<h2>ส่งออกรถยนต์ไทยฟื้นตัวใกล้เคียงก่อนโควิด ยอด 10 เดือนปีนี้ กว่า 9 แสนคัน มูลค่ากว่า 8 แสนล้านบาท คาดทั้งปีทะลุ 1 ล้านล้านบาท ตลาดหลักกลับมาขยายตัวดี ทั้งสหรัฐฯ ออสเตรเลีย ยุโรป อังกฤษ ปี 2567 ขึ้นฮับอีวี ขณะที่ตลาดในประเทศยังลุ้น กำลังซื้อติดหล่มหนี้ครัวเรือน ฉุดยอดขายรถกระบะวูบเกือบแสนคัน หวัง 2 เดือนสุดท้าย มอเตอร์ เอ็กซ์โปหนุน</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยถึงสถานการณ์อุตสาหกรรมยานยนต์ในเดือน ต.ค.ว่า ตั้งแต่เดือน ม.ค. – ต.ค. 2566 ไทยมีการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปรวม 927,625 คัน เพิ่มขึ้น 15.86%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่มีมูลค่า 859,350 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.52% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน คาดว่าทั้งปียอดส่งออกจะทะลุเป้าหมาย 1.05 ล้านคัน และมีมูลค่ากว่า 1 ล้านล้านบาท กลับมาฟื้นตัวใกล้เคียงกับช่วงก่อนโควิด-19​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/11/bQ1AFbPAxXfLM15Vp8p1.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="bQ1AFbPAxXfLM15Vp8p1.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0" origin-size="900,501"></figure></div> ​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“สำหรับการส่งออกรถยนต์ของไทยมีทิศทางที่ดีมาก ตลาดส่งออกหลักกลับมาขยายตัวได้ดี ทั้งสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย ยุโรป อังกฤษ รวมถึงจีน ส่วนตลาดที่ลดลง เช่น ที่เวียดนาม สะท้อนให้เห็นถึงกำลังซื้อที่ฟื้นตัวของประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะการส่งออกรถกระบะ สวนทางกับตลาดในประเทศที่กำลังซื้อไม่ค่อยดีนัก จากการที่ธนาคารเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ เนื่องจากหนี้ครัวเรือนของไทยอยู่ในระดับสูงที่ 90.6% ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น” สุรพงษ์กล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ มองว่าการส่งออกในปี 2567 มีแนวโน้มที่ดีเช่นเดียวกัน จากการที่ไทยเป็นฐานผลิตของรถยนต์ทั้งสันดาปและรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งในปีหน้าจะเริ่มมีการผลิตเพื่อส่งออกมากขึ้น ตามเงื่อนไขของมาตรการ EV 3 ปัจจุบันไทยเป็นผู้ผลิตรถยนต์อันดับ 10 ของโลก และเป็นผู้ส่งออก 1 ใน 10 ของโลก โดย 35 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีการส่งออกรถยนต์ไปแล้วกว่า 17.5 ล้านคัน ตลาดในประเทศยังลุ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับการผลิตรถยนต์ในช่วง 10 เดือน มีจำนวน 1,544705 คัน เพิ่มขึ้น 0.65% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งการผลิตเพื่อขายในประเทศลดลง 7.51% โดย ส.อ.ท.ได้ปรับเป้าหมายยอดขายจาก 9 แสนคัน เหลือ 8 แสนคัน จากยอดขายรถกระบะที่ลดลง 29.75% หรือหายไปเกือบ 1 แสนคัน จากการที่สถาบันการเงินเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อ จากปัญหาหนี้ครัวเรือนของไทยที่อยู่ในระดับสูง และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจากเดิมอยู่ที่ 0.25% ปัจจุบันอยู่ที่ 2.5%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยยอดจำหน่ายรถยนต์ในประเทศช่วง 10 เดือนหากแบ่งตามประเภทเชื้อเพลิง รถยนต์สันดาปลดลง 19.15% รถยนต์ไฟฟ้า (BEV) เพิ่มขึ้น 702% รถ PHEV ลดลง 13.66% และรถ HEV เพิ่มขึ้น 44.67% <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/11/p3UWV7wKoxDkfeyLCBdi.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="p3UWV7wKoxDkfeyLCBdi.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1" origin-size="900,503"></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยรถ HEV ที่เพิ่มขึ้น เพราะค่ายรถยนต์ได้มีการปรับราคาให้เข้าถึงได้มากขึ้น ทำให้ผู้บริโภคหันมาซื้อรถ HEV เพราะผู้บริโภคส่วนหนึ่งยังมีความกังวลกับการใช้รถ BEV ในเรื่องของสถานีชาร์จที่ยังมีจำนวนไม่มาก และอาจส่งผลกระทบต่อการเดินทางท่องเที่ยวระยะไกล&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน ยอดผลิตรถยนต์สันดาปคิดเป็นสัดส่วน 77% จากตลาดรถยนต์รวม ลดลงอย่างมากจากปี 2565 ที่มีสัดส่วนอยู่ที่ 85% และแนวโน้มปี 2567 ยอดผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้น ตามมาตรการ EV 3 ที่กำหนดให้ค่ายรถยนต์ที่นำเข้ารถยนต์ไฟฟ้ามาจำหน่ายต้องผลิตภายในประเทศ ยอดรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มต่อเนื่อง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่ยอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าใหม่ (ป้ายแดง) ในประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเดือน ต.ค. มีจำนวน 7,628 คัน เพิ่มขึ้น 527% รวม 10 เดือน มีรถยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนใหม่ 57,628 คัน เพิ่มขึ้น 717% ทำให้ยอดรถยนต์ไฟฟ้าสะสม ณ สิ้นเดือน ต.ค. แบ่งตามประเภทต่างๆ ดังนี้ รถยนต์นั่ง BEV 70,927 คัน เพิ่มขึ้น 543% รถยนต์นั่ง HEV 320,886 คัน เพิ่มขึ้น 33% รถยนต์นั่ง PHEV 52,609 คัน เพิ่มขึ้น 29%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วนรถประเภทอื่น ๆ เช่น รถกระบะ BEV มีจำนวน 202 คัน รถจักรยานยนต์ BEV 34,248 คัน รถสามล้อไฟฟ้า 770 คัน รถบรรทุก 281 คัน เป็นต้น​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/11/xguf9XxaPbaaWTyyrCDY.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="xguf9XxaPbaaWTyyrCDY.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="2" origin-size="900,504"></figure></div> ​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ประเทศไทยยังมีรถไฮโดรเจนของค่ายโตโยต้าที่นำมาทดลองอีก 2 คัน ซึ่งในอนาคตหากมีการพัฒนาพลังงานไฮโดรเจนมากขึ้น และมีราคาลดลง เชื่อว่ารถยนต์ไฮโดรเจนจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของรถพลังงานสะอาดที่สามารถใช้เดินทางได้ในระยะทางที่ไกลกว่ารถยนต์ที่ใช้แบตเตอรี่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“รัฐบาลหลายชุดที่ผ่านมา มีส่วนสนับสนุนให้อุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศไทยเติบโต นับตั้งแต่ปี 2503 เป็นต้นมา ปัจจุบันไทยเป็นฐานผลิตรถยนต์สันดาป และฐานผลิตของรถอีวีในภูมิภาคนี้ ที่มีข่าวว่ารัฐบาลกำลังเจรจากับเทสลาเพื่อให้มาลงทุนในประเทศไทย ถ้าเป็นไปได้จะทำให้ไทยมีโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอันดับ 1 และ 2 ของโลก คือเทสลา และบีวายดี และดึงการลงทุนชิ้นส่วนต่างๆ ตามมาอีกมาก ทำให้การลงทุนในประเทศไทยขยายตัวขึ้นได้” สุรพงษ์กล่าว ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/11/KrALy5ViBKYnpH2NrkTZ.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="KrALy5ViBKYnpH2NrkTZ.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="3" origin-size="900,600"></figure></div> ​ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/motoring/krungsri-auto-game-2024" alt="ตลาดสินเชื่อยานยนต์ปี 2567 G.A.M.E. ใหม่ของ “กรุงศรี ออโต้”">ตลาดสินเชื่อยานยนต์ปี 2567 G.A.M.E. ใหม่ของ “กรุงศรี ออโต้”</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ส่งออกรถยนต์ฟื้น 1 ล้านล้านบาท ส่วนในประเทศยังลุ้น หลังกำลังซื้อติดหล่มหนี้ครัวเรือน

<h2>Toyota ประกาศปิดตำนานกว่า 43 ปี ยุติขายรถ Camry ในตลาดญี่ปุ่น หลังยอดขายปี 2022 ต่ำกว่า 6,000 คัน แต่ยังคงจำหน่ายในตลาดต่างประเทศต่อไป เพราะสหรัฐ จีน และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงนิยมรถรุ่นดังกล่าว</h2><h2> </h2>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บริษัท Toyota Motor ได้ประกาศเตรียมแผนยุติการจำหน่ายรถยนต์รุ่น Camry ในตลาดญี่ปุ่น หลังจากเปิดขายมากว่า 43 ปี ซึ่งได้แจ้งตัวแทนจำหน่ายในญี่ปุ่นแล้วว่าจะยุติการผลิต Camry สำหรับลูกค้าในประเทศภายในสิ้นปี 2023 นี้ แต่จะยังดำเนินการผลิตเพื่อการส่งออกจำหน่ายในต่างประเทศต่อไป&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การขายรถรุ่น Camry ในประเทศญี่ปุ่นจะสิ้นสุดลงเป็นระยะ และ Toyota ได้หยุดรับคำสั่งซื้อใหม่เกือบทั้งหมดแล้ว ซึ่งรถ Camry รุ่นใหม่ที่กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาจะจัดจำหน่ายเฉพาะในตลาดต่างประเทศเท่านั้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับเหตุผลในการประกาศยุติการจำหน่ายรถ Camry ในญี่ปุ่น มาจากยอดจำหน่ายที่น้อยกว่า 6,000 คันในปีที่แล้ว เนื่องจากขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ในการผลิตรถรุ่นดังกล่าว อีกทั้งรถ SUV และรถ Mini Van ได้รับความนิยมมากขึ้นเพื่อทดแทนความต้องการรถเก๋งซีดาน ซึ่งในปี 2022 ที่ผ่านมานั้น ทาง Nissan Motor เอง ยังได้ยุติการผลิตรถรุ่น Fuga ขณะที่ Honda Motor ได้ยุติการผลิตรุ่น Legend เช่นกัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ รถเก๋งซีดานแบบ 4 ประตูส่วนใหญ่ของ Toyota เช่นรุ่น Corolla และ Camry จะผลิตในสหรัฐอเมริกา จีน และโรงงาน Tsutsumi ในจังหวัดไอจิ ประเทศญี่ปุ่น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยรถรุ่น Camry ถือเป็นรถยนต์เชิงกลยุทธ์ระดับโลกของ Toyota ซึ่งชื่อ Camry มาจากคำในภาษาญี่ปุ่นที่แปลว่า “มงกุฎ”&nbsp;ยอดจำหน่ายรถรุ่น Camry ในญี่ปุ่นนับตั้งแต่เปิดตัวในปี 1980 มีอยู่ราว 1.3 ล้านคัน ซึ่งราคารถซีดานที่จำหน่ายในญี่ปุ่นนั้นจะมีราคาระหว่าง 3.49-4.68 ล้านเยน หรือราว 26,400-35,450 เหรียญสหรัฐฯ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะเดียวกันรถรุ่นนี้ได้จำหน่ายไปยังกว่า 100 ประเทศ โดยมียอดซื้อสะสมมากกว่า 21 ล้านคันจนถึงสิ้นปี 2565 อ้างอิงจากข้อมูลของ MarkLines ผู้ให้บริการข้อมูลรถยนต์ของ Toyota <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/03/jwXUGPRvVzGvCESi5GZB.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="jwXUGPRvVzGvCESi5GZB.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม Camry ได้รับความนิยมเป็นพิเศษในสหรัฐอเมริกา ซึ่งมียอดขายมากกว่า 13 ล้านคัน ผู้บริโภคชาวอเมริกันชื่นชอบ Camry ในด้านความน่าเชื่อถือ ความสะดวกในการใช้งาน และการตกแต่งภายในที่กว้างขวาง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Camry ได้รับการจัดอันดับให้เป็นรถยนต์นั่งที่มียอดขายสูงสุดในสหรัฐอเมริกาเป็นเวลา 15 ปีติดต่อกันจนถึงปี 2016 Camry เป็นที่รู้จักในฐานะรุ่นยอดนิยมเนื่องจากมีมูลค่าการขายต่อที่ค่อนข้างสูงในตลาดรถยนต์มือสอง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในประเทศจีนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ Camry ถูกมองว่าเป็นรถยนต์ที่เปี่ยมไปด้วยแรงบันดาลใจสำหรับภาพลักษณ์ระดับไฮเอนด์&nbsp; &nbsp; อย่างไรก็ตาม แม้ว่ารถ Toyota รุ่น RAV4 จะคว้ายอดขายในสหรัฐอเมริกาแซงหน้า Camry ในปี 2017 เนื่องจากรถยนต์อเนกประสงค์แบบสปอร์ตได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ Camry ยังคงมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากยอดขายรถซีดานทั่วโลกในปีที่แล้วมีจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 600,000 คัน อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://www.forbesthailand.com/news/marketing/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B8%99-%E0%B8%98%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%99-%E0%B9%80%E0%B8%9C%E0%B8%A2-3-%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A-%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B9%8C%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%87-%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B9%83%E0%B8%88-%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B9%82%E0%B8%95" alt="วันเดอร์แมน ธอมสัน เผย 3 อันดับแบรนด์ดังสร้างแรงบันดาลใจหนุนธุรกิจเติบโต">วันเดอร์แมน ธอมสัน เผย 3 อันดับแบรนด์ดังสร้างแรงบันดาลใจหนุนธุรกิจเติบโต</a>​<hr class="__se__solid">​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

 Toyota ประกาศปิดตำนานกว่า 43 ปี ยุติขายรถ Camry ในตลาดญี่ปุ่น

<h2 class="p1">Ford ประกาศ ลดพนักงาน 7,000 คนทั่วโลก หรือคิดเป็นราว 10% ซึ่ง Ford ระบุว่านี่เป็นหนึ่งในมาตรการลดค่าใช้จ่าย ซึ่งจะช่วยประหยัดเงินได้ปีละ 600 ล้านเหรียญสหรัฐฯ</h2>
ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของโลกจากสหรัฐฯ ระบุว่า Ford ประกาศ ลดพนักงาน โดยเริ่มแจ้งถึงมาตรการดังกล่าวให้พนักงานทราบ และกระบวนการปลดคนจะเสร็จสมบูรณ์ภายในสิ้นเดือนสิงหาคมนี้ โดยในจำนวนนี้เป็นการปลดคนราว 2,400 ตำแหน่งในอเมริกาเหนือ และประมาณ 1,500 ตำแหน่งเป็นการปลดโดยสมัครใจ
Jim Hackett ซีอีโอ Ford ระบุในประกาศที่แจ้งกับพนักงานว่า นอกเหนือจากความต้องการลดต้นทุน ความเคลื่อนไหวครั้งนี้เป็นความพยายามเพื่อลดระบบราชการภายในบริษัท และปรับให้โครงสร้างการบริหารงานเป็นแบบราบยิ่งขึ้น
การปรับลดพนักงานของ Ford ในครั้งนี้คล้ายกับการ ลดพนักงาน ของ General Motors ที่ประกาศเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมา โดย General Motors นั้นหั่นพนักงานออฟฟิศและพนักงานสัญญาจ้างออกไป 8,000 คน และประกาศปิดโรงงาน 5 แห่งในอเมริกาเหนืออีกด้วย

<ul>
 	<li>คลิกอ่าน <a href="https://forbesthailand.com/news/motoring/gm-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%8D.html">GM ปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ ปลดพนักงาน 15% ปิดโรงงาน 8 แห่ง มุ่งพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า-รถยนต์ไร้คนขับ</a></li>
</ul>
ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา Ford ปลดพนักงานมาแล้วหลายครั้ง รวมถึงการปิดโรงงาน 1 แห่งในยุโรปเมื่อเดือนมกราคม และประกาศปิดโรงงาน 3 แห่งในรัสเซียเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ โดยคาดว่าจะต้องใช้เงินจำนวนมหาศาลในการลดพนักงานหลายพันตำแหน่งทั่วโลก
ทั้งนี้ Ford กำลังเผชิญกับความท้าทายระดับโลก หลังไตรมาสสุดท้ายของปีก่อน ยอดขายในประเทศหรือในอเมริกาเหนือ ซึ่งเป็นตลาดที่แข็งแกร่งที่สุดของบริษัทนั้นทำรายได้และมีกำไรเพิ่มขึ้น แต่ยอดขายและกำไรในตลาดต่างประเทศอย่างอเมริกาใต้ เอเชีย และยุโรป กลับไม่เป็นในทิศทางเดียวกัน ซึ่งมีส่วนสำคัญในการกระตุ้นให้เกิดการปรับโครงสร้างของบริษัท
<img class="alignnone wp-image-3996 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/01/ford.jpg" alt="Ford ลดพนักงาน" width="900" height="480" />
แรงกดดันอย่างหนักที่ Ford ต้องเผชิญนั้นมาจากเรื่องผลกำไรที่ลดลง ขณะที่ต้นทุนบางอย่างกลับเพิ่มขึ้น เช่น เหล็กและอะลูมิเนียม ที่เพิ่มขึ้นราวปีละ 1 พันล้านเหรียญ หลังจากมีการเก็บภาษีศุลกากรสำหรับสินค้าเหล่านี้ และแม้ว่าวัตถุดิบส่วนใหญ่จะมาจากในประเทศ แต่ผู้บริหารของ Ford ก็ระบุว่า ความพยายามในการปรับโครงสร้างบริษัทนั้นไม่ได้เป็นเพียงมาตรการระยะสั้นเพื่อแก้ไขปัญหาต้นทุน แต่เป็นส่วนหนึ่งของแผนระยะยาว

<ul>
 	<li>คลิกอ่าน <a href="https://forbesthailand.com/news/motoring/no-deal-brexit-%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89-ford-%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%88%E0%B9%88%E0%B8%B2.html">No-deal Brexit อาจทำให้ Ford มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นถึง 1 พันล้านเหรียญ</a></li>
</ul>
Ford ถือเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่รายหนึ่งของโลกที่มีมูลค่าราว 4.1 หมื่นล้านเหรียญ ซึ่งมากกว่าผู้ผลิตรถยนต์ที่ไม่ค่อยมีกำไรอย่าง Tesla เพียงเล็กน้อยเท่านั้น และน้อยกว่า Uber ราว 40% หลัง Uber เพิ่งเข้าตลาดหลักทรัพย์เมื่อไม่นานมานี้
นอกจากนี้ Ford ยังต้องเผชิญกับแรงกดดันมากมายในการเตรียมตัวสำหรับอนาคต หลังผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ต่างพากันซื้อเทคโนโลยีใหม่ และวางแผนเข้าสู่โลกแห่งรถยนต์ไร้คนขับอย่างเต็มตัว รวมไปถึงบริษัทเทคโนโลยีหลายรายที่ก้าวเข้ามาเป็นคู่แข่งในตลาดรถยนต์ด้วย เช่น Tesla และ Waymo ของบริษัท Alphabet ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Google
Michelle Krebs นักวิเคราะห์อาวุโสจาก Cox Automotive ระบุว่า นอกจาก Ford และ General Motors แล้ว เชื่อว่าผู้ผลิตรถยนต์ทุกรายก็กำลังมองหาแนวทางที่จะทำแบบนี้เหมือนกัน สิ่งที่น่าหนักใจคือนอกจากพวกเขาต้องหาทางประคองธุรกิจในปัจจุบันให้ได้ และพวกเขายังต้องหาเงินไว้สำหรับธุรกิจในอนาคตด้วย ซึ่งปัญหาคือไม่มีใครรู้ว่าธุรกิจในอนาคตนั้นต้องใช้เงินเท่าไร
Krebs กล่าวอีกว่า ผู้ผลิตรถยนต์หลายรายยังต้องเตรียมตัวรับมือกับยอดขายที่ลดลง รวมถึงเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวด้วย โดยยอดขายไตรมาสแรกของ Ford ทั่วโลกลดลง 14% ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มรถซีดานดั้งเดิมจากสหรัฐฯ ที่ลดลงไปมาก
ขณะที่ Ford เองก็เหมือนผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นๆ ที่มุ่งเน้นไปที่รถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ไร้คนขับ โดย Ford กำลังมองหาพันธมิตรใหม่ในการปรับโครงสร้างของธุรกิจ ซึ่งก่อนหน้านี้บริษัทได้ร่วมมือกับ Volkswagen ในการพัฒนาโปรดักต์ใหม่ๆ และยังประกาศลงทุน 500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในบริษัท Rivian ซึ่งวางแผนเปิดตัวรถบรรทุกขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าในปีหน้า
&nbsp;

แปลและเรียบเรียงโดย กนกวรรณ มากเมฆ / Online Content Creator

&nbsp;

ที่มา
<ul>
 	<li><a href="https://edition.cnn.com/2019/05/20/business/ford-layoffs/index.html">Ford will cut 7,000 white-collar jobs</a></li>
</ul>

ปรับโครงสร้างครั้งใหญ่! Ford ประกาศ "ลดพนักงาน" 7,000 คนทั่วโลก

<h2>General Motors ย้ำเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาว่า บริษัทจะไม่เปลี่ยนการตัดสินใจปิดโรงงานในเมือง Lordstown รัฐ Ohio แม้ว่า Donald Trump จะส่งข้อความกดดันผ่าน Twitter โดยบริษัทให้เหตุผลถึงการปิดโรงงานว่าเกิดจากปัญหารถยนต์ Chevy รุ่น Cruze ที่ผลิตในโรงงานดังกล่าวมียอดขายตกต่ำในสหรัฐฯ</h2>
แปลและเรียบเรียงจาก <a href="https://www.forbes.com/sites/davidkiley5/2019/03/18/gm-shuns-trump-tweets-about-ohio-plant-closure/#2c3c317293cd">GM Tries To Fend Off Trump Tweets About Ohio Plant Closure</a> โดย David Kiley คอลัมนิสต์ด้านยานยนต์ ตีพิมพ์ครั้งแรกใน Forbes.com

ประธานาธิบดี Donald Trump ทวีตข้อความบน Twitter ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาเช่นเคย โดย Trump โจมตีทั้ง GM, อดีตวุฒิสมาชิก John McCain, พรรคเดโมแครต, ที่ปรึกษาพิเศษ Robert Mueller ไปจนถึงสื่อมวลชนอื่นๆ ยกเว้น Fox News

ในกรณีของ General Motors (GM) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทวีตข้อความถึง Mary Barra ซีอีโอ GM ว่าขอให้เธอ “ลงมือทำอะไรสักอย่างโดยด่วน” เพื่อกลับมาเปิดโรงงานรถยนต์ในเมือง Lordstown รัฐ Ohio หน่วยผลิตที่หยุดการทำงานไปเมื่อประมาณ 1 สัปดาห์ก่อนเพื่อรอการเจรจาสัญญาใหม่ระหว่าง สหภาพแรงงานยานยนต์ (United Auto Workers : UAW) กับบริษัท

“ผมไม่พอใจเลยที่โรงงานปิดตัวในขณะที่สิ่งอื่นๆ ทุกอย่างในประเทศของเรากำลังเติบโต!!!” Trump ทวีตผ่านบัญชีของตนเอง
<blockquote class="twitter-tweet" data-lang="en">
Just spoke to Mary Barra, CEO of General Motors about the Lordstown Ohio plant. I am not happy that it is closed when everything else in our Country is BOOMING. I asked her to sell it or do something quickly. She blamed the UAW Union — I don’t care, I just want it open!
— Donald J. Trump (@realDonaldTrump) <a href="https://twitter.com/realDonaldTrump/status/1107408129619382277?ref_src=twsrc%5Etfw">March 17, 2019</a></blockquote>
<script async src="https://platform.twitter.com/widgets.js" charset="utf-8"></script>

GM ประกาศก่อนหน้านี้ว่า บริษัทได้หยุดการผลิตรถยนต์ Chevy Cruze แล้ว ซึ่งเป็นโมเดลรถรุ่นเดียวที่ผลิตอยู่ในเมือง Lordstown เนื่องจากความนิยมในรถครอสโอเวอร์และเอสยูวีเพิ่มสูงขึ้นในสหรัฐฯ หลังจากราคาน้ำมันค่อนข้างเสถียรอยู่ระหว่าง 2.5-3.5 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อแกลลอนในพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ ดีมานด์ต่อรถยนต์รุ่น Cruze ซึ่งเป็นรถรุ่นซีดานขนาดเล็กประหยัดน้ำมันจึงลดลงอย่างต่อเนื่อง สถานการณ์นี้เกิดขึ้นกับรถซีดานขนาดเล็กอื่นๆ ด้วย เช่น Ford ที่หยุดผลิตรถรุ่น Focus คู่แข่งของ Cruze แล้ว
<ul>
 	<li><a href="http://forbesthailand.com/news/motoring/gm-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%8D.html">GM ปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ ปลดพนักงาน 15% ปิดโรงงาน 8 แห่ง มุ่งพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า-รถยนต์ไร้คนขับ</a></li>
</ul>
ทั้ง GM, Ford และ Chrysler ย้ายฐานการผลิตส่วนใหญ่ของรถรุ่นเล็กออกนอกสหรัฐอเมริกาหลายปีมาแล้ว เพื่อลดต้นทุนแรงงานและต้นทุนจ่ายค่าประกันสุขภาพพนักงาน ส่วนใหญ่บริษัทเหล่านี้เลือกย้ายฐานไปที่เม็กซิโกและอีกหลายประเทศที่มีประกันสุขภาพโดยรัฐ

ผู้ผลิตยานยนต์ส่วนใหญ่ขาดทุนหรือไม่ได้กำไรจากการผลิตรถรุ่นเล็กในสหรัฐฯ ทำให้พวกเขาย้ายฐานผลิตเพื่อบรรเทาปัญหาการขาดทุน เฉพาะ GM ที่เป็นข้อยกเว้น บริษัทนี้ทำข้อตกลงกับ UAW เมื่อทศวรรษก่อนเพื่อคงฐานผลิตรถรุ่น Cruze ในรัฐ Ohio ไว้ โดย UAW ยอมอ่อนข้อเงื่อนไขต่างๆ ให้กับ GM เพื่อให้ยังคงมีฐานผลิตรถรุ่นเล็กภายในสหรัฐฯ

<figure><img class="wp-image-5795 size-full" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/03/GM-Chevy-Cruze-e1553142866593.jpg" alt="" width="800" height="400" /><figcaption> รถ Chevy Cruze ซีดานขนาดเล็กประหยัดน้ำมันที่มียอดขายลดลงต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้ GM ตัดสินใจปิดโรงงานผลิตใน Ohio</figcaption></figure>

สำหรับฐานผลิตใน Lordstown นั้นมีการผลิตมานานกว่า 50 ปี ซึ่ง GM ประเมินว่าจะมีการปลดคนงานกลุ่มจ้างงานรายชั่วโมงราว 1,700 คนในโรงงานดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม GM กับ UAW จะมีการเจรจาสัญญาฉบับใหม่ในปีนี้ แต่ขณะนี้ UAW อยู่ระหว่างฟ้องร้องบริษัท GM โดยยกข้อกำหนดในสัญญาฉบับปัจจุบันว่า GM ไม่สามารถหยุดการปฏิบัติงานในฐานผลิตได้ ซึ่งสัญญาฉบับดังกล่าวจะสิ้นสุดลงในเดือนกันยายนนี้

&nbsp;
<h2>แรงงานยานยนต์ ฐานเสียงสำคัญของ Trump</h2>
ฟาก Trump นั้นหาเสียงกับกลุ่มผู้ใช้แรงงานมาตั้งแต่เริ่มประกาศลงสมัครเป็นประธานาธิบดีในปี 2015 ตลอดการหาเสียงของเขา Trump จะจี้ประเด็นเรื่องโรงงานผลิตที่ย้ายฐานออกไปนอกประเทศโดยเฉพาะที่เม็กซิโกและจีนอยู่เสมอ

เมื่อขึ้นเป็นประธานาธิบดี Trump ได้เริ่มตั้งกำแพงภาษีเพื่อบังคับให้โรงงานผลิตในสหรัฐฯ ใช้เหล็กที่ผลิตในประเทศเพื่อกระตุ้นอุตสาหกรรมเหล็กซึ่งนโยบายนี้ส่งผลต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ กลุ่มบริษัทยานยนต์ต่างบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่าภาษีนำเข้าเหล็กทำให้ต้นทุนบริษัทเพิ่มขึ้นมากกว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปีต่อบริษัท และโจมตีว่ากำแพงภาษีนี้มีส่วนทำให้บริษัทต้องลดจำนวนแรงงาน

หนึ่งในข้อความ Twitter ที่ Trump ทวีตออกไป ตัวอย่างเช่น “เพราะเศรษฐกิจนั้นดีมาก General Motors ต้องเปิดโรงงานผลิตที่ Lordstown, Ohio โดยเร็ว!!! อาจจะเป็นในรูปแบบอื่นหรือมีเจ้าของใหม่ก็ได้ Toyota กำลังลงทุนมูลค่า 1.35 หมื่นล้านเหรียญในสหรัฐฯ เจ้าอื่นก็เหมือนกัน GM ต้องดำเนินการโดยด่วน!!! เวลาเป็นสิ่งสำคัญ!”

<figure><img class="size-full wp-image-5796" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/03/063_1128941496.jpg" alt="" width="768" height="512" /><figcaption> เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2019 พนักงานโรงงานรถยนต์ในเมือง Lordstown ประท้วงเรียกร้องให้ GM เปิดโรงงานในสหรัฐฯ ต่อไป (PHOTO CREDIT: Jeff Swensen/Getty Images/AFP)</figcaption></figure>

ฝ่าย GM ออกแถลงการณ์ในห้วงเวลาที่คาดเดาได้ว่าเป็นการตอบโต้ Trump ดังนี้ “เพื่อให้กระจ่างชัด ภายใต้เงื่อนไขข้อตกลงระหว่าง UAW กับ GM อนาคตของโรงงานผลิตที่ไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้นี้จะคลี่คลายและตกลงกันระหว่าง GM กับ UAW เรายังคงเปิดกว้างในการพูดคุยกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่ได้รับผลกระทบทุกฝ่าย แต่จุดมุ่งเน้นหลักของเรายังคงอยู่ที่พนักงานของบริษัท และได้ให้ข้อเสนอตำแหน่งงานในฐานผลิตอื่นของเราที่กำลังสร้างโอกาสการเติบโต"

"ขณะนี้เราได้โยกย้ายพนักงานกว่า 1,000 คนจากฐานผลิตที่ไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้ไปยังฐานผลิตอื่นๆ ของ GM แล้ว และเรามีโอกาสในการทำงานเปิดให้กับพนักงานทุกคนที่ได้รับผลกระทบ”

รัฐ Ohio นั้นมีความสำคัญทางการเมืองอย่างมากต่อการเลือกตั้งปี 2020 ที่กำลังจะมาถึง ไม่เพียงแต่รัฐนี้จะถูกพิจารณาว่าเป็นรัฐ swing vote ที่ชี้ชะตาการเลือกตั้งในปี 2016 ซึ่ง Trump ได้กำชัยชนะ แต่ยังเป็นรัฐที่มีอดีตผู้ว่าการรัฐและสมาชิกพรรครีพับลิกันอย่าง John Kasich ซึ่งมักจะวิพากษ์วิจารณ์ Trump อยู่บ่อยครั้งและ ‘เสียงดัง’ พอที่จะเป็นหนึ่งในผู้ท้าชิงกับประธานาธิบดี Trump ในศึกการเลือกตั้งขั้นต้น (primary vote) เพื่อหาตัวแทนพรรคในการลงสมัครรับเลือกตั้งครั้งหน้า

มองอีกมุมหนึ่ง Lordstown นับเป็นฐานผลิตที่ล้าหลัง โดยมีการผลิตที่มุ่งเน้นรถรุ่นเดียวมานานหลายปี การที่ GM จะย้ายฐานผลิตรถประเภทครอสโอเวอร์หรือเอสยูวีมาที่ Lordstown นั้นไม่ได้อยู่เหนือความเป็นไปได้ แต่ GM อาจเลือกที่จะปิดโรงงานไปก่อนเพื่อสร้างอำนาจต่อรองให้กับตนเองเมื่อต้องทำการเจรจาข้อตกลงฉบับใหม่กับสหภาพแรงงานฯ ในปีนี้

&nbsp;

GM โต้กลับ หลัง Trump ทวีตเดือดเหตุบริษัทปิดโรงงานใน Ohio

<h2>ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ General Motors (GM) ประกาศเเผนจ้างออกพนักงาน 1.8 หมื่นตำเเหน่ง หวังลดต้นทุนประกอบการ พร้อมมุ่งพัฒนายานยนต์ขับเคลื่อนด้วยตนเองเเละเทคโนโลยีใหม่</h2>
โดยพนักงานเงินเดือนที่ทำงานกับบริษัทยาวนานตั้งเเต่ 12 ปีขึ้นไป จำนวน 1.8 หมื่นคนจากทั้งหมด 5 หมื่นคนในสหรัฐฯ จะได้รับข้อเสนอการจ้างออกนี้ อย่างไรก็ตามบริษัทยังไม่ได้ชี้เเจงรายละเอียดเเละข้อเสนอพิเศษเกี่ยวกับเเผนจ้างออกพนักงานดังกล่าว

GM ระบุว่าช่วงนี้เศรษฐกิจของสหรัฐฯ แข็งแกร่ง บริษัทจึงตัดสินใจใช้มาตรการจ้างออกพนักงาน เพื่อแก้ปัญหาต้นทุนของสินค้าโภคภัณฑ์ซึ่งเป็นต้นทุนหลักขององค์กรที่ปรับสูงขึ้น

"ขั้นตอนในการปรับเปลี่ยนพนักงานนี้ เป็นไปเพื่อให้มั่นใจว่าเราจะมีทักษะที่เหมาะสมกับโลกปัจจุบันเเละในอนาคต ท่ามกลางการขับเคลื่อนอย่างมีประสิทธิภาพ" Mary Barra ซีอีโอของ General Motors กล่าว

ทั้งนี้ เมื่อต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา GM ได้ประกาศว่ามีเเผนปรับลดพนักงานประจำในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีหน้า เเต่ล่าสุดก็ปรับให้เเผนนี้เร็วขึ้นกว่าเดิม

สำหรับการประกาศเเผนจ้างออกพนักงานของ GM มีขึ้นหลังจากบริษัทยื่นข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ว่า ความต้องการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในอเมริกาจะไม่เกิดขึ้น หากต้นทุนเเละโครงสร้างพื้นฐานยังไม่เอื้ออำนวย โดยภาครัฐควรออกมาตรการสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้าให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น

โดย GM เเละผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นๆ กำลังผลักดันพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ขับเคลื่อนด้วยตนเองเเละรถยนต์ไฟฟ้า รวมไปถึงบริการใช้รถร่วมกัน (Ride Sharing) ซึ่งทาง GM ได้เปิดบริษัทใหม่ที่มีชื่อว่า Cruise Automation เพื่อสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีไร้คนขับโดยเฉพาะ ซึ่งได้ทุ่มเงินลงทุนกว่า 1 พันล้านเหรียญในปีนี้

ขณะเดียวกัน GM กำลังเผชิญกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มสูงขึ้น จากมาตรการภาษีนำเข้าเหล็กเเละอลูมิเนียม ซึ่งทำให้ต้นทุนสินค้าโภคภัณฑ์เพิ่มขึ้นประมาณ 300 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในไตรมาสที่ 3 เเละอาจพุ่งถึง 1 พันล้านเหรียญในปีหน้า หากประธานาธิบดีทรัมป์ ยังคงเดินหน้ามาตรการภาษีนำเข้ายานยนต์เเละชิ้นส่วน 

ด้านบริษัทคู่เเข่งรายใหญ่อย่าง Ford ก็มีการปรับลดเงินเดือนพนักงานในทำนองเดียวกันทั่วโลก เเม้ว่าจะยังไม่ได้เผยรายละเอียดใดๆ อย่างเป็นทางการ เเต่คาดว่าจะมีการใช้จ่ายเงินกว่า 1.1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯในอีก 3-5 ปีข้างหน้าเพื่อปรับเปลี่ยนโครงสร้างธุรกิจ

&nbsp;

ที่มา
<ul>
 	<li>https://edition.cnn.com/2018/10/31/business/gm-buyouts/index.html</li>
 	<li>https://www.bloomberg.com/news/articles/2018-10-31/gm-shows-money-can-still-be-made-in-the-boring-old-car-business</li>
</ul>

General Motors ประกาศแผนลดต้นทุน จ้างออกพนักงาน 1.8 หมื่นตำเเหน่ง

บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) ประกาศต่อสัญญาการผลิตกับ บริษัท ธนบุรีประกอบรถยนต์ จำกัด ในฐานะผู้ประกอบรถยนต์ เมอร์เซเดส-เบนซ์ อย่างเป็นทางการในประเทศไทยมาอย่างยาวนาน พร้อมเปิดเผยความสำเร็จกับยอดประกอบรถยนต์ในประเทศไทยครบ 100,000 คัน หลังจากเดินหน้าขยายสายการผลิตใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ครอบคลุมทั้งกลุ่ม Compact Car, Contemporary Luxury, Dream Car และ SUV

“เรากำลังเดินหน้าตามแผนงานที่จะสร้างสถิติใหม่ด้วยการประกอบรถยนต์ในประเทศไทย 9,000 คันในปีนี้ เราให้ความสำคัญกับการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันระดับโลก และมุ่งมั่นที่จะเพิ่มกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดในประเทศไทย ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เรามีพันธมิตรที่ทั้งแข็งแกร่งและไว้วางใจได้อย่าง บริษัท ธนบุรีประกอบรถยนต์ จำกัด ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อความสำเร็จของเรา และนั่นคือเหตุผลที่เราได้ตัดสินใจสานต่อความร่วมมือที่ดีเช่นนี้ต่อไป”  มร.อันเดรอัส เลทเนอร์ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงการดำเนินงานด้านการประกอบรถยนต์ในประเทศไทย

<figure><img style="width: 680px; height: 454px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/a8f2babf69e1692d8b64a13f2c4551c9.png" alt="" width="680" height="454" /><figcaption> มร.อันเดรอัส เลทเนอร์ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด</figcaption></figure>

เครือข่ายการผลิตของ เมอร์เซเดส-เบนซ์ มีการดำเนินงานครอบคลุมทั่วโลก อาทิ ในประเทศ บราซิล อินเดีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย เวียดนาม และประเทศไทย ซึ่งโรงงานเหล่านี้ ทำให้เมอร์เซเดส-เบนซ์ สามารถผลิตรถยนต์หลากหลายรุ่นเพื่อตอบสนองความต้องการของประเทศนั้นๆ สำหรับในประเทศไทย เมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้แต่งตั้งให้บริษัท ธนบุรีประกอบรถยนต์ จำกัด เป็นพันธมิตรด้านการผลิตมาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2522 และล่าสุด บริษัทฯ ได้ดำเนินการต่อสัญญากับบริษัท ธนบุรีประกอบรถยนต์ จำกัด ให้เป็นผู้ประกอบรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์อย่างเป็นทางการต่อไป พร้อมทั้งเปิดสายการผลิตใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องจนครอบคลุมทั้งกลุ่ม Compact Car, Contemporary Luxury, Dream Car และ SUV รวมถึงการนำเสนอเทคโนโลยีล่าสุดอย่าง เทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริด ในกลุ่ม ELECTRIC INTELLIGENCE by Mercedes-Benz ในรถยนต์ 3 รุ่น ได้แก่ S 500 e C 350 e และ GLE 500 e 4MATIC

มร.ไมเคิล เกรเว่ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า "เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) ดำเนินงานด้วยความความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องที่จะนำเสนอสิ่งที่ดีที่สุด ให้กับลูกค้าของเรา ทั้งในวันนี้และวันข้างหน้า ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เราไม่เคยหยุดนิ่งที่จะสร้างสรรค์ยนตรกรรมรุ่นใหม่ๆ ที่สามารถตอบสนองทุกความต้องการและทุกไลฟ์สไตล์ของลูกค้า การต่อสัญญาการประกอบรถยนต์ในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่าบริษัทฯ เชื่อมั่นในศักยภาพของตลาดรถยนต์นั่งในประเทศไทย ปัจจุบัน เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) นำเสนอรถยนต์รุ่นประกอบในประเทศถึง 16 รุ่นด้วยกัน ทั้งนี้เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภคได้มากขึ้น โดยเฉพาะรุ่นปลั๊กอินไฮบริดใน C-Class และ S-Class ที่เปิดตัวเมื่อช่วงต้นปีพ.ศ. 2559 และล่าสุดคือรุ่น GLE 500 e 4MATIC Exclusive และ GLE 500 e 4MATIC AMG Dynamic”

<figure><img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/f66f7368beffe34007ccaa12668d0bb5.png" alt="" width="680" height="454" /><figcaption> มร.ไมเคิล เกรเว่ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด</figcaption></figure>

ด้าน วีระชัย เชาว์ชาญกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธนบุรีประกอบรถยนต์ จำกัด กล่าวถึงความร่วมมือในการทำหน้าที่ผู้ประกอบรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ในประเทศไทยว่า “เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับความไว้วางใจให้ร่วมงานกับทั้ง เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) และ เมอร์เซเดส-เบนซ์ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) โดยความสำเร็จจากยอดการประกอบรถยนต์ครบ 100,000 คันในครั้งนี้ เป็นเสมือนพันธสัญญาว่า ธนบุรีประกอบรถยนต์จะมุ่งมั่นกับแนวทางการพัฒนาโรงงานและบุคลากรให้มีประสิทธิภาพเพื่อรองรับความต้องการรถยนต์ประกอบในประเทศของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ”

<figure><img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/9300935c604277377c13107d8ab9cbec.png" alt="" width="680" height="500" /><figcaption> วีระชัย เชาว์ชาญกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธนบุรีประกอบรถยนต์ จำกัด</figcaption></figure>

ความสำเร็จครั้งสำคัญจากยอดการประกอบรถยนต์ในประเทศไทยครบ 100,000 คันในครั้งนี้ เกิดจากการทำงานอย่างสอดประสานกันระหว่าง เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) และ เมอร์เซเดส-เบนซ์ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) ในการศึกษาและคาดการณ์ความต้องการของผู้บริโภคอย่างลึกซึ้ง และคัดเลือกรุ่นรถยนต์ที่ดำเนินการประกอบภายในประเทศจนสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดีที่สุด รวมถึงมีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดต่างๆ ของรถให้เหมาะสมกับสภาพท้องถนนตลอดจนลักษณะการขับขี่และการใช้งานในเมืองไทย นอกจากนี้ ยอดการผลิตดังกล่าวยังเป็นเครื่องพิสูจน์ได้เป็นอย่างดีถึงมาตรฐานและประสิทธิภาพที่ดีเยี่ยมของการผลิตในเมืองไทย

ปัจจุบัน บริษัท ธนบุรีประกอบรถยนต์ จำกัด มีโรงงานประกอบรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ 1 แห่ง โดยมีแผนงานที่จะขยายโรงงานแห่งนี้พร้อมทั้งเปิดโรงงานเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งแห่งในปี 2560 ปัจจุบันสายการผลิตของธนบุรีประกอบรถยนต์ครอบคลุมรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์หลายหลายรุ่นทั้ง C-Class, E-Class, S-Class, GLE, GLA, CLA, GLC และ C-Class Coupe ในปี 2558 ธนบุรีประกอบรถยนต์สามารถประกอบรถยนต์ให้กับเมอร์เซเดส-เบนซ์รวมทั้งสิ้น 8,000 คัน

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events