แม็คโคร โลตัส และบิ๊กซี สำหรับร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ที่พบได้ทั่วไปก็เข้าร่วม Easy E-Receipt ด้วยเช่นกัน เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/marketing/smes-in-7-eleven" alt="SMEs ขายของในเซเว่นฯ เหล่านี้ มีรายได้เท่าไหร่บ้าง?">SMEs ขายของในเซเว่นฯ เหล่านี้ มีรายได้เท่าไหร่บ้าง?</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

เปิดเงื่อนไขมาตรการ Easy E-Receipt รับปีใหม่ ลดหย่อนภาษีสูงสุด 50,000 บาท

<h2>การเสียภาษี เป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคนที่มีรายได้ แต่จะเสียมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับฐานรายได้ หากใครอยากประหยัดภาษีมากขึ้น ต้องรู้จักวางแผนเรื่องภาษี เพราะภาครัฐมีการให้สิทธิประโยชน์กับผู้มีเงินได้ทุกคนในการลดหย่อนภาษี ซึ่งในแต่ละปีอาจเปลี่ยนแปลงไป เราจึงต้องหมั่นอัปเดตสิทธิประโยชน์ทางภาษีอย่างสม่ำเสมอ เพื่อจะได้วางแผนประหยัดภาษีอย่างถูกต้องเหมาะสม</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;และก่อนจะสิ้นปีนี้ fintips by ttb อยากชวนมนุษย์เงินเดือนมาเช็กกันอีกทีว่า ปีนี้เรามีรายได้ หรือเงินเดือนเท่านี้ต้องเสียภาษีเท่าไหร่! เริ่มต้นด้วยมารู้จักวิธีคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดากันดังนี้ 1.คำนวณหาเงินได้สุทธิ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างแรกเราต้องคำนวณหาเงินได้สุทธิเพื่อนำมาใช้ในการคำนวณภาษีก่อน โดยการนำเงินได้ทั้งปี 2566 มารวมกัน แล้วหักด้วยค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน ตามสูตร เงินได้ทั้งปี - ค่าใช้จ่าย - ค่าลดหย่อน = เงินได้สุทธิ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ซึ่งเราสามารถหักค่าใช้จ่ายได้ 50% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 100,000 บาท ส่วนค่าลดหย่อน จะมีอยู่หลายรายการที่นำมาลดหย่อนได้ แต่ที่นำมาลดหย่อนได้ทันทีเลย ก็คือ ค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท และค่าประกันสังคมตามที่จ่ายจริง สูงสุด 9,000 บาท​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/12/uTxN69epupiAk7yugHQy.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="uTxN69epupiAk7yugHQy.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div> 2.คำนวณภาษีที่ต้องจ่ายแบบขั้นบันได&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ต่อมาให้นำเงินได้สุทธิมาเทียบกับอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแบบขั้นบันได โดยนำเงินได้สุทธิคูณกับอัตราภาษีแต่ละขั้น เพื่อหาว่าเราต้องจ่ายภาษีเท่าไหร่ ตามสูตร ภาษี = [(เงินได้สุทธิ - เงินได้สุทธิสูงสุดของขั้นก่อนหน้า) x อัตราภาษี ]+ ภาษีสะสมสูงสุดของขั้นก่อนหน้า&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ตัวอย่าง นายทีมีรายได้ทั้งปี 500,000 บาท ไม่มีตัวช่วยลดหย่อนเพิ่มเติมเลย สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ 100,000 บาท ค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท และค่าลดหย่อนจากประกันสังคม 9,000 บาท จะได้เงินได้สุทธิ 500,000 – 100,000 – 60,000 – 9,000 เท่ากับ 331,000 บาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จากนั้นนำเงินได้สุทธิไปเทียบอัตราภาษีแบบขั้นบันได ซึ่งจะอยู่ระหว่างฐาน 300,001 – 500,000 บาท อัตราภาษี 10% ซึ่งทำให้นายทีต้องเสียภาษี (331,000 - 300,000) x 10% + 7,500 เท่ากับ 10,600 บาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จะเห็นได้ว่า นายทีมีรายได้ทั้งปีสูงถึง 500,000 บาท แต่ถ้าไม่มีตัวช่วยลดหย่อนอื่นๆ เพิ่มเติมเลย จะทำให้นายทีต้องชำระภาษีถึง 10,600 บาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จากตัวอย่างข้างต้น มนุษย์เงินเดือนที่มีเงินเดือน 30,000 บาท 50,000 บาท และ 100,000 บาท หากไม่มีตัวช่วยลดหย่อนเพิ่มเติม จะทำให้เสียภาษี 2,050 บาท 20,600 บาท และ 122,750 บาท ตามลำดับ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/12/LTEA1ZHDq2rNaxfQMnGC.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="LTEA1ZHDq2rNaxfQMnGC.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แต่ถ้าต้องการเซฟเงินในกระเป๋าให้มากขึ้น วันนี้ ttb มีเคล็ดลับดีๆ ที่เรียกได้ว่า “ยิงปืนนัดเดียว ได้นกสองตัว” มาแนะนำ เพราะนอกจากจะได้สิทธิลดหย่อนภาษีปี 2566 ที่ช่วยให้ประหยัดภาษีขึ้นแล้ว ยังสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่ดี อย่างการลงทุนในกองทุนลดหย่อนภาษีจาก ทีทีบี ซึ่งมีให้เลือกทั้งกองทุนรวม SSF และ RMF อีกด้วย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1.SSF (Super Savings Fund) คือ กองทุนรวมเพื่อการออม สามารถลดหย่อนได้สูงสุด 30% ของรายได้ แต่ไม่เกิน 200,000 บาท โดยมีเงื่อนไขดังนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;-ต้องถือหน่วยลงทุนไม่ต่ำกว่า 10 ปี นับจากวันที่ซื้อ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;-ไม่มีขั้นต่ำในการซื้อและไม่ต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2.RMF (Retirement Mutual Fund) คือ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ สามารถลดหย่อนได้สูงสุด 30% ของรายได้ แต่ไม่เกิน 500,000 บาท โดยมีเงื่อนไขดังนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;-ไม่มีขั้นต่ำในการซื้อ แต่ต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี หรืออย่างน้อยปีเว้นปี &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;-ต้องถือหน่วยลงทุนไม่น้อยกว่า 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ซื้อครั้งแรก โดยนับเฉพาะปีที่มีการซื้อหน่วยลงทุน คือ ปีใดไม่ลงทุนจะไม่นับว่ามีการลงทุนในปีนั้น &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;-ขายได้ตอนอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์เป็นต้นไป&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ เมื่อรวมกับ กบข., กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, กองทุนสงเคราะห์ครูเอกชน, กองทุนการออมแห่งชาติ และประกันชีวิตแบบบำนาญ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/3-techniques-to-know-bfore-reduce-tax-by-krungsri-consumer" alt="3 เทคนิคควรรู้ก่อนยื่นภาษี จากกรุงศรี คอนซูมเมอร์">3 เทคนิคควรรู้ก่อนยื่นภาษี จากกรุงศรี คอนซูมเมอร์</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

มนุษย์เงินเดือนเช็กให้ชัวร์ เงินเดือนเท่านี้ เสียภาษีเท่าไหร่?

<h2>กรุงศรี คอนซูมเมอร์ ผู้ให้บริการบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล มี 3 เทคนิคดี ๆ มาแนะนำในช่วงโค้งสุดท้ายปลายปีให้เหล่าบรรดาผู้เสียภาษีเงินได้มีเวลาทบทวนและวางแผนจัดการเรื่องภาษีของตนเอง ก่อนจะเริ่มยื่นเอกสารได้ในช่วงต้นปีหน้า พ.ศ. 2567&nbsp; </h2> เทคนิคที่ 1 : วางแผนยื่น -&nbsp;รวบรวมเอกสาร -&nbsp;ลองคำนวณก่อนยื่นภาษี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;คนไทยทุกคนที่มีรายได้ถึงเกณฑ์ที่กำหนดมีหน้าที่ต้องยื่นภาษี แบ่งง่าย ๆ เป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มคนโสดที่มีรายได้เกิน 120,000 บาทต่อปี และกลุ่มคนแต่งงานแล้วที่มีรายได้เกิน 220,000 บาทต่อปี&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ก่อนยื่นภาษี แนะนำให้ลองคำนวณรายได้ที่ต้องยื่นภาษีกับโปรแกรมคำนวณภาษีที่มีหลายเว็บไซต์ให้ใช้งานได้ฟรี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ภาษีเงินได้จะจ่ายเป็นแบบขั้นบันไดและมีอัตราสูงสุดที่ 35% เช่น หากรายได้ 500,000 บาทต่อปี จะเสียภาษีรวม 27,500 บาท แบ่งเป็น 3 ช่วงรายได้ คือ 150,000 บาทแรก ไม่เสียภาษี, รายได้ 150,000 บาทถัดมา เสียภาษีในอัตรา 5% และรายได้ 200,000 บาทสุดท้ายเสียภาษีในอัตรา 10% เป็นต้น​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/12/YPo9Z8m3ZufEhEeCdDDG.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="YPo9Z8m3ZufEhEeCdDDG.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div> ​ เทคนิคที่ 2 : หารายการลดหย่อนภาษีให้มากที่สุด &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รายการลดหย่อนติดตัวที่ทุกคนมี ได้แก่ หักค่าใช้จ่ายแบบเหมา 100,000 บาท, ลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท และรายได้ส่วนแรกไม่เสียภาษีอีก 150,000 บาท &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รายการลดหย่อนใกล้ตัวถ้ามีควรใส่ให้ครบ ได้แก่ ประกันสังคม, กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, เงินบริจาค, ค่าเลี้ยงดูบิดามารดา, เลี้ยงดูบุตร, ค่าฝากครรภ์ และค่าคลอดบุตร เป็นต้น (สิทธิ์ลดหย่อนภาษีแต่ละรายการมีเพดานไม่เกินที่กำหนด)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รายการลดหย่อนเพิ่มเติมช่วยลดภาษีได้เยอะ ได้แก่ ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน, ประกันสุขภาพ, ประกันชีวิต, ประกันบำนาญ, กองทุนรวมเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว SSF, กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ RMF และกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน TESG น้องใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวเร็ว ๆ นี้ เป็นต้น แนะนำให้ทยอยซื้อสะสมไม่ต้องจ่ายเงินออกไปครั้งเดียวจำนวนมากจนกระทบสภาพคล่อง ควรศึกษาทำความเข้าใจรูปแบบและเงื่อนไขให้ดีก่อนตัดสินใจจ่ายเงินซื้อหาสิทธิ์ลดหย่อนภาษีเหล่านี้เพิ่มเติมเข้ามา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนั้น ต้องคำนวณเงินในการซื้อค่าลดหย่อนภาษีต่าง ๆ ให้ดีก่อนซื้อ เพราะหากซื้อมากเกินไปก็อาจจะเกินสิทธิ์สูงสุดที่จะลดหย่อนได้ (สิทธิ์ลดหย่อนภาษีแต่ละรายการมีเพดานไม่เกินที่กำหนด และสิทธิ์ลดหย่อนภาษีรวมจาก ประกันบำนาญ + กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ + กองทุนรวม SSF + กองทุนรวม RMF ต้องไม่เกิน 500,000 บาทอีกด้วย)​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/12/BeSp7JhAWsnidCvYaVE3.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="BeSp7JhAWsnidCvYaVE3.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"></figure></div> เทคนิคที่ 3 : ยื่นภาษีได้สะดวกและประหยัดกว่าผ่านช่องทางออนไลน์ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจุบันสามารถยื่นภาษีได้ง่ายๆ ผ่านช่องทางออนไลน์ที่ <a href="http://www.rd.go.th" style="background-color: initial; font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px; text-align: var(--bs-body-text-align);">www.rd.go.th</a> ของกรมสรรพากร เพราะสะดวก รวดเร็ว อีกทั้งระบบออนไลน์ยังช่วยเชื่อมโยงข้อมูลลดหย่อนบางรายการ (เช่น ดอกเบี้ยกู้บ้าน เงินบริจาค ประกันชีวิต เป็นต้น) ให้เปิดเผยแก่กรมสรรพากรได้โดยอัตโนมัติ ทำให้เราไม่ต้องเสียเวลาคำนวณหรือเสียเวลากรอก และช่องทางนี้ยังขยายเวลายื่นได้นานถึง 8 เมษายน 2567 สำหรับปีภาษี 2566 แต่ถ้าใครสะดวกไปยื่นภาษีที่สรรพากรเขตก็ทำได้โดยจะมีเจ้าหน้าที่ช่วยให้คำแนะนำต่างๆ ให้ด้วย แต่หากยื่นผ่านช่องทางนี้ต้องทำภายใน 31 มีนาคม 2567 เท่านั้น &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กรณีต้องจ่ายภาษีเพิ่ม สามารถทำผ่านเว็บไซต์ของกรมสรรพากรได้ทั้งแบบโอนผ่านบัญชีธนาคาร หรือสแกน QR Code และหากใครที่ต้องจ่ายภาษีเพิ่มเป็นเงินก้อนใหญ่ก็อาจเลือกจ่ายด้วยบัตรเครดิตก็ทำได้ แต่ข้อเสียคือจะไม่ได้คะแนนสะสม และอาจต้องเสียค่าธรรมเนียม 1% สำหรับบางธนาคาร หรืออาจมีบางธนาคารที่ไม่คิดค่าธรรมเนียมจึงควรศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมให้ดีก่อน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กรณีขอคืนภาษี สามารถเลือกรับเงินคืนในรูปแบบเช็ค หรือผ่าน ‘Prompt Pay’ ที่ผูกบัญชีธนาคารกับเบอร์โทรศัพท์มือถือหรือหมายเลขบัตรประชาชน หากได้รับอนุมัติ ระบบจะโอนเงินคืนเข้าบัญชีอัตโนมัติ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เมื่อยื่นภาษีแล้ว แนะนำให้จัดเก็บเอกสารที่ยื่นแล้วในซองเอกสารโดยแยกเป็นของแต่ละคนและแยกแต่ละปีโดยไม่ปะปนกัน เพราะสรรพากรสามารถขอดูเอกสารย้อนหลังได้นานถึง 5 ปี หรือหากใครจะเลือกจัดเก็บเป็นไฟล์ดิจิทัลก็ทำได้ง่ายเพียงสแกนเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าแค่เรารู้จักวางแผนให้ดี การยื่นเสียภาษีก็ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอีกต่อไปและยังสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้อย่างคุ้มค่า ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/12/BQSGsu5AXxgqkriNZbYh.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="BQSGsu5AXxgqkriNZbYh.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="2"></figure></div> เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/scb-appoints-tanapot-parksuwan-chief-wholesale-banking-officer" alt="ไทยพาณิชย์แต่งตั้ง &quot;ธนพจน์ ภาคสุวรรณ&quot; เป็นแม่ทัพขับเคลื่อนกลุ่มลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่">ไทยพาณิชย์แต่งตั้ง "ธนพจน์ ภาคสุวรรณ" เป็นแม่ทัพขับเคลื่อนกลุ่มลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>​

3 เทคนิคควรรู้ก่อนยื่นภาษี จากกรุงศรี คอนซูมเมอร์ 

จากการวิเคราะห์ สถานการณ์สิทธิเด็กในประเทศไทย กรณีศึกษาเด็กที่เสี่ยงต่อการสูญเสียผู้ปกครองและเด็กที่ไม่มีผู้ปกครองดูแล ของ มูลนิธิเด็กโสสะแห่งประเทศไทยฯ ร่วมกับคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์และสวัสดิการสังคม มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ และข้อมูลจากแผนพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ พ.ศ.2555 – 2559, คณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ พ.ศ. 2550 โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ซึ่ง "เด็กไทย" ทุก 100 คน จะมี 20 คน ที่ไม่ได้รับการเลี้ยงดูจากพ่อแม่ ด้วยสาเหตุต่างๆ เช่น
<ul class="ul1">
 	<li class="li4">มีเด็กที่สูญเสียพ่อแม่จากการเจ็บป่วย, อุบัติเหตุ, ภัยธรรมชาติ ราว 7 แสนคน</li>
 	<li class="li4">มีเด็กที่อยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการสูญเสียพ่อแม่หรือผู้ดูแลกว่า 2 แสนคน</li>
 	<li class="li4">พ่อแม่เสียชีวิตด้วยโรคเอดส์เกือบ 4 แสนคน</li>
 	<li class="li4">มีเด็กที่สูญเสียพ่อแม่จากสถานการณ์ความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เฉลี่ยวันละ 2 คน</li>
</ul>
แน่นอนว่าเด็กๆ เหล่านี้ต้องการความช่วยเหลือเพราะไม่สามารถดูแลตัวเองได้ ดังนั้น ในประเทศไทยจึงมีหลายองค์กรที่ก่อตั้งขึ้น เพื่อช่วยเหลือเด็กตามความต้องการ ในการช่วยเหลือที่แตกต่างกัน
เช่นเดียวกับมูลนิธิเด็กโสสะแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ ได้ดำเนินการช่วยเหลือเด็กไทยที่ขาดบิดา มารดา ญาติมิตร ตั้งแต่ปี 2514 ซึ่งได้นำรูปแบบการเลี้ยงดูเด็กมาจาก SOS Children’s Villages International อันเป็นต้นแบบของหมู่บ้านเด็กเอส โอ เอส ปัจจุบันมีการดำเนินการอยู่ใน 135 ประเทศทั่วโลก
รูปแบบในการเลี้ยงดูเด็กของมูลนิธิเด็กโสสะฯ คือ การเลี้ยงดูเด็กในครอบครัวทดแทนถาวรระยะยาว มีคุณแม่โสสะที่คอยดูแล มอบความรัก ความอบอุ่น ให้เด็กได้เติบโตขึ้นท่ามกลางสายสัมพันธ์ของพี่น้องในบ้าน และอยู่ร่วมกันในชุมชนหมู่บ้านเด็กที่เอื้อเฟื้อเกื้อกูลกัน อีกทั้งเด็กยังได้รับการศึกษาสูงสุดตามความสามารถ จนออกไปประกอบอาชีพและเลี้ยงดูตัวเองได้ รวมทั้งอยู่ร่วมกับสังคมได้อย่างมีความสุข
ปัจจุบันมีเด็กอยู่ในการดูแลของครอบครัวโสสะประมาณ 700 คน ในหมู่บ้านเด็กโสสะทั้ง 5 แห่งทั่วประเทศ ได้แก่ บางปู สมุทรปราการ, หาดใหญ่ สงขลา, หนองคาย, เชียงราย และภูเก็ต
มีเด็กที่ได้รับการเลี้ยงดูจากครอบครัวโสสะจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่สามารถประกอบอาชีพและเลี้ยงดูตัวเองได้กว่า 500 คน ซึ่งท่านสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารของมูลนิธิฯ หรือร่วมบริจาคได้ทางเว็บไซต์<a href="http://www.sosthailand.org"> www.sosthailand.org </a>การบริจาคทุกช่องทางของท่านจะได้รับใบเสร็จรับเงินเพื่อนำไปลดหย่อนภาษี ตามกฎหมายกำหนด
ทุกๆ การช่วยเหลือและการสนับสนุนจากท่านจะเป็นส่วนสำคัญในการช่วยเหลือสังคม วันหนึ่งในภายหน้าเด็กๆ เหล่านี้จะเติบโตขึ้นและมีบทบาทในการขับเคลื่อนสังคมต่อจากคนรุ่นเรา ดังนั้นอย่าคิดว่าไม่ใช่ภาระเราไม่ใช่ภาระใคร แต่มันคืออนาคตของชาติไทยว่าจะเป็นไปอย่างไรต่อไป .....สังคมไทยไม่ได้อยู่ในมือใคร แต่อยู่ในมือของเราทุกคน
&nbsp;
บทความโดย : มูลนิธิเด็กโสสะแห่งประเทศไทยฯ

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events