<h2>ความตั้งใจที่จะมีบ้านพักตากอากาศริมทะเลไว้เป็นที่พักผ่อนของครอบครัว ทว่าไม่มีบ้านที่ตอบโจทย์ “ประภาวดี โสภณพนิช” จึงพัฒนาโครงการ “เวลา เขาเต่า เรสซิเดนเซส” ขึ้นมาเมื่อ 15 ปีก่อน กระทั่งปัจจุบันเป็นหนึ่งในนักพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับลักชัวรี่ ซึ่งได้รับเสียงตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ไอเดียส์ 1606” เป็นชื่อบริษัทผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์แนวบูทิคชั้นนำของประเทศไทย เจ้าของแบรนด์ VEYLA (เวลา) และได้สร้างชื่อเสียงตั้งแต่ 2 โครงการแรกคือ “เวลา เขาเต่า เรสซิเดนเซส” ที่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ Thailand Property Awards ประเภท Best Condominium in Hua Hin และ “เวลา ชะอำ เรสซิเดนเซส” ที่ อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี ได้รับรางวัล Best Residential Project ในปี 2558&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โครงการล่าสุดซึ่งเป็นลำดับที่ 3 คือ เวลา นาใต้ เรสซิเดนเซส (Veyla Natai Residences) ตั้งอยู่บนหาดนาใต้ ต.โคกกลอย จ.พังงา ได้รับรางวัล The International Architecture Award 2020 และ ICONIC AWARDS 2022 ประเภท Innovative Architecture&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เวลา นาใต้ เรสซิเดนเซส” เป็นวิลล่าหรูแบบฟรีโฮลด์ มูลค่าโครงการกว่า 1,200 ล้านบาท ตั้งอยู่บนพื้นที่ 5.8 ไร่ ริมชายหาดนาใต้ ต.โคกกลอย จ.พังงา ประกอบด้วยวิลล่า 15 หลัง ออกแบบภายใต้แนวคิด Craft Your Digital Life ผสมผสานความเป็นธรรมชาติ และไลฟ์สไตล์ทันสมัยเข้าไว้ด้วยกัน ทุกหลังหันหน้าออกสู่ทะเลอันดามัน วิลล่าแบ่งเป็น 2 แบบคือ Veyla Beach พื้นที่ 615 ตารางเมตร ราคา 98 ล้านบาท และ Veyla Sea พื้นที่ 585 ตารางเมตร ราคาหลังละ 75 ล้านบาท กลุ่มเป้าหมายเป็นลูกค้าระดับไฮเอนด์​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/05/nSXN9Ee2JE2ptLH5tPcC.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="nSXN9Ee2JE2ptLH5tPcC.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ประภาวดี โสภณพนิช ผู้ก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอเดียส์ 1606 จำกัด และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โครงการเวลา นาใต้ กล่าวถึงตอนที่เริ่มทำโครงการแรกว่า มีทุนส่วนตัว 8 ล้าน ซึ่งได้มาจากการทำงานประจำและว่า&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“หลงรักนาใต้มา 7-8 ปีแล้ว พื้นที่ตรงนี้รู้สึกว่ามีความ private และ exclusive อยู่ไม่ไกลสนามบินภูเก็ต และหาดสวยมาก ในที่สุดได้ที่ดินตรงนี้ (โครงการ) กลยุทธ์มุ่งเจาะตลาด international เป็น young family นักธุรกิจที่ work from home ที่ไหนก็ได้ ก็เลยทำ 3 ห้องนอน คิดว่าอันนี้ตอบโจทย์ younger generation โปรดักส์แถวนี้จะเป็นแบบโรงแรม หรือ mega villa ขนาด 5-6 ห้องนอน” <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/05/mS7qcVw4bXM9uYFgp6YM.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="mS7qcVw4bXM9uYFgp6YM.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หลังเปิดตัวโครงการปลายปี 2562 เป็นจังหวะเดียวกับที่โควิดระบาด จึงไม่ได้ทำตลาดมากนัก และเพิ่งกลับมาบุกตลาดอีกครั้งในปีที่ผ่านมา มียอดขายแล้ว 780 ล้านบาท โดยขายแล้ว 11 หลังจากทั้งหมด 15 หลัง ผู้ซื้อมีทั้งชาวไทยและต่างชาติในภูมิภาค เช่น ฟิลิปปินส์ ลาว เวียดนาม ช่วงล็อกดาวน์ปรับมาขายลูกค้าคนไทย และปรับราคาเพิ่มขึ้น 15 เปอร์เซนต์ “ตอนนี้โปรโมตไปจีน ฮ่องกง ผ่านเอเยนต์ คาดว่าสิ้นปีนี้น่าจะปิดโครงการได้”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กรรมการผู้จัดการ บจ.ไอเดียส์ 1606 เปิดเผยถึงจุดเด่นของบริษัทที่ทำให้โครงการต่างๆ ได้รับความนิยมจากลูกค้าและมีบางรายติดตามซื้อในโครงการต่อมาว่า บริษัทเติบโตจากจากฐานตลาดคนไทย จึงเข้าใจไลฟ์สไตล์ คนไทยไม่ได้เน้นด้านการลงทุน แต่ให้ความสำคัญกับสังคม ดีไซน์ ความสวยงาม ความคุ้มค่า และทำเลที่ตั้ง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับโครงการต่อไปจะตั้งอยู่บนเกาะพีพี คาดว่าจะเริ่มในปี 2567 “ช่วงโควิดได้ที่ดินเกาะพีพี เป็นที่ดินเปล่าเกือบ 100 ไร่ หน้าหาด 500 เมตร ตอนนี้อยู่ในช่วงคิดว่าจะทำอะไรให้เป็นแบรนด์เรา เป็น community building ความตั้งใจคืออยากทำโครงการให้เป็นที่กล่าวขานของพีพี ยังไม่มีใครทำเป็นเรสซิเดนซ์ จะเป็นโครงการใหญ่สุดที่เคยทำมา” ประภาวดี กล่าวในตอนท้าย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อนึ่ง “เวลา นาใต้ เรสซิเดนเซส” ได้ร่วมกับอีลิธ เฮเวนส์ (Elite Havens) ซึ่งเป็นผู้นำในธุรกิจรับบริหารและให้บริการเช่าวิลล่าหรูชั้นนำในเอเชีย ให้บริการเช่าวิลล่า 4 หลังตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2565 ช่วงไฮซีซั่นมีอัตราเข้าพักไม่ต่ำกว่า 50 เปอร์เซนต์ โดยมีอัตราเข้าพักขั้นต่ำ 6 วัน สูงสุด 30 วัน (ค่าเช่าวิลล่าหลังละ 2,100 เหรียญสหรัฐต่อวัน) ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นชาวยุโรป ทำให้ผู้ลงทุนได้รับผลตอบแทนการเช่า 8%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Andy Parkhouse กรรมการผู้จัดการ Elite Heaven กล่าวถึงเทรนด์และดีมานด์ที่อยู่อาศัยในโคกกลอย-นาใต้ ว่า จากการสำรวจตลาดอสังหาริมทรัพย์ในภูเก็ตในช่วง 2 - 3 ปีทีผ่านมา พบว่าตลาดภูเก็ตโปรดักส์บ้านพักตากอากาศเริ่มมีการพัฒนาโครงการจนหนาแน่น และที่ดินราคา 30- 40 ล้านบาท/ไร่ จึงเริ่มมีการขยับขยายทำเลออกจากเกาะภูเก็ต มาสู่พังงาและกระบี่ โดยเฉพาะพังงาที่ใช้เวลาเดินทางจากสนามบินภูเก็ตเพียงครึ่งชั่วโมง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หาดนาใต้จึงเป็นที่สนใจของผู้ซื้อและนักลงทุนมากขึ้น เช่นเดียวกับโครงการ เวลา นาใต้ เรสซิเดนเซส ที่ตอบโจทย์ เนื่องจากราคาที่น่าพึงพอใจ ทำเลที่ตั้งที่ติดทะเล มีความเป็นส่วนตัว เดินทางสะดวก ใกล้สนามบินและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ มีโอกาสทำกำไรในระยะยาว นอกจากนี้เจ้าของบ้านยังได้รับสิทธิพิเศษในการเข้าใช้สถานที่ต่างๆ ของโครงการ รวมถึงข้อเสนอการเข้าพักได้ตลอดทั้งปีโดยไม่จำกัด ซึ่งแตกต่างจากโครงการอื่นๆ ภาพ:&nbsp;บริษัท ไอเดียส์ 1606 จำกัด&nbsp; ​อ่านเพิ่มเติม:&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/people/dine-with-the-boss/%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%9E%E0%B8%A3-%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%99-%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%94-%E0%B8%98%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88-thai-fight-%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%81%E0%B8%A5-%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81" alt="นพพร วาทิน ต่อยอดธุรกิจ “Thai Fight” ดังไกลทั่วโลก"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/people/forbes-life-people/%E0%B8%96%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%A3-%E0%B9%82%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A1%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%87-%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%A8%E0%B8%B4%E0%B8%A5%E0%B8%9B%E0%B8%B0-%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%9C%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%95" alt="ถาวร โกอุดมวิทย์ จรรโลงงานศิลปะ “หน้าผา รีสอร์ต”">ถาวร โกอุดมวิทย์ จรรโลงงานศิลปะ “หน้าผา รีสอร์ต”</a><hr class="__se__solid">​<a href="https://bit.ly/3l3QtLn%E2%80%8B" alt="คลิกอ่านฉบับเต็มและบทความทางด้านธุรกิจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ในรูปแบบ e-magazine">คลิกอ่านฉบับเต็มและบทความทางด้านธุรกิจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ในรูปแบบ e-magazine</a>​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false" style="width: 50%;"><figure style="width: 100%;"><a href="https://bit.ly/3l3QtLn%E2%80%8B" alt="https://bit.ly/3l3QtLn​" data-image-link="image"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/03/wM885hcrZubRZ4JqmxZW.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="wM885hcrZubRZ4JqmxZW.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="50%,auto" data-rotate="" data-image-link="https://bit.ly/3l3QtLn%E2%80%8B" origin-size="650,853" data-percentage="50%,auto" style="width: 100%; height: auto;" data-index="2"></a></figure></div>

ประภาวดี โสภณพนิช ปั้น “เวลา นาใต้ เรสซิเดนเซส” ตอบโจทย์ไฮเอนด์

<h2>ประภาวดี โสภณพนิช ผู้ก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอเดียส์ 1606 จำกัด เปิดตัว Veyla วิลล่าหรูโครงการที่ 3 เวลา นาใต้ เรสซิเดนเซส (Veyla Natai Residences) แบบฟรีโฮลด์ริมชายหาดนาใต้ จังหวัดพังงา มูลค่าโครงการ 1.2 พันล้านบาท  ด้าน กลุ่มสถาปนิค 49 เฮ้าส์ดีไซน์ เผยการออกแบบจากเม็ดทรายสู่สถาปัตยกรรมชั้นเอก ขณะที่ อลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) จำกัด ชี้ถึงความคุ้มค่า</h2>
ประภาวดี โสภณพนิช ผู้ก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอเดียส์ 1606 จำกัด จัดงานแถลงข่าวเปิดตัวโครงการ Veyla Natai Residences อย่างเป็นทางการ โดยโครงการตั้งอยู่บนพื้นที่ 5.8 ไร่บนชายหาดนาใต้ อำเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงา หลังการพรีเซลเป็นที่น่าพอใจ มีจำนวนการจองเข้ามาแล้วกว่า 40 เปอร์เซ็นต์

"โครงการ เวลา นาใต้ เรสซิเดนเซส มีมูลค่าโครงการกว่า 1.2 พันล้านบาท เป็นโครงการฟรีโฮลด์ ประกอบด้วยวิลล่า 15 หลัง ให้เลือก 2 แบบ ได้แก่ Veyla Beach วิลล่า 2 ชั้น พื้นที่ใช้สอย 615 ตารางเมตร ติดริมหน้าริมชายหาด และ Veyla Sea วิลล่า 3 ชั้น พื้นที่ใช้สอย 585 ตารางเมตร ที่วางตัวอยู่ทางด้านหลัง วิลล่าทุกหลังหันหน้าออกสู่ทะเล ทำให้ได้รับวิวทะเลอันดามันแบบเต็มสายตา วิลล่าทั้งสองแบบมีฟังก์ชันจำนวน 3 ห้องนอน โดยราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 65 ล้านบาทในแบบ Veyla Sea"

<img class="alignnone size-full wp-image-9945" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/06/ประภาวดี-โสภณพนิช-ผู้ก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการ-บริษัท-ไอเดียส์-1606-จำกัด.jpg" alt="" width="638" height="425" />

“บริษัทสร้างแบรนด์เวลาขึ้นเพื่อสื่อถึงความพยายามในการรังสรรค์โครงการที่เน้นบรรยากาศแห่งความผ่อนคลายและใช้เวลาอยู่กับตนเอง นอกจากจะหมายถึงช่วงเวลาแล้ว คำว่า “เวลา” ยังมีอีกหนึ่งความหมายในภาษาสันสกฤตว่า “บ้านริมทะเล” อีกด้วย เป้าหมายของบริษัทคือการนำเสนอดีไซน์ที่มีรสนิยมและการก่อสร้างที่มีคุณภาพยอดเยี่ยมเพื่อรังสรรค์โครงการระดับพรีเมียมท่ามกลางบรรยากาศแห่งความสงบและธรรมชาติที่สวยงาม ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่ทิวทัศน์ดีและอยู่ใกล้สิ่งอำนวยความสะดวก” ประภาวดี กล่าว

<figure><img class="wp-image-9949 size-large" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/06/สถาปนิก-49-เฮ้าส์ดีไซน์-1024x703.jpg" alt="" width="640" height="439" /><figcaption> จากกลาง-ขวา รัฐวุฒิ จันทร์ศรีตระกูล และ อัชฌานาท เกษพยัคฆ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท สถาปนิก 49 เฮ้าส์ดีไซน์ จำกัด</figcaption></figure>

ด้าน รัฐวุฒิ จันทร์ศรีตระกูล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท สถาปนิก 49 เฮ้าส์ดีไซน์ จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทได้โจทย์ในการออกแบบในสะท้อนถึงความสงบเป็นส่วนตัวและอบอุ่น เอานำจุดเด่นจากบรรยากาศชายหาดนาใต้หลายๆ จุด มาเป็นส่วนหนึ่งในการออกแบบ อาทิ การนำเม็ดทรายของชายหาดนาใต้ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว นำมาใช้ในการคุมโทนและเป็นสีหลักในการให้สี ทั้งการตกแต่งภายนอกและภายในสีเดียวแบบ Monochromatic

“การออกแบบโครงการให้สีแบบ Monochromatic ซึ่งได้แรงบันดาลใจจากเม็ดทรายของชายหาด กลมกลืนกับโครงการเหมือนเป็นการเชื่อมเม็ดทรายกับโครงการได้อย่างกลมกลืน” อัชฌานาท เกษพยัคฆ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท สถาปนิก 49 เฮ้าส์ดีไซน์ จำกัด กล่าวเสริมถึงการออกแบบ

<figure><img class="wp-image-9948 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/06/อลิวัสสา-พัฒนถาบุตร.jpg" alt="" width="638" height="409" /><figcaption> อลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) จำกัด</figcaption></figure>

ด้าน อลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “จากการสำรวจตลาดอสังหาริมทรัพย์ในภูเก็ตในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา มีโครงการวิลล่าระดับไฮเอนด์ออกมาขายไม่มากนัก เนื่องจากที่ดินริมทะเลเริ่มหายากและมีราคาสูง เวลา นาใต้ เรสซิเดนเซส ซึ่งเป็นวิลล่าแบบ 3 ห้องนอนจึงเข้ามาในราคาที่น่าพึงพอใจ”

เกณฑ์ในการตัดสินใจซื้อของผู้ซื้อบ้านพักตากอากาศสำหรับลูกค้าระดับไฮเอนด์ ได้แก่ ทำเลที่ตั้งของโครงการที่ติดทะเล มีความเป็นส่วนตัว เดินทางสะดวกใกล้สนามบินและสิ่งอำนวยความสะดวก ในราคาสมเหตุสมผล มีโอกาสในการทำกำไรระยะยาวได้ ดีไซน์ คุณภาพการก่อสร้างรวมถึงความน่าเชื่อถือของเจ้าของโครงการเป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญ

“เวลา นาใต้ เรสซิเดนเซส ตอบโจทย์ที่กลุ่มลูกค้ามองหา เพราะที่ตั้งของโครงการบนหาดนาใต้เป็นทำเลพรีเมียม และมีศักยภาพในการเติบโตสูง ทั้งยังเป็นทำเลที่ขยายมาจากชายฝั่งตะวันตก มีชายหาดสวยงามที่ยังมีความบริสุทธิ์อยู่มาก

ที่สำคัญลูกค้าของโครงการเวลา นาใต้ เรสซิเดนเซส จะสามารถวางใจได้ว่า โครงการจะมอบบริการด้านการบำรุงรักษาส่วนกลางและตัวบ้านให้อยู่ในสภาพสวยงาม เพียงตารางเมตรละ 45 บาท รวมทั้งการจัดการบริหารปล่อยเช่าเพื่อตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มนักลงทุนอีกด้วย” อลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว

ประภาวดี กล่าวเสริมอีกว่า Veyla Natai Residences ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าระดับไฮเอนด์ทั้งชาวไทยและต่างชาติ ที่ต้องการความเป็นส่วนตัวสูง มีธรรมชาติที่ยังบริสุทธิ์ เดินทางสะดวก ห่างจากสนามบินนานาชาติภูเก็ตเพียงแค่ 30 นาที ใกล้แหล่งท่องเที่ยว และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ในจังหวัดภูเก็ตและพังงา

"เราตั้งใจสร้าง “เวลา นาใต้” เพื่อชูความสวยงามจากธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรมความเป็นอยู่ของคนท้องถิ่น แสดงให้เห็นถึงความสงบและอบอุ่นของ ชายหาดนาใต้”

ทั้งนี้ ประภาวดี กล่าวเพิ่มเติมว่า ภายหลังจากทำโครงการวิลล่าเป็นโครงการที่สาม บริษัทจะยังคงเน้นพัฒนาวิลล่าหรูติดทะเลไม่ว่าจะเป็นภาคใต้หรือภาคตะวันออก แต่ปัจจุบันทำเลที่เหมาะสมกับแบรนด์เวลามีค่อนข้างน้อยและหากยาก ซึ่งนอกจากประเทศไทยแล้วนั้นบริษัทกำลังศึกษาทำเลชายทะเลในประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ เมียนมา เป็นต้น

ประภาวดี โสภณพนิช ทุ่มเวลา สร้าง Veyla Natai พลิกชายหาดนาใต้ พังงา สู่วิลล่าหรู

<h2>ยูโอบี จัดงาน UOB PRIVILEGE RESERVE ภายใต้ธีมงาน “Art of Money” ศิลปะแห่งการบริการจัดการและการลงทุนในสินทรัพย์หรูหรา (Luxury Assets) เชิญผู้บรรยายที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนในหลายมิติ</h2>
UOB PRIVILEGE RESERVE  ภายใต้ธีมงาน “Art of Money” ได้เชิญวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน ได้ Dennis Ng ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน จาก J. P. Morgan จิติมา วัฒนสิน ผู้คร่ำหวอดในกลุ่มสินค้าแฟชั่นชั้นสูง และ ประภาวดี โสภณพนิช ผู้จัดการทั่วไปของ Christie’s Thailand

Dennis Ng ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน จาก J. P. Morgan เผยภาพรวมโอกาสในตลาดเอเชียยังคงมีการลงทุนที่ดี โดยมีตลาดการลงทุนที่น่าสนใจคือกลุ่มธุรกิจเกมที่มูลค่ารวมตลาดเกมทั่วโลกเมื่อปี 2016 มีมูลค่าพุ่งสูงถึง 1.05 หมื่นล้านเหรียญฯ โดยตลาดเกมในจีน (ไม่รวมเกมคาสิโน) มีสัดส่วนสูงถึง 45 เปอร์เซ็นต์ และ กว่า 60 เปอร์เซ็นต์ ของประชากรโลกอาศัยอยู่ในทวีปเอเชีย

"เชื่อได้ว่าการลงทุนในอนาคตให้ดูผลรวมในอดีตจากผลตอบแทนรวม 10 ปีที่ผ่านของการลงทุนในเอเชีย แปซิฟิคที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยียังคงสดใส หลายกลุ่มอุตสาหกรรมด้านเทคโนโลยีถือว่ามีผลตอบแทนรวมที่ยอดเยี่ยม” Dennis Ng กล่าวและเสริมต่อว่า

“ในกลุ่ม Gaming ของจีนมีผลตอบแทนรวมโตถึง 3,007 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับสหรัฐฯ ที่ให้ผลตอบแทนรวมโตที่ 392 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ กลุ่ม Automation ญี่ปุ่นมีผลตอบแทนรวมโตืั้ 561 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเปรียบเทียบกับเยอรมัน ที่ผลตอบแทนรวม 104 เปอร์เซ็นต์ ในกลุ่ม Processors ไต้หวัน มีผลตอบแทนรวม 449 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่สหรัฐฯ อยู่ที่ 220 เปอร์เซ็นต์ และกลุ่ม Electronics เกาหลี มีผลตอบแทนรวม 376 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศอาเซียนเดียวกัน ญี่ปุ่น ให้ผลตอบแทนรวม 144 เปอร์เซ็นต์”

ด้าน จิติมา วัฒนสิน ผู้คร่ำหวอดในกลุ่มสินค้าแฟชั่นชั้นสูง ได้ร่วมแบ่งปันประสบการณ์กับการทำงานกับลักชัวรี่แบรนด์ต่างๆ ในประเทศไทยว่า “การที่เราเป็นเจ้าของลักชัวรี่แบรนด์ มันคือความสุขทางใจ และบ่งบอกถึงสถานะทางสังคมได้ ทั้งผู้หญิงหรือผู้ชาย ในอดีตสินค้าลักชัวรี่เหล่านี้ถูกขนานนามว่าเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย แต่เมื่อเวลาผ่านไปสินค้าแบรนด์เนมที่หลายคนมองว่าฟุ่มเฟือยกลับกลายเป็นสินค้าที่ซื้อแล้วเป็นสมบัติซึ่งสามารถนำมาขายต่อได้อีกด้วยและเกิดเป็นการลงทุนที่สามารถเปลี่ยนกลับเป็นเงินและได้กำไรในที่สุด” จิติมา วัฒนสิน กล่าวและเสริมว่า

<figure><img class="wp-image-6521 size-full" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/04/จิตติมา-วัฒนะสิน-18.jpg" alt="" width="638" height="425" /><figcaption> จิติมา วัฒนสิน</figcaption></figure>

“สินค้าลักชัวรี่ที่มีคุณค่าในอนาคตต้องมีคุณค่านับตั้งแต่วันแรกที่สินค้านั้นเปิดตัวจะต้องมีส่วนผสมระหว่าง "คุณภาพที่ดีเยี่ยม ความคิดสร้างสรรค์ และการออกแบบ" 3 สิ่งนี้คือความแตกต่างและความสำคัญสูงสุดคือแบรนด์เหล่านี้มีประวัติศาสตร์ที่บอกเล่าความเรื่องราวซึ่งเป็นตำนานติดตัวมาด้วย ซึ่งองค์ประกอบทั้งสี่ด้านข้างต้น ขาดอันใดอันหนึ่งไปถือว่าไม่ครบนิยามความเป็นลักชัวรี่”

เรื่องราวของประวัติเหล่านั้นคืออะไร ตัวอย่างคลาสสิคที่ถูกยกมาประกอบเป็นตัวอย่าง เช่นตำนาน Rolex Daytona Paul Newman ref. 6263 หรือที่เรียกกันว่า 'The Legend' ที่ Paul Newman นักแสดงอันเป็นตำนานของสหรัฐฯ เป็นเจ้าของ โดยในปี 1994 ราคา 15,450 เหรียญฯ แต่ราวปี 2017 ถูกประมูลไปในราคา 4.18 เหรียญฯ ส่วนตัวอย่างอีกเรื่องคือ น้ำหอม chanel No.5 ถือเป็นการปฏิวัติวงการน้ำหอมในขณะนั้น เพราะยุคนั้นไม่มีใครตั้งชื่อน้ำหอมเป็นตัวเลข Chanel เลือกเอาการผสมกลิ่นของน้ำหอมขวดที่ 5 มาใช้และและตั้งชื่อเป็น "No.5" และเรื่องราวที่ส่งให้น้ำหอม chanel No.5 เป็นตำนาน คือการตอบคำถามของ Marilyn Monroe ที่นักข่าวถามเธอว่าใส่อะไรนอน และ เธอได้ตอบว่า "five drops of Chanel No. 5"

<figure><img class="wp-image-6533 size-full" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/04/chanel-no-5-ad-19381-.jpg" alt="" width="350" height="463" /><figcaption> โฆษณาชิ้นแรกของ Chanel No.5</figcaption></figure>

จิติมา วัฒนสิน เผยด้วยว่าจากการจัดอันดับมูลค่าในกลุ่มลักชัวรี่ที่มีราคาพุ่งทะยานมากที่สุดในรอบ 10 ปี อันดับที่หนึ่งคือ “วิสกี้หายาก” โดยมีมูลค่าเพิ่มจาก 10 ปีที่ผ่านมาถึง 582 เปอร์เซ็นต์ ส่วน 4 อันดับต่อมาคือ รถยนต์ ที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้น 258% เหรียญฯ มูลค่าเพิ่มขึ้น 193% สแตมป์ มูลค่าเพิ่มขึ้น 189% และ งานศิลปะ มูลค่าเพิ่มขึ้น 158% สำหรับกลุ่มสินค้าลักชัวรี่ที่มูลค่าลดลงจาก 10 ปีก่อนคือกลุ่มสินค้าเฟอร์นิเจอร์ที่มูลค่าลดลง 32 %

“เหตุส่วนใหญ่ของผู้ลงทุนในกลุ่มสินค้าลักชัวรี่เหตุผลอันดับหนึ่งคือ การซื้อสะสมเพื่อความสุขของตนเอง ลำดับสองซื้อเพื่อการลงทุน และลำดับสามเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงไม่ผันผวนมากนัก”  จิติมา วัฒนสิน กล่าวทิ้งท้าย

ด้าน ประภาวดี โสภณพนิช ผู้จัดการทั่วไปของ Christie’s Thailand กล่าวภายในงานว่า หลายๆ ท่านคงได้ยินชื่อของ Christie’s ได้ก่อตั้งนานกว่า 250 ปี เป็นผู้ดูแลจัดการผู้ถือครองงานสะสมศิลปะทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย

“การลงทุนในลักชัวรี่ไม่ได้เป็นอะไรใหม่ไปจาก 250 ปีที่ผ่านมาแต่ปัจุจบัน Christie’s มีกลุ่มผลงานงานประมูลมากกว่า 250 กลุ่ม โดยมีกลุ่มหลักๆ อยู่ 9 ประเภท อาทิ กลุ่ม Old Master Paintings, กลุ่ม Asian 20th Century &amp; Contemporary Art, กลุ่ม Jewellery และ กลุ่ม Watches &amp; Wristwatches เป็นต้น

"Christie’s มีการประมูลทุกวัน เรามีสินค้าตั้งแต่ราคา 200 เหรียญฯ ไปจนถึงหลายร้อยล้านเหรียญฯ บางคนคิดว่า Christie’s ประมูลแต่ของแพงราคาสูงลิ่วแต่จริงๆ แล้วไม่ใช่” ประภาวดี โสภณพนิช กล่าว

<figure><img class="wp-image-6522 size-full" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/04/ประภาวดี-โสภณพนิชย์-8.jpg" alt="" width="638" height="425" /><figcaption> ประภาวดี โสภณพนิช ผู้จัดการทั่วไปของ Christie’s Thailand</figcaption></figure>

ปัจจุบัน Christie’s มีทั้งหมด 46 ประเทศ มีสถานที่สำหรับการประมูล 11 ประเทศ อย่างในประเทศไทยเราอยู่มาเกิน 20 ปี ที่ผ่านมาเราทำการประมูล 2-3 ครั้งในประเทศไทย ก่อนเปลี่ยนนโยบายในการประมูลและไปรวมศูนย์ที่ฮ่องกง โดย Christie’s โดดเด่นการประมูลภาพวาด Christie’s มีภาพวาดที่โด่งดังมากมาย อาทิ ภาพวาดจากศิลปิน Claude Monet, Pablo Picasso, Edward Hoper ศิลปินชาวสหรัฐฯ เป็นต้น

“สำหรับยอดรวมการประมูลในปี 2018 Christies’ ทำยอดรวมได้ 7 พันล้านเหรียญฯ ยังเป็นเบอร์หนึ่งในตลาดการประมูลโดยมี สำนักประมูล Sothebly’s เป็นอันดับสองมียอดขายราว 6.4 พันล้านเหรียญฯ”

<img class="alignnone size-full wp-image-6526" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/04/IMG_4958.jpg" alt="" width="638" height="425" />

สำหรับ Christies’s ในเอเชียนั้นเริ่มการประมูลอย่างไม่เป็นทางการราวปี 1986 และจากวันนั้นจนถึงปี 2018 ตัวเลขการประมูลเพิ่มขึ้นมากว่า 430 เท่า ซึ่งในปี 2018 ยอดการประมูลจากทวีปเอเชียแห่งนี้อยู่ที่ราว 752 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยเทรนด์การประมูลของเอเชียจาก Christies’s นักสะสมนิยมภาพวาด อาทิ ผลงานเขียน Nympheas en fleur ของ ศิลปิน Claude Monet ที่ราคา 84,687,500 เหรียญฯ

สำหรับการประมูลของนักสะสมในไทย ประภาวดี เผยว่าในตั้งแต่ปี 1998 จนถึงปี 2018 มียอดประมูลเติบโตถึง 4820 % โดยงานภาพวาดฝีมือคนไทยที่ได้รับความนิยมคืองานเขียนของ ถวัลย์ ดัชนี ที่ทำราคาประมูลสูงถึง 1.75 ล้านเหรียญฮ่องกง ในขณะที่ผลงานของ นที อุตฤทธิ์ เริ่มเป็นที่นิยมนักสะสมและตัวเขากำลังสร้างชื่อในเวทีระดับสากล

“ในตลาดการประมูล ถ้าพูดถึงเรื่องมูลค่า ปัจจุบันคนเอเชียมีกำลังและมีกำลังสะสม สำหรับงานเขียนถ้าศิลปินเสียชีวิตลงไปแล้วราคาของชิ้นงานเหล่านั้นจะยิ่งมีมูลค่าเพิ่มมากขึ้นเพราะตลาดรู้ว่าผลงานจะมีจำกัด”

<figure><img class="wp-image-6523 size-full" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/04/3-Speakers-ที่มาพูด-2.jpg" alt="" width="638" height="425" /><figcaption> จากซ้าย: ประภาวดี โสภณพนิช, Dennis Ng และ จิติมา วัฒนสิน</figcaption></figure>

&nbsp;

ยูโอบี เผยศิลปะแห่งการบริการจัดการและการลงทุนในสินทรัพย์หรูหรา

<h3>เมื่อ ประภาวดี โสภณพนิช เข้ารับตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปของ Christie’s Thailand เมื่อต้นปีนี้ หลายคนที่รู้จักเธอในฐานะกรรมการผู้จัดการของ บริษัท พลังโสภณ จำกัด หรือจากบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ไฮเอนด์ ภายใต้แบรนด์ “Veyla” (เวลา) ของเธอ คงสงสัยว่าเหตุใดนักบริหารมากฝีมือคนนี้จึงกระโดดข้ามฝั่งมาทำงานคลุกคลีกับแวดวงศิลปะและสินค้าลักชัวรี่</h3>
หลังวางมือจากธุรกิจเพื่อใช้เวลากับครอบครัวและส่งลูกสาวคนโตเข้าเรียนไฮสกูลที่ New York ถึง 2 ปี ประภาวดี โสภณพนิช จึงย้ายกลับมาเมืองไทยเมื่อปลายปีที่แล้วเพราะสามี (โชน โสภณพนิช) ต้องมาดูแลธุรกิจของครอบครัว ซึ่งเป็นจังหวะที่ เยาวณี นิรันดร หนึ่งในผู้ก่อตั้ง Christie’s ประเทศไทย ได้มาทาบทามเธอพอดี

“เราสนใจเพราะเป็นคนชอบงานศิลปะอยู่แล้ว และหลังจากเข้าไปคุยกับทางออฟฟิศที่ฮ่องกงแล้วชอบ จึงตกลงมาทำงานเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา”

การเข้ามาทำงานที่ Christie’s ประเทศไทย นับเป็นโอกาสอันดีที่ประภาวดีจะได้ทำงานที่แอบรักมาโดยตลอด ประภาวดีเกิดและเติบโตที่ New York กลับมาไทยเมื่ออายุ 10 ปี ก่อนจะกลับไปเรียนไฮสกูลอีกครั้งเมื่ออายุ 15 ปี และศึกษาต่อจนสำเร็จระดับปริญญาตรีจาก Tufts University และปริญญาโททางด้านการเงินและการธนาคารระหว่างประเทศจาก Columbia University ซึ่งแน่นอนว่าเธอซึมซับงานอาร์ตดีๆ มากมายไม่ต่างกับ “New Yorker” คนอื่นๆ
<h3>จังหวะที่ท้าทายกับ Christie’s</h3>
ก่อนที่จะมาเป็นหัวเรือใหญ่ที่ออฟฟิศประเทศไทยของสถาบันประมูลชั้นนำระดับโลกซึ่งมีประวัติยาวนานกว่า 250 ปีนั้น เธอไม่ได้มีความรู้แบบ “คนวงใน” และยังแอบสงสัยว่าในเมืองไทยจะมีฐานนักสะสมสักเท่าไหร่เพราะเป็นความลับ และเมื่อได้เข้ามาพูดคุยรับงานที่ Christie’s ได้เห็นข้อมูลแล้วก็ “ประทับใจมากๆ”

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/9397dc0902af26123e2f49618cac87e6.jpg" alt="" width="638" height="425" /><figcaption> ประภาวดี โสภณพนิช อดีตกรรมการผู้จัดการ บริษัท พลังโสภณ จำกัด สู่การเป็นผู้จัดการทั่วไปของ Christie’s Thailand ในปัจจุบัน</figcaption></figure>

“Christie’s เข้ามาในไทยนานถึง 18 ปี ทั้งนี้ต้องขอชมเชยวิสัยทัศน์ของผู้ก่อตั้ง (เยาวณี นิรันดร และ ปัญญชลี เพ็ญชาติ) ที่มีสายตายาวไกล นักสะสมของไทยเราโตมาจากนาฬิกาและเครื่องประดับ เรามีนักสะสมนาฬิกาที่เป็นกลุ่มใหญ่ในเอเชียจนปัจจุบันคนรุ่นใหม่สนใจงานศิลปะมากขึ้นทั้งในด้านศิลปะไทยและศิลปะเอเชีย หลายคนก็สนใจศิลปะตะวันตก ทำให้มีมุมมองมีความรู้ด้านการสะสมมากขึ้น”

ประภาวดีเข้ามาบริหารงานในจังหวะที่ดี เพราะบรรดานักสะสมของเอเชียกำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในการขยายตัวของธุรกิจ รายได้รวมของ Christie’s มูลค่า 6.6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2017 นั้น 31% มาจากลูกค้าเอเชีย ขณะเดียวกันงานศิลปะเอเชียก็มาแรง โดยในปี 2017 มูลค่าการขายงานศิลปะเอเชียเติบโตสูงขึ้นกว่าปีก่อนถึง 50%

“โชคดีที่มาร่วมงานช่วงนี้ เพราะเป็นช่วงที่เขากำลังให้ความสำคัญกับเอเชียมากๆ เราจึงสนุก เป็นช่วงที่น่าตื่นเต้น ไปไหนก็ได้รับการต้อนรับอย่างดี”

นอกจากเข้าร่วมประมูลหรือโทรศัพท์เข้ามาแล้ว ยังมีลูกค้าที่ประมูลเองทางออนไลน์ด้วยซึ่งช่องทางนี้ช่วยเพิ่มผู้ซื้อหน้าใหม่ โดย Christie’s มีผู้ซื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นถึง 31% ในปีที่ผ่านมา และ 37% มาจากออนไลน์ รายได้จากการขายผ่านช่องทางออนไลน์ปีที่แล้วสูงถึง 72.4 ล้านเหรียญ ขณะที่ยอดขายทางออนไลน์จากเอเชียก็เพิ่มขึ้นถึง 23%
<h3>ปักหมุดศิลปินไทยในแผนที่โลก</h3>
ด้วยกระแสความแรงของศิลปะเอเชีย ทำให้ประภาวดีตั้งเป้าว่าจะพางานศิลปะจากประเทศไทยโกอินเตอร์ให้มากขึ้น “เมื่อมองไปรอบๆ...สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และเวียดนาม ศิลปินบ้านเราสู้ได้ในความสามารถ โดยปัจจุบันมีศิลปินไทยร่วมสมัยหลายคนที่มีชื่อเสียงในต่างประเทศ ซึ่งเราสามารถช่วยผลักดันศิลปินให้ไปไกลกว่านี้อีก ไทยเรามีครบไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ ศิลปะที่มีความลึกซึ้งและหลากหลาย และคนที่ครีเอทีฟ”

<iframe id="instagram-embed-0" class="instagram-media instagram-media-rendered" src="https://www.instagram.com/p/BlNob-eFQ7_/embed/?cr=1&amp;v=9&amp;wp=350&amp;rd=http%3A%2F%2Fforbesthailand.com&amp;rp=%2Fforbes-life-detail.php#%7B%22ci%22%3A0%2C%22os%22%3A30660%7D" height="550" frameborder="0" scrolling="no" data-instgrm-payload-id="instagram-media-payload-0" data-mce-fragment="1"></iframe>

ถึงแวดวงศิลปะบ้านเราจะไม่เฟื่องฟูเท่ากับหลายประเทศ แต่ระยะหลังมานี้ก็มีความคึกคักมาตลอด มีงานใหม่ให้ชมตามหอศิลป์ แกลเลอรี หรือพิพิธภัณฑ์ สร้างกระแสความเคลื่อนไหวในวงการ โดยเฉพาะเมื่อ ศ.ดร.อภินันท์ โปษยานนท์ ประกาศจัดงาน Bangkok Art Biennale ในวันที่ 19 ตุลาคม 2561 - 3 กุมภาพันธ์ 2562 ซึ่งจะสร้างความคึกคักให้กับวงการศิลปะในประเทศไทย

ประภาวดีเชื่อมั่นว่างาน Bangkok Art Biennale จะช่วยยกระดับวงการศิลปะไทยและจะเป็นโอกาสอันดีที่เธอในฐานะตัวแทนของ Christie’s จะช่วยนำศิลปินไทยไปสู่สากลได้มากขึ้นผ่านเครือข่ายที่มีอยู่ทั่วโลก และขั้นต่อไปทาง Christie’s ประเทศไทยจะมีการเชิญทีมงานผู้เชี่ยวชาญมาดูงานศิลปะที่เมืองไทย เพื่อให้นักสะสมจากทั่วโลกรู้จักงานของประเทศไทยมากขึ้น

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/83c2bd0d4f5c2239f7a63f6be7c2ac94.jpg" alt="" width="638" height="471" /><figcaption> ภาพหนึ่งในชุด “การมองโลกในแง่ดีคือเรื่องน่าขัน” โดย นที อุตฤทธิ์ ศิลปินไทยที่โด่งดังในระดับโลก (ขอบคุณภาพจาก artbangkok.com)</figcaption></figure>

“อันที่จริงแล้ว เรามีศิลปินไทยร่วมสมัยที่มีชื่อเสียงในระดับนานาชาติหลายคน เช่น ชาติชาย ปุยเปีย, พินรี สัณฑ์พิทักษ์, ฤกษ์ฤทธิ์ ตีระวนิช, นที อุตฤิทธิ์ แต่ส่วนใหญ่เขาไปดังกันเอง ซึ่งเราคิดว่าหากมีแรงสนับสนุนและมีระบบที่เอื้ออำนวยมากขึ้น วงการศิลปะไทยก็จะดีกว่านี้ ศิลปะเป็นน้ำหล่อเลี้ยงจิตใจ เราก็อยากให้รัฐบาลให้ความสำคัญและให้การสนับสนุนมากขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องเป็นเม็ดเงินเสมอไป”
<h3>โลกกว้างของนักสะสม</h3>
เมื่อถามว่าเธอเองเป็นนักสะสมด้วยหรือไม่ ประภาวดีหัวเราะเบาๆ “มาเห็นใน Christie’s แล้วอายไม่กล้าเรียกตัวเองว่านักสะสม เรียกว่า ‘เก็บ’ ดีกว่า คือไม่ได้สะสมมาก ส่วนใหญ่เป็นภาพวาด แต่ก่อนเดินทางกับสามี มีเวลาก็ซื้อ เช่น ที่เมียนมา เวียดนาม อินโดฯ ไปพูดคุยกับศิลปิน คือเราต้องชอบก่อนแล้วศึกษาความเป็นมา ฟัง inspiration ของศิลปิน ถ้าถูกใจเราก็ซื้อ”

ขณะเดียวกัน จากการที่มีโอกาสพูดคุยกับลูกค้า ก็พบว่าหลายคนจะมีรสนิยมเปลี่ยนไป ซึ่งก็เป็นธรรมดาที่ช่วงหนึ่งอาจชอบศิลปะของศิลปินผู้นั้นผู้นี้ แต่ผ่านไปสักระยะก็เปลี่ยนไปชอบอีกแบบหนึ่ง จึงเป็นที่มาของการให้บริการในอีกลักษณะคือการฝากขาย (consignment) กับทาง Christie’s

“บางคนก็แบบ...เบื่อแล้วเพ้นท์ติ้งชิ้นนี้หรือจิวเวลรี่ชิ้นนี้ ก็สามารถนำมาฝากขายกับเรา หรือใช้บริการประเมินราคาของเราได้ บางครั้งก็ไม่ต้องนำไปประมูล แต่ฝากเราขายแบบ private sale ได้ ส่วนคนที่อยากซื้อก็อาจจะบอก wish list ไว้ได้”

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/54e5db3acf1b0590b19520e5329d9ab6.jpg" alt="" width="638" height="425" /><figcaption> งานประมูลของสะสมส่วนตัวของ David Rockefeller มหาเศรษฐีผู้ล่วงลับที่สร้างสถิติโลกสูงถึง 646 ล้านเหรียญ</figcaption></figure>

สำหรับประภาวดี งานบริหารไม่น่าเป็นปัญหา เพียงแต่ต้องเรียนรู้เพิ่มเติมเรื่องงานศิลปะ สินค้าลักชัวรี่ การสะสม และเทรนด์ของการสะสม ซึ่ง Christie’s มีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านมากมายมาช่วย “เราไม่ได้ทำงานคนเดียว เรามีผู้เชี่ยวชาญที่มาช่วยเติมเต็ม บางครั้งเราก็เรียนรู้จากลูกค้าที่สะสมมานานอีกด้วย”

ทุกวันนี้เธอสนุกกับการทำงานที่ Christie’s และบาลานซ์เวลาได้อย่างดีหลังจากเคยไม่มีเวลาให้ตัวเองมาแล้ว เธอกล่าวเพิ่มเติมว่า ผู้หญิงหลายคนไม่ให้ความสำคัญกับเวลาส่วนตัว ซึ่งตัวเธอก็มีช่วงหนึ่งที่เป็นเช่นนั้น กระทั่งวันหนึ่งเธอเริ่มให้ความสำคัญกับตัวเอง ให้เวลาตัวเองด้วยการอ่านหนังสือและนั่งสมาธิ “เราต้องรักและดูแลตัวเองให้ดีก่อน เพื่อที่เราจะได้มีกำลังไปทำประโยชน์ และช่วยคนอื่นได้”

&nbsp;

เรื่อง: วีณา ธูปกระแจะ
ภาพ: Satra. P

ประภาวดี โสภณพนิช ปักหมุดศิลปะไทยในแผนที่นักสะสมโลก

<h2>แม้เศรษฐกิจโลกโดยรวมอาจดูซบเซา แต่เหล่าเศรษฐีทั่วโลกโดยเฉพาะจากทวีปเอเชีย ผู้พิสมัยวัตถุโบราณเช่นผลงานศิลปะหรือชิ้นงานระดับลักชัวรี่ต่างๆ กลับไม่หวั่น สะท้อนจากข้อมูลของ Christie’s สถาบันประมูลชั้นนำระดับโลกของอังกฤษซึ่งมีประวัติยาวนานกว่า 250 ปี ที่เผยว่าปีที่ผ่านมา Christie’s มียอดขาย (รวมการประมูลและการขาย) ทั้งสิ้น 5.1 พันล้านปอนด์ (ราว 2.3 แสนล้านบาท) สูงกว่าปี 2016 ถึง 26%</h2>
ประภาวดี โสภณพนิช ผู้จัดการทั่วไป Christie’s ประเทศไทย เผยรายละเอียดว่า ส่วนหนึ่งของยอดขายรวมที่สูงขึ้นดังกล่าวเป็นผลจากการเปิดประมูลภาพเขียน “Salvator Mundi” ฝีมือ Leonardo da Vinci ที่มีผู้ประมูลไปด้วยมูลค่า 342.2 ล้านปอนด์ในเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ซึ่ง การประมูล ยังคงเป็นประเภทหลักของยอดขาย โดยอยู่ที่ 4.6 พันล้านปอนด์ สูงขึ้น 38% จากปี 2016 ส่วนยอดขายจาก ไพรเวท เซลส์ อยู่ที่ 472.4 ล้านปอนด์ ลดลง 32% จากปี 2016

<figure><img style="width: 350px; height: 458px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/58c63befdbb3d9c2a469fbe789a7491e.jpg" alt="" width="780" height="1020" /><figcaption> “Salvator Mundi” วาดโดย Leonardo da Vinci ขนาด 65.7 x 45.7 ซ.ม. (ภาพ : www.christies.com)</figcaption></figure>

ด้านผู้ซื้อใหม่ของ Christie’s มีจำนวนเพิ่มขึ้น 31% ซึ่ง ออนไลน์ เป็นช่องทางที่ผู้ซื้อใหม่ใช้ถึง 37% หากพิจารณาช่องทางการประมูลแบบเดิมและช่องทางการประมูลออนไลน์พบว่า งานศิลปะ 2 ประเภทหลักที่ดึงดูดผู้ซื้อใหม่ได้คือ ชิ้นงานลักชัวรี่ (จิวเวลรี่ นาฬิกา ฯลฯ) 28% และ ชิ้นงานศิลปะตกแต่ง 18% และหากแบ่งผู้ซื้อใหม่ตามภูมิภาคพบว่า ทวีปอเมริกา มีผู้ซื้อใหม่มากสุดที่ 40% รองลงมาคือ ยุโรปและตะวันออกกลาง 38% และ เอเชีย 22%

<figure><img style="width: 680px; height: 453px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/16d079889655c31bb0e2ef575c35ce31.png" alt="" width="680" height="453" /><figcaption> (ซ้ายและขวา) เยาวณี นิรันดร และ ปัญญชลี เพ็ญชาติ สองผู้ก่อตั้ง Christie’s ประเทศไทย และ ประภาวดี โสภณพนิช</figcaption></figure>

ผู้จัดการทั่วไป Christie’s ประเทศไทย เผยด้วยว่า เอเชียเป็นทวีปที่ทวีความสำคัญเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เห็นได้จากยอดขายรวมในปี 2017 ที่ Christie’s มียอดขายจากทวีปเอเชียเพิ่มขึ้นเป็น 31% จากปี 2008 ปี 2011 และปี 2015 ซึ่งอยู่ที่ 12% 22% และ 29% ตามลำดับ

“มีเศรษฐีชาวไทยหลายคนสนใจประมูลชิ้นงานศิลปะของ Christie’s ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และปีนี้เราจะมีกิจกรรมในไทยหลายครั้ง อย่าง Geneva Watches Preview ก็จะมีรอบ Bangkok Preview ในปลายเดือนมีนาคมนี้ หรือ Hong Kong Jewelry and Watches Preview เราก็จะจัด Bangkok Preview ราวๆ กลางเดือนพฤษภาคม” ประภาวดี เผย พร้อมบอกด้วยว่า Christie’s พร้อมจะสนับสนุนผลงานของศิลปินชาวไทยให้เป็นที่รู้จักในระดับโลก อย่างไรก็ดียังคงต้องอาศัยการสนับสนุนจากภาครัฐเพื่อผลักดันให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น

<figure><img style="width: 680px; height: 391px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/d9b5e2b3c98320459d8c0644df92a524.jpg" alt="" width="747" height="429" /><figcaption> ยอดขายรวมแบ่งตามทวีป (ข้อมูล : Christie’s ประเทศไทย)</figcaption></figure>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events