<h2>หลังมีกระแสข่าวตั้งแต่เมื่อสัปดาห์ก่อน ล่าสุดบริษัทให้เช่าพื้นที่สำนักงาน WeWork ที่มีพื้นที่ให้เช่ารวมหลายล้านตารางฟุต ให้บริการ 777 แห่งทั่วโลก ได้ยื่นขอคุ้มครองการล้มละลายตามบทที่ 11 ของศาลสหรัฐฯ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บริษัทระบุว่า การยื่นล้มละลายนั้นจำกัดอยู่ในสถานที่ของ WeWork ในสหรัฐอเมริกาและแคนาดาเท่านั้น โดยบริษัทรายงานหนี้สินว่ามีตั้งแต่ 1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ไปจนถึง 5 หมื่นล้านเหรียญ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ผมรู้สึกขอบคุณอย่างสุดซึ้งสำหรับการสนับสนุนของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทางการเงินของเรา ในขณะที่เราทำงานร่วมกันเพื่อเสริมสร้างโครงสร้างเงินทุนของบริษัท และเร่งกระบวนการนี้ผ่านข้อตกลงการสนับสนุนการปรับโครงสร้าง” David Tolley ซีอีโอของ WeWork กล่าวในการแถลงข่าว และว่า “เรายังคงมุ่งมั่นที่จะลงทุนในผลิตภัณฑ์ บริการ และทีมงานระดับโลกเพื่อสนับสนุนชุมชนของเรา”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ WeWork ถือเป็นองค์กรที่ประสบกับการล่มสลายครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกาในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยบริษัทเคยมีมูลค่ามากถึง 4.7 หมื่นล้านเหรียญในปี 2019 ซึ่งขณะนั้นเป็นการระดมทุนที่มีนักลงทุนหลักอย่าง SoftBank ของ Masayoshi Son&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ความเจ็บปวดของ WeWork เริ่มต้นอย่างชัดเจนในช่วงที่โควิดระบาด เนื่องจากบริษัทหลายแห่งยุติสัญญาการเช่ากะทันหัน อีกทั้งลูกค้าจำนวนมากยังปิดกิจการลงไปจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;WeWork เปิดตัวในตลาดผ่านการซื้อกิจการเพื่อวัตถุประสงค์พิเศษในปี 2021 แต่นับตั้งแต่นั้นมูลค่าหุ้นก็ลดลงไปราว 98% แล้ว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา บริษัทได้ทำการรวมหุ้น 1 ต่อ 40 เพื่อให้หุ้นของบริษัทกลับมาซื้อขายในราคาที่สูงกว่า 1 เหรียญ ซึ่งเป็นข้อกำหนดในการรักษารายชื่อบริษัทในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หุ้นของ WeWork ตกลงสู่ระดับต่ำสุดประมาณ 10 เซ็นต์ และมีการซื้อขายที่ประมาณ 83 เซ็นต์ ก่อนที่หุ้นจะถูกระงับการซื้อขายในวันจันทร์ที่ผ่านมา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Adam Neumann อดีตซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้งกล่าวว่าการยื่นฟ้องล้มละลายครั้งนี้เป็นเรื่องที่ “น่าผิดหวัง”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“นับเป็นเรื่องท้าทายสำหรับผมที่เฝ้าดูนอกสนามมาตั้งแต่ปี 2019 เนื่องจาก WeWork ล้มเหลวในการใช้ประโยชน์จากโปรดักต์ที่อาจจะเกี่ยวข้องกับปัจจุบันมากกว่าเมื่อก่อน” Neumann กล่าวกับ CNBC “ผมเชื่อว่าด้วยกลยุทธ์และทีมที่เหมาะสม การปรับโครงสร้างองค์กรจะช่วยให้ WeWork ประสบความสำเร็จได้”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา บริษัทกล่าวว่ากำลังเจรจาสัญญาเช่าใหม่อย่างต่อเนื่อง และจะ “อยู่ตรงนี้ต่อไป” ทั้งนี้ บริษัทมีภาระผูกพันในสัญญาเช่าระยะยาวเกือบ 1.6 หมื่นล้านเหรียญ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;WeWork ได้ว่าจ้าง Kirkland &amp; Ellis และ Cole Schotz ให้เป็นที่ปรึกษากฎหมาย ขณะที่ PJT Partners จะทำหน้าที่เป็นธนาคารเพื่อการลงทุน โดยได้รับการสนับสนุนจาก C Street Advisory Group และ Alvarez &amp; Marsal&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แปลและเรียบเรียงจาก&nbsp;<a target="_blank" href="https://www.cnbc.com/2023/11/07/wework-files-for-bankruptcy.html" alt="WeWork, once valued at $47 billion, files for bankruptcy">WeWork, once valued at $47 billion, files for bankruptcy</a> เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/asia/world/singapore-rich-unhappy" alt="“เศรษฐีสิงคโปร์” ไม่มีความสุขสุดในเอเชีย เพราะไม่มี Work-Life Balance ส่วน “เศรษฐีไทย” แฮปปี้สุด">“เศรษฐีสิงคโปร์” ไม่มีความสุขสุดในเอเชีย เพราะไม่มี Work-Life Balance ส่วน “เศรษฐีไทย” แฮปปี้สุด</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

จากบริษัทมูลค่า 4.7 หมื่นล้านเหรียญ WeWork ยื่นล้มละลายแล้ว

<h2>Sir Philip Green นักธุรกิจเจ้าของแบรนด์เสื้อผ้าชั้นนำ Topshop จะระดมทุน 534 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จากการขายร้านในย่าน Oxford Street อันโด่งดังของเขาให้กับ IKEA ซึ่งนับเป็นขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการยื่นเรื่องล้มละลายของบริษัทแม่ Arcadia Group</h2>
<figure><img class="wp-image-51001" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/09/https-specials-images.forbesimg.com-imageserve-613b8bbf13c8fa650dcd4264-Philip-Green-0x0.jpgfitscale.jpg" alt="Sir Philip Green" width="720" height="476" /><figcaption> Sir Philip Green ผู้ก่อตั้ง Arcadia Group บริษัทแม่ของแบรนด์ Topshop</figcaption></figure>

แม้ว่ามูลค่ดังกล่าวจะน้อยกว่าที่เรียกไป 582 ล้านเหรียญในเดือนพฤษภาคม แต่ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ก็นับได้ว่าดีลดังกล่าวได้มีส่วนช่วยให้ <a style="color: #008000;" href="https://www.forbes.com/profile/philip-cristina-green/?sh=6cfeb38d524c">Sir Philip</a> Green หาเงินมาชำระหนี้ จำนวนมหาศาลที่สะสมจากการค้าปลีก

การขายทรัพย์สินดังกล่าวจะทำให้ Green สามารถชำระคืนเงินกู้จำนวน 425 ล้านเหรียญให้กับ Apollo Global Management บริษัทไพรเวทอิควิตี้รายใหญ่ในสหรัฐฯ ขณะที่ส่วนที่เหลืออีก 109 ล้านเหรียญจะถูกใช้เพื่อชดเชยในส่วนของข้อเรียกร้องต่างๆ ที่ขึ้นต่ออาร์คาเดีย ซึ่งโดยรวมแล้ว คาดว่ามีมูลค่าราว 2.4 พันล้านเหรียญ ณ เดือนกรกฎาคม

อย่างไรก็ดี ในสัปดาห์ที่แล้ว Forbes รายงานว่า ได้มีการประมูลมูลค่าทรัพย์สินดังกล่าวอีกครั้ง ซึ่งก็มีโอกาสที่จะได้ราคาที่ “สูง” กว่า 425 ล้านเหรียญที่ค้างชำระอยู่

ด้านโฆษกของ IKEA ยักษ์ใหญ่ด้านเฟอร์นิเจอร์ของสวีเดนกล่าวกับ Forbes ว่า ถึงแม้จะมีการ "สำรวจ" สถานที่ใหม่ "ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ใหม่ใจกลางเมือง" แต่ขณะนี้บริษัทยังไม่มีแผนที่จะแบ่งปันแนวทางการขยายธุรกิจในขณะนี้

แม้ว่า IKEA จะเป็นร้านค้าที่มีความจำเป็นต้องให้บริการที่จอดรถแก่ลูกค้า แต่ที่ปรึกษาด้านการค้าปลีก Nick Budd อธิบายการเสนอราคาของ IKEA สำหรับอสังหาริมทรัพย์ในลอนดอนว่าเป็น "การเคลื่อนไหวที่ชาญฉลาด" และเสริมว่าห้องนี้มีพื้นที่เพียงพอสำหรับการไปรับสินค้า เช่น ต้นไม้ และจาน และร้านอาหาร 2-3 ร้าน 

อีกทั้งปัจจุบัน Nike และ Vans ซึ่งต่างมีสาขาอยู่ภายในอาคารเดียวกัน ก็ไม่จำเป็นต้องปิดให้บริการเมื่อ IKEA ย้ายเข้ามา 

นอกจากนี้ IKEA ยังมีร้านที่คล้ายคลึงกันอีกแห่ง ซึ่งมีขนาดเล็กกว่ามาก และเป็นรู้จักกันในชื่อ "สตูดิโอสำหรับการวางแผน" บนถนน Tottenham Court ในพื้นที่ที่ขึ้นชื่อเรื่องร้านเฟอร์นิเจอร์

จุดจบของถนน

<img class="alignnone wp-image-51002" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/09/https-specials-images.forbesimg.com-imageserve-613b8c9967343be9a1a70171-Largest-IKEA-Store-In-South-China-Will-Open-In-Foshan-1960x0.jpgfitscale.jpg" alt="" width="720" height="480" />

Arcadia อาณาจักรของร้านค้า 400 แห่งและพนักงาน 13,000 คน เจ้าของแบรนด์ Topshop, Topman, Miss Selfridge, Burton และ Wallis  เข้าสู่กระบวนการยื่นเรื่องล้มละลายกับศาลในสหรัฐอเมริกาในเดือนพฤศจิกายนปี 2020 

ในเดือนกรกฎาคม ได้เผยแพร่การอัปเดต โดยกล่าวว่า Arcadia จะต้องชำระเงินทั้งสิ้น 2.4 พันล้านเหรียญ รวมถึงอีก 700 ล้านเหรียญในแผนบำเหน็จบำนาญของบริษัทสำหรับอดีตพนักงานของ Arcadia

ตั้งแต่นั้นมา Teneo ผู้บริหารจัดการของ Arcadia ก็ได้ขายทรัพย์สินไปมากกว่า 820 ล้านเหรียญเพื่อชำระหนี้ รวมถึงการขายแบรนด์ดังอย่าง Topshop, Top Man, Miss Selfridge และ HIIT ให้กับเว็บไซต์ออนไลน์ ASOS ซึ่งเป็นคู่แข่งในเดือนกุมภาพันธ์ พร้อมกับการขายแบรนด์ Dorothy Perkins, Burton และ Wallis ให้กับ Boohoo ก่อนที่จะขาย Evans ให้กับ City Chic ในเดือนธันวาคม 2020

อย่างไรก็ตาม ในรายงานความคืบหน้าประจำเดือนกรกฎาคม Teneo ได้ให้คำชี้แจงว่า เงินที่ได้รับจากการขายทรัพย์สินของ Arcadia มีมูลค่าน้อยกว่าหนี้ของอาณาจักรค้าปลีกของ Sir Philip

ล่าสุด Forbes ประเมินว่า Philip และ Cristina Green มีมูลค่าทรัพย์สิน 2.4 พันล้านเหรียญ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากเงินปันผล 1.7 พันล้านเหรียญจาก Arcadia ซึ่งพวกเขาจ่ายเองในปี 2005

แปลและเรียบเรียงจากบทความ IKEA To The Rescue? The Furniture Chain May Buy Topshop Billionaire’s London Store For $500 Million โดย ชญาน์นัทช์ ธนินท์พงศ์ภัค เผยแพร่บน Forbes.com

อ่านเพิ่มเติม: <a style="color: #003300;" href="https://forbesthailand.com/world/bill-gates-เตรียมขึ้นแท่นผู้ถือห.html">Bill Gates เตรียมขึ้นแท่นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของโรงแรม Four Season</a>

IKEA จ่อซื้อร้านค้าในลอนดอนของมหาเศรษฐี Topshop ที่มูลค่า 500 ล้านเหรียญฯ

<h2 class="p1">Luckin Coffee เชนร้านกาแฟสัญชาติจีน ยื่นล้มละลาย<a style="color: #333333;" href="https://www.forbes.com/sites/palashghosh/2021/02/05/luckin-coffee-files-for-bankruptcy-seven-months-after-nasdaq-delisting/?sh=6052520c558a&amp;utm_source=FBPAGE&amp;utm_medium=social&amp;utm_content=4469496516&amp;utm_campaign=sprinklrForbes+Asia">ภายใต้มาตรา</a><a style="color: #333333;" href="https://www.forbes.com/sites/palashghosh/2021/02/05/luckin-coffee-files-for-bankruptcy-seven-months-after-nasdaq-delisting/?sh=6052520c558a&amp;utm_source=FBPAGE&amp;utm_medium=social&amp;utm_content=4469496516&amp;utm_campaign=sprinklrForbes+Asia"> 15</a> ของประมวลกฎหมายล้มละลายสหรัฐฯโดยคาดว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของร้านค้าที่ยังคงเปิดให้บริการอยู่ ทั้งยังจะช่วยให้ลูกหนี้ต่างชาติสามารถปกป้องทรัพย์สินในสหรัฐฯ ได้</h2>
<img class="alignnone wp-image-41157" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/02/960x0-2.jpg" alt="Lunkin Coffee" width="720" height="405" />
การยื่นล้มละลายครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังตลาดหุ้น Nasdaq ระงับการซื้อขายหุ้นของ Luckin Coffee เป็นระยะเวลา 7 เดือน (หรือหลังเข้าซื้อขายได้เพียง 1 ปี) ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากกรณีพบข้อมูลตกแต่งบัญชีในไตรมาสที่ 2-4 สำหรับปีงบประมาณ 2019 ที่ทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นจากความเป็นจริง 300 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
กรณีดังกล่าวทำให้ในเดือนธันวาคม 2020 ที่ผ่านมา สำนักงาน<a style="color: #333333;" href="https://www.sec.gov/news/press-release/2020-319">คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ</a> มีคำสั่งปรับเงิน Luckin จำนวน 180 ล้านเหรียญ ขณะที่<a style="color: #333333;" href="https://www.reuters.com/article/us-luckin-coffee-investigation/china-says-to-penalise-luckin-coffee-for-accounting-fraud-idUSKCN24W1XF">กระทรวงการคลังของจีน</a>ได้ลงโทษทางบริษัทด้วยการปรับเงินในมูลค่าที่ไม่ได้รับการเปิดเผย
ไม่เพียงเท่านี้ ผู้ถือหุ้นได้รวบรวมเสียงโหวตและปลด<a href="https://www.forbes.com/sites/palashghosh/2021/02/05/luckin-coffee-files-for-bankruptcy-seven-months-after-nasdaq-delisting/?sh=6052520c558a&amp;utm_source=FBPAGE&amp;utm_medium=social&amp;utm_content=4469496516&amp;utm_campaign=sprinklrForbes+Asia"> Charles Lu </a>ประธานบริษัทและผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ณ เวลานั้นออกจากตำแหน่งเช่นกัน หลังจากที่ทีมสอบสวนอิสระของบริษัทพบว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องในคดีดังกล่าว
จากที่เคยมีเป้าหมายล้ม Starbucks ในประเทศบ้านเกิด มาวันนี้ Luckin ได้พยายามเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูการดำเนินงานทางธุรกิจอย่างค่อยเป็นค่อยไป ภายหลังจากที่มีกรณีอื้อฉาวดังกล่าวออกมาในช่วงฤดูร้อนของปีที่ผ่านมา โดยในที่นี้<a style="color: #333333;" href="https://www.fool.com/investing/2021/02/04/luckin-coffees-business-is-recovering-but-continue/"> Motley Fool </a>รายงานว่า ผลประกอบการสิ้นสุด ณ เดือนกันยายน 2020 เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าร้อยละ 35.8 หรือคิดเป็นมูลค่าราว 177 ล้านเหรียญ
อย่างไรก็ดี แม้ว่าตัวเลขดังกล่าวจะสะท้อนให้เห็นถึงทิศทางที่ดียิ่งขึ้นของทางบริษัท แต่หากพิจารณาเทียบเคียงกับช่วงที่มีการรายงานยอดขายต่อปีที่เกินจริงจะมีมูลค่าแตกต่างกันมากถึงร้อยละ 500 เลยทีเดียว
ในที่นี้ Luckin ได้ปรับปรุงโครงสร้างสถานะทางการเงินด้วยการปิดสาขาที่ไม่สามารถสร้างผลกำไรได้ ขณะที่กว่าร้อยละ 23 จากทั้งหมด 4,792 สาขาที่เหลืออยู่ในปัจจุบันอยู่ภายใต้การบริหารงานของหน่วยงานที่สาม เพื่อช่วยลดภาระรายจ่ายด้านต้นทุน ขณะที่อีกร้อยละ 60 ได้กลับสู่จุดคุ้มทุนเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมา
แม้ว่าภาพรวมของบริษัท ณ เวลานี้จะยังประสบภาวะขาดทุนอยู่ แต่มีแนวโน้มเป็นไปได้ว่ายอดขายจะค่อยๆ ปรับตัวสูงขึ้นหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ผ่อนคลายลง ซึ่งทำให้ผู้คนกลับสู่หน้าร้านเพิ่มขึ้น
ล่าสุด คณะกรรมการตรวจสอบภายในพบว่า ในเดือนมีนาคม 2020 Charles Lu อดีตประธานบริษัทได้จัดตั้งกองทุน 2 แห่ง ที่ระดมทุนได้กว่า 185 ล้านเหรียญให้กับ UCAR ธุรกิจแพลตฟอร์มเรียกรถโดยสารของเขา โดยในปัจจุบัน คณะบริหารชุดใหม่ของทางบริษัทได้เรียกร้องให้คืนเงินดังกล่าว เนื่องจากการมีอยู่ของกองทุนเหล่านั้นเป็นการละเมิดกฎของผู้ถือหุ้นรายอื่นๆ
และในเดือนมกราคมที่ผ่านมา<a style="color: #008000;" href="https://www.fool.com/investing/2021/02/04/luckin-coffees-business-is-recovering-but-continue/"> Jinyi Guo </a>ซีอีโอคนใหม่ ได้ถูกตั้งข้อกล่าวหาในจดหมายที่เขียนโดย Charles Lu และ Jenny Qian อดีตซีอีโอ ซึ่งคณะผู้บริหารรายอื่นๆ ได้ถูกบังคับให้ลงนามรับรองว่า “ทุจริต ใช้อำนาจในทางที่ผิดเพื่อกำจัดผู้คัดค้าน และมีศักยภาพในการบริหารบริษัทไม่เพียงพอ"
แปลและเรียบเรียงโดย ชญาน์นัทช์ ธนินท์พงศ์ภัค จากบทความ Luckin Coffee Files For Bankruptcy Seven Months After Nasdaq Delisting เผยแพร่บน Forbes.com

อ่านเพิ่มเติม: <a style="color: #003300;" href="https://forbesthailand.com/news/other/tadashi-yanai-%e0%b9%80%e0%b8%9c%e0%b8%a2%e0%b8%a3%e0%b8%b2%e0%b8%a2%e0%b8%87%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b8%94%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b8%84%e0%b8%a7%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b8%a2%e0%b8%b1%e0%b9%88.html">Tadashi Yanai เผยรายงานด้านความยั่งยืน “ฟาสต์ รีเทลลิ่ง” ปี 64</a>

Luckin Coffee ยื่นล้มละลายในสหรัฐฯ หลังตลาดหุ้น Nasdaq  ระงับการซื้อขาย 7 เดือน

<h2 class="p2">หลังจากอยู่ในธุรกิจมากว่า 100 ปี บริษัทผู้ให้บริการรถเช่า Hertz ก็ได้ยื่นล้มละลาย นับเป็นรายล่าสุดที่ได้รับผลกระทบอย่างร้ายแรงจากวิกฤตการระบาดของไวรัสโควิด-19 หลังก่อนหน้านี้บริษัทในสหรัฐอเมริกาอย่าง J.C. Penney, J. Crew, Neiman Marcus, Gold’s Gym, Pier 1 และเครือหนังสือพิมพ์ McClatchy ต่างยื่นขอพิทักษ์ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา</h2>
โดย Hertz ให้บริการเช่ารถยนต์มาตั้งแต่ปี 1918 และรอดจากเหตุการณ์ต่างๆ มาแล้วหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (Great Depression), การหยุดผลิตรถในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และภาวะน้ำมันขึ้นราคาหลายต่อหลายครั้ง แต่วิกฤตโควิด-19 สร้างบาดแผลลึกและแรงให้บริษัทให้เช่ารถยนต์รายนี้อีกครั้ง
ทั้งนี้ การประกาศล้มละลายดังกล่าว Hertz กล่าวว่าบริษัทตั้งใจที่จะดำเนินธุรกิจไปพร้อมๆ กับการปรับโครงสร้างหนี้ และสร้างสถานะการเงินที่ดีครั้งใหม่ให้กับบริษัท
อย่างไรก็ตาม แม้มันง่ายที่จะบอกว่าวิกฤตครั้งนี้เป็นความโชคร้ายของบริษัท เช่นเดียวกับที่บริษัทอื่นๆ ต้องบาดเจ็บล้มตายเพราะผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโคโรน่า แต่ในความเป็นจริงเรื่องราวของ Hertz แตกต่างออกไป
ความล้มเหลวของ Hertz รวมถึงบริษัทอื่นๆ ส่วนหนึ่งมาจากสาเหตุความเฉื่อยและความทะนงตนของตัวเอง รวมถึงการที่พวกเขาไม่รับรู้ถึงเทรนด์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และปฏิเสธที่จะปรับรูปแบบธุรกิจของตนให้เข้ากับเทรนด์ใหม่ๆ

<ul>
 	<li>อ่านเพิ่มเติม <a href="https://forbesthailand.com/news/global/%e0%b8%a2%e0%b8%ad%e0%b8%94%e0%b8%82%e0%b8%b2%e0%b8%a2%e0%b8%94%e0%b8%b4%e0%b9%88%e0%b8%87%e0%b8%ab%e0%b8%99%e0%b8%b1%e0%b8%81-victorias-secret-%e0%b8%9b%e0%b8%b4%e0%b8%94%e0%b8%96%e0%b8%b2.html">ยอดขายดิ่งหนัก! Victoria’s Secret ปิดถาวร 250 สาขาในสหรัฐฯ-แคนาดา</a></li>
</ul>
Wall Street Journal รายงานว่า Hertz Global Holdings Inc. หนึ่งในผู้ให้บริการรถเช่ารายใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ได้ยื่นขอพิทักษ์ทรัพย์ต่อศาลล้มละลายเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยมีหนี้สินราว 1.9 หมื่นล้านเหรียญ และรถยนต์ราว 700,000 คันที่ให้บริการไม่ได้เนื่องจากไวรัสโคโรน่า
แต่ในความเป็นจริงบริษัทมีผลการดำเนินงานที่ขาดทุนมาตลอด 4 ปีที่ผ่านมา โดยในปี 2019 ขาดทุนไปถึง 58 ล้านเหรียญ เป็นการขาดทุนที่ลดลงจากในปี 2018 ที่ขาดทุนไป 225 ล้านเหรียญ ขณะที่ในไตรมาสแรกปีนี้ขาดทุนไปถึง 356 ล้านเหรียญ
ย้อนไปในเดือนมีนาคม ภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ส่งให้ Hertz ปลดพนักงานไป 12,000 คน และจะให้พักงานชั่วคราวอีก 4,000 คน ซึ่งคิดเป็น 25% ของพนักงานทั้งหมด
การดำเนินธุรกิจรถเช่านั้นมีการเดินทางเป็นปัจจัยหลัก ไม่ว่าจะเป็นการเช่ารถไปเที่ยวช่วงวันหยุดของครอบครัว, นักธุรกิจที่บินไปพบลูกค้า ก็จะใช้บริการเช่ารถจากสนามบินไปใช้ในช่วงระหว่างเยือนประเทศนั้นๆ ซึ่งเมื่อการเดินทางทางอากาศแทบจะหยุดชะงัก ความต้องการเช่ารถจึงลดลงไปอย่างมาก
จริงอยู่ที่ COVID-19 สร้างผลกระทบอย่างรุนแรงให้กับ Hertz เช่นเดียวกับธุรกิจน้อยใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับการเดินทาง แต่บริษัทเก่าแก่แห่งสหรัฐฯ รายนี้ก็บาดเจ็บมานานก่อนที่เราจะได้ยินคำว่าโคโรน่าไวรัสเสียอีก
Hertz นั้นอยู่ในตลาดรถเช่าที่มีการแข่งขันสูงอยู่แล้ว แต่เมื่อมีผู้เล่นหน้าใหม่อย่าง Uber และ Lyft เข้ามาสร้างความเปลี่ยนแปลง จึงไม่แปลกที่ธุรกิจรถเช่าแบบเดิมๆ จะถูกโจมตี
ความง่ายของการใช้แอปเรียกรถ ที่ลูกค้าไม่จำเป็นต้องไปกรอกสัญญาฉบับยาว รอรถและขับออกไปยังสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยด้วยตัวเอง เพียงแค่เปิดแอปแล้วกดเรียกคนขับให้พาไปยังจุดหมายปลายทางที่ต้องการ จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าประสบการณ์ใหม่เหล่านี้สร้างความสะดวกสบายให้ลูกค้าได้มากกว่า และกระทบต่อธุรกิจรถเช่าแบบเดิมๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ปัญหาบางอย่างของ Hertz ก็มาจากการทำร้ายตนเอง โดยบริษัทที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1918 รายนี้เพิ่งมีการปรับโครงสร้างการทำงานครั้งใหญ่ซึ่งเปลี่ยนซีอีโอไปแล้วถึง 4 คน
ทั้งนี้ การล้มละลายของ Hertz อาจสร้างผลกระทบอย่างใหญ่หลวง เพราะเป็นไปได้ว่าบริษัทอาจปลดพนักงานเพิ่มในอนาคตอีก นอกเหนือจาก 16,000 คนที่ปลดออกและให้พักงานไปแล้ว ขณะเดียวกันก็ยังมีเหตุผลที่เชื่อได้ว่าบริษัทจะลดชั่วโมงการทำงานของพนักงานที่เหลือ ส่วนคนที่ให้พักงานชั่วคราวก็จะไม่ถูกเรียกกลับมาทำงานอีก
สำหรับ Hertz นั้นซื้อและเช่ารถมาจาก General Motors และผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นๆ วิกฤตของ Hertz จึงสร้างผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อผู้ผลิตรถยนต์และซัพพลายเออร์ไปด้วย
โดย Hertz จะถูกบังคับให้ขายรถยนต์ และสิ่งนี้จะสร้างแรงกดดันให้กับตลาดรถยนต์มือสองไปด้วย ผู้คนที่กำลังตัดสินใจว่าจะขายรถยนต์ของตัวเองเพื่อนำเงินมาใช้เนื่องจากต้องตกงาน ก็อาจขายไม่ได้ราคาเท่าแต่ก่อน เพราะมีรถยนต์มือสองในตลาดมากเกินไป
อย่างไรก็ตาม หลายคนสันนิษฐานว่า Hertz น่าจะได้รับโอกาสที่จะรอดชีวิต จาก Chapter 11 ที่จะทำให้ Hertz ได้เข้าสู่กระบวนการปรับโครงสร้างหนี้
ขณะที่ Hertz กล่าวว่า “กระบวนการล้มละลายจะนำไปสู่การปรับโครงสร้างหนี้ที่จะทำให้บริษัทมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นตำแหน่งที่ดีที่สุดในของเราในอนาคต แม้กว่าจะไปถึงวันนั้นก็อาจต้องใช้เวลายาวนาน เนื่องจากต้องต้องอาศัยการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกด้วย”
&nbsp;

ที่มา
<ul>
 	<li><a href="https://www.forbes.com/sites/jackkelly/2020/05/23/hertz-files-for-bankruptcy-after-16000-employees-were-let-go-and-ceo-made-over-9-million/?utm_campaign=forbes&amp;utm_source=facebook&amp;utm_medium=social&amp;utm_term=Valerie%2F&amp;fbclid=IwAR3uGH-xNjndtPiAW7hkRkPfHFUsSAG_BQKyQXlT_Z3CONkRG1eU11ysKrs#7c22ea992bca">Hertz Files For Bankruptcy After 16,000 Employees Were Let Go And CEO Made Over $9 Million</a></li>
 	<li><a href="https://edition.cnn.com/2020/05/22/business/hertz-bankruptcy/index.html">Hertz files for bankruptcy</a></li>
</ul>
&nbsp;

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

โควิด-19 อาจเป็นแค่ปัจจัยเร่งให้ Hertz เป็นอีกบริษัทที่ประกาศล้มละลาย

<h2 class="p1">ทนพิษโควิด-19 ไม่ไหว! สายการบินแห่งชาติโคลอมเบีย “Avianca” ซึ่งเป็นสายการบินที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ในละตินอเมริกา ยื่นล้มละลายต่อศาลสหรัฐอเมริกา พร้อมขอพิทักษ์ทรัพย์</h2>
โดยสายการบิน Avianca ถือเป็นสายการบินที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ในละตินอเมริกา และเป็นสายการบินที่เก่าแก่เป็นอันดับ 2 ของโลก แต่ผลจากการระบาดของไวรัสโคโรนา ทำให้สายการบินแห่งชาติโคลอมเบียรายนี้ไร้ผู้โดยสารตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา
บริษัทระบุว่า การระบาดครั้งนี้ทำให้บริษัทสูญเสียรายได้ไปมากกว่า 80% ขณะที่ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายคงที่ (fixed costs) ที่สูง และหากไม่สามารถออกจากภาวะล้มละลายได้ Avianca ก็จะเป็นสายการบินใหญ่รายแรกที่ล่มสลายจากวิกฤตโควิด-19
ในแถลงการณ์ บริษัทระบุว่า บริษัทได้ยื่นพิทักษ์ทรัพย์ภายใต้กฎหมายล้มละลายซึ่งอยู่ภายใต้บทบัญญัติที่ 11 (Chapter 11) ต่อศาลสหรัฐฯ ซึ่งกระบวนการดังกล่าวจะทำให้บริษัทสามารถเลื่อนการชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ออกไปได้ รวมถึงให้เวลาแก่บริษัทในการปรับโครงสร้างหนี้หรือขายกิจการบางส่วน
Anko van der Werff ประธานบริหาร กล่าวว่า ความเคลื่อนไหวครั้งนี้เป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้มั่นใจว่าสายการบินที่จดทะเบียนใน New York รายนี้ยังเป็น “สายการบินที่ดีกว่า และมีประสิทธิภาพการดำเนินงานที่ดีกว่ามาเป็นเวลาหลายปี”
ทั้งนี้ เครื่องบินกว่า 140 ลำของสายการบินรายนี้ต้องหยุดบินและจอดเฉยๆ ตั้งแต่ประธานาธิบดีโคลอมเบีย Ivan Duque ประกาศปิดน่านฟ้าในเดือนมีนาคม ส่งผลให้พนักงานของสายการบินส่วนใหญ่จากทั้งหมด 20,000 คน ต้องหยุดงานแบบไม่ได้รับค่าจ้าง
ก่อนหน้านี้ สายการบินรายนี้ได้ยื่นล้มละลายในต้นทศวรรษที่ 2000 และได้รับการช่วยเหลือจากข้อตกลงที่ทำร่วมกับผู้ประกอบธุรกิจน้ำมันชาวโบลิเวียอย่าง German Efromovich ก่อนจะเติบโตอย่างรวดเร็วภายใต้การดูแลของเขา
แต่การบริหารที่ดูจะพังไม่เป็นท่าก็ทำให้หนี้สินเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ นำไปสู่การลงมติถอด Efromovich ออกจากตำแหน่งเมื่อปีที่ผ่านมา และตอนนี้สายการบินแห่งนี้ก็บริหารโดย Kingsland Holdings
ขณะที่การระบาดของไวรัสโคโรนาได้ส่งผลกระทบอย่างมากต่ออุตสาหกรรมการบินระหว่างประเทศ เนื่องจากรัฐบาลในประเทศต่างๆ ได้ออกข้อกำหนดและมาตรการที่จำกัดการเดินทาง เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของโรค
ข้อมูลจาก International Air Transport Association ระบุว่า สาเหตุดังกล่าวส่งผลให้การเดินทางโดยเครื่องบินทั่วโลกลดลงถึง 90% และคาดการณ์ว่าสายการบินในละตินอเมริกาจะสูญเสียรายได้กว่า 1.5 หมื่นล้านเหรียญในปีนี้ ซึ่งนับว่าเสียหายมากที่สุดในประวัติศาสตร์อุตสาหกรรมการบิน
&nbsp;
<ul>
 	<li>อ่านเพิ่มเติม <a href="https://forbesthailand.com/news/richard-branson-%e0%b9%80%e0%b8%94%e0%b8%b4%e0%b8%99%e0%b8%ab%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%ab%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b8%b1%e0%b8%81%e0%b8%a5%e0%b8%87%e0%b8%97%e0%b8%b8%e0%b8%99%e0%b8%a3%e0%b8%b2.html">Richard Branson เดินหน้าหานักลงทุนรายใหม่อีกครั้ง ปฏิเสธขายสายการบิน Virgin Atlantic</a></li>
</ul>
&nbsp;

แปลและเรียบเรียงจาก <a href="https://www.bbc.com/news/world-latin-america-52612335">Colombian airline Avianca files for bankruptcy in US court</a>

สายการบินแห่งชาติโคลอมเบีย "Avianca" ยื่นล้มละลาย พร้อมขอพิทักษ์ทรัพย์

<h2 class="p1">ไม่ไหวอีกราย! เชนฟาสต์แฟชั่นดังจากสหรัฐฯ Forever 21 เผยยื่นล้มละลายแล้ว เตรียมปิด 178 สาขา</h2>
Forever 21 แบรนด์เสื้อผ้าวัยรุ่นชื่อดังจากสหรัฐอเมริกา เปิดเผยเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐฯ ว่า บริษัทได้ยื่นล้มละลายแบบ Chapter 11 แล้ว (การล้มละลายแบบ Chapter 11 เป็นการยื่นเพื่อฟื้นฟูกิจการ (Re-organization) โดยการขออำนาจศาลคุ้มครองการทวงหนี้จากเจ้าหน้าหนี้ และเปิดโอกาสให้ธุรกิจสามารถฟื้นตัวได้)
เชนเสื้อผ้าดังกล่าวยังระบุอีกว่า บริษัทจะยื่นปิดสาขา 178 สาขา จากทั้งหมดที่อยู่มากกว่า 800 สาขา ขณะที่ประกาศที่แจ้งให้กับลูกค้าระบุว่า “บริษัทยังอยู่ระหว่างการตัดสินใจว่าจะปิดสาขาใดบ้างในสหรัฐฯ ซึ่งขึ้นอยู่กับผลการเจรจากับผู้ให้เช่าที่ดิน”
“อย่างไรก็ตาม เราคาดว่าสาขาจำนวนมากจะยังคงเปิดให้บริการตามปกติ และไม่คิดว่าจะมีการถอนตัวจากตลาดหลักๆ ในสหรัฐฯ” บริษัทระบุ
ทั้งนี้ ความสามารถในการถอนตัวจากการเป็นผู้เช่าและปิดสาขาด้วยค่าใช้จ่ายที่ถูกลง ถือเป็นข้อได้เปรียบสำคัญที่ค้าปลีกได้รับการกระบวนการล้มละลาย
Linda Chang รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ระบุในแถลงการณ์ว่า การยื่นล้มละลายแบบ Chapter 11 นั้นเป็น “ก้าวที่สำคัญและจำเป็นในการรักษาความปลอดภัยให้กับอนาคตของบริษัทเรา ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถปรับโครงสร้างธุรกิจและเปลี่ยนแปลงโพสิชั่นของบริษัทได้”
Forever 21 ถือเป็นแบรนด์ค้าปลีกล่าสุดที่ประสบปัญหาที่มีสาเหตุมาจากการเติบโตของช็อปปิ้งออนไลน์ ที่ทำให้ทราฟิกการเข้าห้างสรรพสินค้าแบบเดิมลดลงอย่างมาก ซึ่งทำให้ผู้ค้าปลีกเจ้าเก่าหลายรายต้องแบกภาระหนี้สินและค่าเช่าที่สูง
ในหลายปีที่ผ่านมา แม้แต่ค้าปลีกที่กิจการแข็งแกร่งก็ได้ปิดสาขาไปหลายสาขา และบางรายก็วิกฤตจนมาถึงขั้นต้องยื่นล้มละลาย
“ผู้ค้าปลีกที่พึ่งพาการกู้ยืมเพื่อนำมาขยายการเติบโตของกิจการ มักต้องเผชิญกับความเสี่ยงต่อการชะลอตัวของธุรกิจมากกว่า” Greg Portell หุ้นส่วนหลักใน A.T. Kearney บริษัทที่ปรึกษาด้านค้าปลีกและผู้บริโภค กล่าว
ขณะที่ข้อมูลจาก Coresight Research ระบุว่า ตั้งแต่ต้นปีจนถึงขณะนี้ ร้านค้าปลีกในสหรัฐฯ ประกาศปิดตัวไปแล้วมากกว่า 8,200 สาขา มากกว่าปีก่อนที่ปิดตัวไปทั้งหมด 5,589 สาขา และคาดว่าจนถึงสิ้นปี 2019 จะมีการปิดตัวแตะ 12,000 สาขาเลยทีเดียว
สำหรับค้าปลีกแฟชั่นรายนี้ก่อตั้งขึ้นในปี 1984 โดยผู้อพยพชาวเกาหลี Do Won Chang และภรรยาของเขา Jin Sook ร้านแรกของพวกเขาเป็นเพียงร้านเล็กๆ ใน Los Angeles ก่อนจะขยายเชนออกไปอย่างรวดเร็วในห้างสรรพสินค้าชานเมือง โดยสินค้าเป็นเสื้อผ้าแฟชั่นราคาไม่แพง เจาะกลุ่มสาวๆ วัยรุ่นและผู้หญิง จากนั้นก็กลายเป็นแบรนด์ฟาสต์แฟชั่นที่สมบูรณ์แบบ ด้วยการอัพเดตเสื้อผ้าใหม่ๆ อยู่เสมอ


<figure><img class="wp-image-21926 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/09/416x416.jpg" alt="" width="416" height="416" /><figcaption> Jin Sook Chang และ Do Won Chang สองสามีภรรยาผู้ก่อตั้ง (ภาพจาก forbes.com)</figcaption></figure>
“เราได้รับสินค้าใหม่ทุกวัน ขณะที่ร้านอื่นในห้างมักได้รับสินค้าใหม่ 1 หรือ 2 วันต่อสัปดาห์ ดังนั้น บอกได้เลยว่าเรามีสไตล์ใหม่ล่าสุดเสมอ” ผู้จัดการสาขาแห่งหนึ่งกล่าวเมื่อปี 2001

<ul>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/world/america/%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B8%B5%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%9E%E0%B8%A2%E0%B8%9E%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87-forbes-400-3.html">มหาเศรษฐีผู้อพยพแห่ง Forbes 400 Thomas Peterffy และ สามี-ภรรยา ผู้ก่อตั้ง Forever 21</a></li>
</ul>
ทั้งนี้ เชนค้าปลีกรายนี้มักสร้างสาขาที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ ตัวอย่างคือสาขาในใจกลาง New York อย่าง Time Square เป็นสาขาที่มีถึง 4 ชั้น มีพื้นที่รวม 90,000 ตารางฟุต และมีห้องลองมากถึง 151 ห้อง และในขณะที่ค้าปลีกหลายรายต่างเริ่มหยุดขยายสาขาของตนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ฟาสต์แฟชั่นรายนี้ได้เปิดสาขาใหม่หลายแห่งในปี 2016
อย่างไรก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้ว่าร้านค้าปลีกแบบเดิมที่เชี่ยวชาญในการขายเสื้อผ้าให้กับวัยรุ่นและวัยหนุ่มสาวต่างต้องดิ้นรนอย่างหนักในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากวัฏจักรแฟชั่นที่สั้นลงและการเปลี่ยนไปซื้อของบนโลกออนไลน์แทนห้างสรรพสินค้าของผู้ซื้อยุคใหม่
“ฟาสต์แฟชั่นและการเร่งความเร็วของซัพพลายเชนทำให้ความเสี่ยงของการทำธุรกิจนั้นรุนแรงมากขึ้น เพราะเจ้าของกิจการมีโอกาสอ่านเทรนด์ผิดพลาดเพิ่มขึ้นกว่าเดิม” Portell กล่าว
แบรนด์ค้าปลีกในสหรัฐฯ อย่าง Wet Seal, American Apparel และ Delia ต่างยื่นล้มละลายและปิดสาขาทั้งหมดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ขณะที่แบรนด์ Aeropostale ได้ยื่นล้มละลายในปี 2016 และยังเปิดดำเนินการอยู่เพียงบางสาขาเท่านั้น ส่วนแบรนด์ Charlotte Russe ก็ได้ยื่นล้มละลายในปีนี้เช่นเดียวกัน
โดยค้าปลีกหลายรายต้องเผชิญกับปัญหาหลังจากถูกซื้อโดยบริษัทเอกชนหรือกองทุนเฮดจ์ฟันด์ซึ่งทำให้ประสบภาวะหนี้ แต่ฟาสต์แฟชั่นรายนี้นั้นแตกต่างเนื่องจากเจ้าของยังเป็นผู้ก่อตั้งอยู่
สำหรับสามีภรรยา Do Won Chang และ Jin Sook นั้น Forbes ระบุว่า<a href="https://www.forbes.com/profile/do-won-jin-sook-chang/#7a653958619b">ความมั่งคั่ง</a>ของพวกเขาอยู่ที่ 3 พันล้านเหรียญ ขณะที่บริษัทมียอดจำหน่ายปีละ 3.4 พันล้านเหรียญ และมีพนักงาน 30,000 คน
&nbsp;

อ่านเพิ่มเติม
<ul>
 	<li><header class="entry-header"><a href="https://forbesthailand.com/world/america/mark-butler-%e0%b8%a1%e0%b8%ab%e0%b8%b2%e0%b9%80%e0%b8%a8%e0%b8%a3%e0%b8%a9%e0%b8%90%e0%b8%b5%e0%b9%81%e0%b8%ab%e0%b9%88%e0%b8%87%e0%b8%82%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%96%e0%b8%b9%e0%b8%81.html">Mark Butler มหาเศรษฐีแห่งของถูก</a></header></li>
</ul>
&nbsp;

แปลและเรียบเรียงจาก <a href="https://edition.cnn.com/2019/09/29/business/forever-21-bankruptcy/index.html">Forever 21 files for bankruptcy, intends to close up to 178 stores</a>

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

Forever 21 เชนฟาสต์แฟชั่นดัง ยื่นล้มละลายแล้ว เตรียมปิด 178 สาขา

<h2 class="p1">ส่อวิกฤต Ofo สตาร์ทอัพเช่าจักรยานสาธารณะชื่อดังในจีน กำลังเผชิญปัญหาสภาพคล่องภายใน ทั้งกระเเสเงินสด เเละการเลิกจ้างพนักงาน รุนเเรงถึงขั้นอาจเตรียมขอยื่นล้มละลายต่อศาล</h2>
จากรายงานของ <a href="https://www.reuters.com/article/us-ofo-bankruptcy/china-bike-sharing-firm-ofo-faces-immense-cash-crunch-ceo-vows-to-battle-on-idUSKBN1OI1R8">Reuters</a> ระบุว่า Ofo ผู้ให้บริการจักรยานให้เช่า (Bike Sharing) รายใหญ่ของจีนซึ่งเป็นบริษัทได้รับการสนับสนุนจาก Alibaba Group Holding Ltd ที่มีคู่เเข่งสำคัญอย่าง Mobike ของ Meituan Dianping กำลังประสบปัญหาอย่างหนัก จากประเด็นการชำระเงินให้กับซัพพลายเออร์ เเละในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้ใช้จำนวนมากเริ่มไม่พอใจเเละเรียกคืนเงินมัดจำจักรยาน ซึ่งสร้างความเสียหายให้บริษัทอย่างมาก
โดยอ้างถึงจดหมายของ Dai Wei ผู้ก่อตั้ง Ofo  ที่ชี้เเจงต่อพนักงานถึงปัญหาสภาพทางการเงินของบริษัทที่ได้รับแรงกดดันต่างๆ ทั้งเรื่องกระเเสเงินสด การคืนเงินของผู้ใช้ และการจ่ายดอกเบี้ยคืนให้แก่ผู้ผลิตรถจักรยาน ซึ่งผู้ก่อตั้ง Ofo เผยว่ามีหลายครั้งที่คิดถึงวิธีการเเก้ปัญหาอย่างการยุบบริษัทเเละการยื่นขอล้มละลาย

<ul>
 	<li><a href="http://forbesthailand.com/technology-detail.php?did=2086">ปั่นสู่ลู่ทางธุรกิจ: ตลาดพันล้านของ ‘บริการเช่าจักรยาน’ ในจีน</a></li>
</ul>
ช่วงเดือนที่ผ่านมา สำนักงานของ Ofoในมณฑล Jinan , Shandong  Xian และ Shaanxi ต่างปิดตัวลง ทำให้หลายคนเริ่มเห็นสัญญาณการสั่นคลอนของบริษัท เเละเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ผู้ลงทะเบียนใช้งานจักรยานสาธารณะของ Ofo กว่า 2 พันคนได้รวมตัวชุมนุมหน้าสำนักงานใหญ่ของ Ofo ในกรุงปักกิ่งเพื่อขอเงินที่อยู่ในบัญชีของบริษัทคืน
“เเม้การเติบโตของบริษัทเป็นไปอย่างยากลำบาก เเต่เราจะต้องเอาชนะให้ได้” Dai Wei ระบุ
สำหรับ Ofo เป็นสตาร์ตอัพที่ให้บริการจักรยานให้เช่า เริ่มต้นได้รับความนิยมในวิทยาเขตของมหาวิทยาลัยในกรุงปักกิ่ง และขยายไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก สร้างกระเเส Bike Sharing ให้บริษัทใหญ่ๆ หันมาทุ่มเงินหลายร้อนล้านเหรียญเพื่อเข้าตีตลาดในเมืองต่างๆ อย่างไรก็ตาม ธุรกิจ bike sharing หลายเจ้าต้องปิดกิจการเเละหลายเจ้าประสบปัญหาต่อเนื่องอย่าง Bluegogo ที่เผชิญกับความกดดันทางการเงินในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ก็ได้สิ้นสุดลงด้วยการควบรวมกิจการกับ Didi Chuxing ผู้ให้บริการรถยนต์ร่วมโดยสารรายใหญ่ของจีน

<ul>
 	<li><a href="http://www.forbesthailand.com/world-detail.php?did=1444">Didi Chuxing : ขับเคลื่อนบริการรถส่วนตัว</a></li>
</ul>
ทั้งนี้ เมื่อเดือนพฤศจิกายน Ofo อ้างว่าบริษัทมีผู้ใช้บริการจักรยานสาธารณะมากกว่า 200 ล้านคนเเล้ว เเละมีเงินผ่านการลงทะเบียนของผู้ใช้งานมากกว่า 2 หมื่นล้านหยวน อย่างไรก็ตาม หลังเกิดกรณีผู้ใช้ Ofo จำนวนมากไม่ได้รับเงินคืนตามที่ทำเรื่องไปนานกว่าสองเดือน ส่งผลให้ระบบการคืนเงินในแอปพลิเคชั่น Ofo ได้รับคำขอคืนเงินจากผู้ใช้กว่า 9.7 ล้านราย โดยทั้งหมดรอการคืนเงินรวมกันอย่างน้อย 920 ล้านหยวน
ขณะที่ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา Reuters รายงานว่า Didi Chuxing และ Alibaba's Ant Financial ในเครืออาลีบาบากรุ๊ป กำลังเจรจากับ Ofo สำหรับการซื้อกิจการร่วมกัน โดยอาจประเมินมูลค่าเริ่มต้นที่ 2 พันล้านเหรียญ ซึ่งจะทำให้ Ofo ได้ขึ้นเป็นหนึ่งในสตาร์ทอัพยูนิคอร์นของจีนทันที
&nbsp;

ที่มา
<ul>
 	<li><a href="https://www.reuters.com/article/us-ofo-bankruptcy/china-bike-sharing-firm-ofo-faces-immense-cash-crunch-ceo-vows-to-battle-on-idUSKBN1OI1R8">China bike-sharing firm Ofo faces 'immense' cash crunch, CEO vows to battle on</a></li>
 	<li><a href="https://www.ft.com/content/4e7da9b6-037c-11e9-99df-6183d3002ee1">Chinese bike-sharing start-up Ofo on verge of bankruptcy</a></li>
</ul>
ภาพ : REUTERS/Edgar Su

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events