<h2>นักลงทุนรุ่นใหม่ เผย บิตคอยน์มีโอกาสจะเข้าสู่ภาวะ Supply Shock และการเกิด Bitcoin Halving เป็นแรงผลักดันราคาบิตคอยน์ ขณะที่ทองคำสามารถปรับตัวสูงขึ้นได้ทั้งที่ค่าเงินดอลลาร์ยังไม่อ่อนค่ามากนัก ทำให้สองสินทรัพย์นี้ยังมีความน่าสนใจแม้ราคาจะขึ้นมาสร้างจุดสูงสุดใหม่ ขณะที่ตลาดหุ้นจีนเริ่มกลับตัวเป็นขาขึ้นสามารถทยอยลงทุนได้ </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ณพวีร์ พุกกะมาน นักลงทุนและผู้ก่อตั้ง Creative Investment Space (CIS) สถาบันให้ความรู้ด้านนวัตกรรมการลงทุนรูปแบบใหม่ เผยว่า ทองคำและบิตคอยน์ เป็นสินทรัพย์ที่มีคุณลักษณะใกล้เคียงกัน และยังสามารถขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดใหม่ของราคาได้ในเวลาไล่เลี่ยกัน ถือว่ามีความน่าสนใจในการลงทุนแม้ราคาในช่วงนี้จะขึ้นมาสูงก็ตาม โดยปัจจัยหนุนราคาบิตคอยน์ คือการที่นักลงทุนรายใหญ่ระดับสถาบันเข้ามาลงทุนในบิทคอยน์ด้วยการไล่ซื้อในตลาด Spot ผ่านกองทุน Bitcoin ETF มากขึ้น จากความคาดหวังว่าหลังการเกิด Bitcoin Halving ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่สามของเดือนเมษายน ราคาจะปรับตัวเป็นขาขึ้นเต็มตัวตามสถิติเดิมที่เกิดขึ้นในอดีต&nbsp; &nbsp; จากสถิติที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าตลอดระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้ากองทุน Bitcoin ETF ได้เข้าซื้อบิตคอยน์กว่า 10,000BTC ขณะที่มีจำนวนบิตคอยน์ที่ออกมาสู่ตลาดในหนึ่งวันเพียง 900BTC ซึ่งหลัง Bitcoin Halving จำนวนบิตคอยน์ที่ออกสู่ตลาดจะลดลงครึ่งหนึ่ง อาจเป็นเหตุผลให้นักลงทุนรายใหญ่รีบเข้ามาเก็บบิทคอยน์ก่อนที่จะไม่สามารถหาซื้อในตลาดรองได้อีก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ความกังวลว่าจะเกิดภาวะ Supply Shock ของบิตคอยน์น่าจะเป็นแรงจูงใจให้นักลงทุนรายใหญ่เร่งสะสมบิตคอยน์ก่อนที่จะเกิด Bitcoin Halving ซึ่งต้นทุนของนักลงทุนรายใหญ่เหล่านี้จะอยู่ตั้งแต่ระดับ 45,000 – 50,000 ดอลลาร์ เมื่อเทียบกับราคาในปัจจุบันที่ใกล้เคียงกับจุดสูงสุดเดิมที่ระดับ 69,000 ดอลลาร์ แม้จะมีกำไรแล้วแต่อัพไซด์ในอนาคตหลัง Bitcoin Halving มีโอกาสที่จะขึ้นสู่ระดับแสนดอลลาร์ขึ้นไปทำให้แนวโน้มราคาบิตคอยน์ยังสามารถที่จะปรับตัวขึ้นต่อได้”&nbsp;ณพวีร์ กล่าว&nbsp; <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/03/XgNujFtC36xs6ceU3tPN.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="XgNujFtC36xs6ceU3tPN.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ การที่ราคาปรับฐานลงมาประมาณ 15% หลังขึ้นไปทดสอบจุดสูงสุดเป็นสัญญาณเตือนว่าแม้ตลาดจะเป็นขาขึ้น บิตคอยน์ยังมีโอกาสที่จะปรับฐานลงมาได้ตลอดเวลา นักลงทุนจึงยังจำเป็นต้องบริหารความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง โดยรอจังหวะเข้าซื้อเมื่อราคาย่อตัวลงมากกว่าไปรีบไล่ราคา&nbsp; &nbsp; เหรียญทางเลือก หรือ Altcoin ที่น่าสนใจในการลงทุนคือ Ethereum ซึ่งกำลังมีสตอรี่ของการตัดสินใจของ ก.ล.ต.สหรัฐอเมริกา ว่าจะอนุมัติกองทุน Ethereum ETF แบบเดียวกับบิตคอยน์หรือไม่ ประกอบกับการอัพเกรดใหม่ที่จะเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของบล็อกเชนให้ดีขึ้น จึงสามารถทยอยสะสมลงทุนได้&nbsp; &nbsp; ด้านทองคำสามารถที่จะขึ้นไปทดสอบจุดสูงสุดเดิมที่ระดับ 2,140 ดอลลาร์ ได้สำเร็จ ทั้งที่ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ไม่ได้แข็งค่าขึ้นเท่าที่ควร ประกอบกับตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ประกาศออกมาไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอที่จะทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ ต้องรีบปรับลดดอกเบี้ยเร็วกว่าที่ประกาศไว้ก่อนหน้านี้ ถ้าหากคณะกรรมการนโยบายการเงินมีการลดดอกเบี้ยน่าจะยิ่งเป็นแรงผลักดันให้กับราคาทองคำสามารถปรับตัวขึ้นต่อ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่สินทรัพย์อื่นๆ เช่น หุ้นเทคโนโลยี อาจจะเริ่มมีอัพไซด์ที่จำกัด แม้ว่าผลประกอบการของหุ้นที่เกี่ยวข้องกับเอไอจะยังเติบโตได้อย่างดี แต่การที่ราคาปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างมากอาจทำให้นักลงทุนบางส่วนอาจย้ายเงินลงทุนไปยังกลุ่มอื่น ถ้าจะลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ต้องรอให้ราคาย่อตัวและจับจังหวะซื้อขายเก็งกำไรไปก่อน ส่วนหุ้นเทคโนโลยีกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้ายังประสบปัญหาการแข่งขันตัดราคาจึงยังไม่น่าสนใจลงทุนตอนนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับสินทรัพย์ที่น่าสนใจในเดือนมีนาคมนี้ คือตลาดหุ้นจีน ทั้งตลาดในแผ่นดินใหญ่และตลาดฮ่องกงที่สัญญาณทางเทคนิคเริ่มเห็นภาพการกลับตัวเป็นขาขึ้นหลังจากที่แนวโน้มเป็นขาลงมาหลายปี สำหรับผู้ที่ยังไม่มีพอร์ตหุ้นจีนสามารถที่จะเริ่มต้นสะสมได้ ส่วนผู้ที่ลงทุนมาแล้วก่อนหน้านี้และยังมีเงินสดสามารถที่จะเข้าซื้อเพื่อถัวราคาได้แล้ว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจัยอื่นที่ต้องจับตา คือความเคลื่อนไหวของการคัดเลือกผู้รับสมัครตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่เริ่มต้นขึ้น โดยมุมมองของผู้รับสมัครที่มีต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ และนโยบายการเมืองระหว่างประเทศจะส่งผลต่อภาวะตลาดได้เช่นกัน โดยอาจจะมีความผันผวนมากขึ้นถ้าหากได้ตัวผู้สมัครที่ชัดเจนและเริ่มมีการประกาศนโยบายของตัวเองออกมา อย่างไรก็ตามยังไม่เห็นปัจจัยลบอื่นที่จะเกิดขึ้นในช่วงหลังจากนี้ จึงยังมีมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนในเดือนมีนาคมที่น่าจะยังสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดี เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/signs-of-fed-cutting-interest-rate" alt="จับสัญญาณเฟด เงินเฟ้อกดดันลดดอกเบี้ย">จับสัญญาณเฟด เงินเฟ้อกดดันลดดอกเบี้ย</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

'บิตคอยน์-ทองคำ' มีโอกาสพุ่งต่อ หลังราคาสร้างจุดสูงสุดใหม่

<h2>ผลวิจัยจาก Finra และสถาบัน CFA เผย นักลงทุนกลุ่มวัยรุ่น Gen Z อาจเสี่ยงขาดทุนเพราะนิยมฟังข้อมูลประกอบการลงทุนที่ค้นหาเจอจากโซเชียลมีเดียมากกว่า โดยมีเพียง 30% เท่านั้นที่เลือกฟังคำแนะนำจากที่ปรึกษาทางการเงินหรือโบรกเกอร์ผู้เชี่ยวชาญ </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Finra Investor Education Foundation บริษัทในเครือของหน่วยงานเฝ้าระวังการกำกับดูแลตนเองของอุตสาหกรรมนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ และสถาบัน CFA ซึ่งดูแลการกำหนดนักวิเคราะห์ทางการเงินที่ได้รับการรับรอง เผยถึงผลงานวิจัยพฤติกรรมการลงทุนของนักลงทุนรุ่นใหม่ หรือ Gen Z ที่เกิดระหว่างปี 1997 ถึง 2012 ว่า กลุ่มนักลงทุนดังกล่าว กลุ่มคน Gen Z มักจะมองหาเคล็ดลับการลงทุนบนโซเชียลมีเดีย เว็บไซต์อื่น ๆ รวมถึงเพื่อนและครอบครัวแทนที่จะไปขอคำแนะนำ จากที่ปรึกษาหรือนายหน้าโบรกเกอร์การลงทุน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้มักเกิดความเสียหายต่อเงินต้นที่ใช้ลงทุน หรือ ตกเป็นเครื่องมือของนักลงทุนบางกลุ่มที่หวังผลด้านราคาในลักษณ์ที่เข้าใจกันโดยทั่วไปว่า "รายใหญ่หลอกแมงเม่าให้ช่วยลากเหรียญ" &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ financial-planning ยังได้เผยแพร่รายงานอ้างอิงพฤติกรรมการลงทุนของนักลงทุนรุ่นใหม่ หรือ "Gen Z and Investing: Social Media, Crypto, FOMO and Family" จากฐานข้อมูลที่รวบรวมเมื่อเดือนพฤศจิกายนและธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยผลการสำรวจ Gen Z ที่มีอายุระหว่าง 18-25 ปี จำนวนทั้งสิ้น 2,782 คน จะมีเพียง 30% เท่านั้นที่มองหาคำแนะนำการลงทุนจากนักวางแผนการเงิน นอกนั้นจะเป็นการหาข้อมูลจากโซเชียลมีเดียมากที่สุด ถัดมาคือการหาข้อมูลหรือคำแนะนำจากครอบครัวหรือผู้ปกครอง และเพื่อน ตามลำดับ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตามนักลงทุนรุ่นเยาว์ยังแสดงความชอบในการลงทุนในสกุลเงินดิจิทัล เช่น Bitcoin โดยจากการสำรวจ Gen-Z กว่า 55% กล่าวว่าพวกเขานำเงินไปลงทุนใน crypto เช่นเดียวกับ 57% ของคนรุ่นมิลเลนเนียล ประมาณ 4 ใน 10 ของผู้ตอบแบบสอบถามทั้งสองกลุ่มกล่าวว่าพวกเขาลงทุนในหุ้นรายตัว ซื้อกองทุนซื้อขายแลกเปลี่ยนน้อยกว่าหนึ่งในสามซึ่งติดตามดัชนีเช่น S&amp;P 500 และได้รับการขนานนามว่าเป็นวิธีการกระจายการลงทุนที่มีต้นทุนต่ำ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่ผู้ตอบแบบสำรวจนักลงทุน Gen Z ครึ่งหนึ่งกล่าวว่าพวกเขาถูกผลักดันให้ลงทุนด้วยความกลัวที่จะพลาดโอกาส หรือ FOMO และ 44% กล่าวว่ากลุ่มของพวกเขาประสบปัญหาทางการเงินมากกว่ากลุ่มที่มีอายุมากกว่า​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/05/yGYvAk8fGtALsHKkdjLB.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="yGYvAk8fGtALsHKkdjLB.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้าน Jack Heintzelman นักวางแผนการเงินที่ได้รับการรับรองจาก Boston Wealth Strategies ในเมืองนีดแฮม รัฐแมสซาชูเซตส์ กล่าวว่า เป็นที่ทราบกันดีว่าสัญชาตญาณแรกของ Gen-Z และคนรุ่นมิลเลนเนียลเมื่อพวกเขากำลังค้นหาข้อมูลในหัวข้อใหม่คือการดูอินเทอร์เน็ต แต่ทั้งนี้มีนักวางแผนทางการเงินน้อยเกินไปในฟอรัมเช่น Twitter, Reddit และ TikTok ที่ให้คำแนะนำที่ดี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Heintzelman เองนั้น ปัจจุบันมีอายุ 26 ปีโดยช่วงอายุของเขา อยู่ในช่วงรอยต่อ Gen Z และรุ่นมิลเลนเนียล เขากล่าวว่าลูกค้าอายุน้อยจำนวนมาก ไม่ต้องการใช้ผู้จัดการความมั่งคั่งแบบเดียวกับที่พ่อแม่ของพวกเขาไปขอคำแนะนำ เขามีความมั่นใจสูง และมักมีความคิดที่ว่ามีความเชี่ยวชาญและเข้าถึงการใช้งานคุ้นเคยกับเทคโนโลยีมากกว่า กลุ่มนักวิเคราะห์การลงทุนมืออาชีพที่มีอายุมากกว่า และอาจมีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีน้อยกว่า&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้เทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญไม่เพียงแต่ในการที่นักลงทุนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้เกี่ยวกับการลงทุนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงวิธีการลงทุนด้วย จากผู้ตอบแบบสำรวจ Gen -Z จำนวน 65% กล่าวว่าพวกเขาใช้แอปเพื่อการลงทุน 55% ของคนรุ่นมิลเลนเนียลรายงานว่าทำเช่นเดียวกัน ในบรรดา Gen -X นั้น มีเพียง 38% เท่านั้นที่กล่าวว่าพวกเขาใช้แอพพลิเคชั่นเพื่ออำนวยความสะดวกในการลงทุน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม เกือบ 7 ใน 10 หรือ 69% ของนักลงทุน Gen-Z กล่าวว่าพวกเขามักจะเชื่อคำแนะนำจากผู้ที่สามารถ "อธิบายสิ่งต่างๆ ได้อย่างชัดเจน" อันดับถัดมา 53% กล่าวว่าพวกเขาเชื่อมั่นในข้อมูลที่ "เกี่ยวข้องกับฉัน" และมากกว่าครึ่งหรือ 52% กล่าวว่าพวกเขาเชื่อถือที่ปรึกษาที่แบ่งปันรายละเอียดเกี่ยวกับประสิทธิภาพทางการเงินของตนเอง อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://www.forbesthailand.com/news/marketing/blancpain-%E0%B9%80%E0%B8%9C%E0%B8%A2-%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%A5%E0%B8%B2-%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88-ladybird-color-%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%99-%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B9%8C" alt="Blancpain เผยเรือนเวลาคอลเล็กชั่นใหม่ “Ladybird Colors” สีสันหลากสไตล์">Blancpain เผยเรือนเวลาคอลเล็กชั่นใหม่ “Ladybird Colors” สีสันหลากสไตล์</a>​<hr class="__se__solid"><a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

 ผลวิจัยเผย Gen Z เสี่ยงขาดทุนเพราะเชื่อโซเชียลมากกว่าโบรกเกอร์

Scrubgrass ผู้เยียวยาสภาพอากาศ จากคริปโตผู้สูบพลังงาน

Cameron และ Tyler Winklevoss คู่แฝดพันล้าน Gemini แห่งวงการคริปโต

10 บริษัท “BLOCKCHAIN” ระดับโลก

Bitcoin ยังไม่ใช่เงิน (ในตอนนี้)

<h2 class="p1">Tesla ผู้นำด้านการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ส่งเอกสารรายงานต่อคณะกรรมการกำกับดูแลหลักทรัพย์สหรัฐฯ ถึงการเข้าซื้อบิตคอยน์เป็นมูลค่ารวม 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ พร้อมระบุว่าในอนาคตทางบริษัทอาจรับชำระค่าสินค้าด้วยบิตคอยน์ ซึ่งหลังจากมีรายงานข่าวดังกล่าว ราคาบิตคอยน์ได้ปรับสูงขึ้นถึง 43,000 เหรียญ</h2>
<img class="alignnone wp-image-41199" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/02/Tesla-bitcoin-criptomoneda-inversiones.jpg" alt="บิตคอยน์" width="720" height="405" />
Tesla ให้เหตุผลว่า การเข้าซื้อบิตคอยน์ในครั้งนี้เป็นไปเพื่อ “กระจายการลงทุนและเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนจากเงินสดที่บริษัทมีอยู่” เพราะการที่บริษัทใหญ่ๆ ถือเงินสดเพียงค่าเดียวอาจจะทำให้ได้รับการผันผวนจากค่าเงินได้
ทั้งนี้ ตั้งแต่ปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา ราคาของ<a style="color: #008000;" href="https://markets.businessinsider.com/currencies/news/dogecoin-price-elon-musk-twitter-cryptocurrency-market-trading-reddit-doge-2021-2-1030043774"> Dodgecoin </a>หนึ่งในสกุลเงินดิจิทัลปรับตัวขึ้นสูงราวร้อยละ 60 หลังจากที่ Elon Musk ซีอีโอของ Tesla ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นในเชิงสนับสนุนผ่านทางทวิตเตอร์อย่างต่อเนื่อง ถึงสิ่งที่เขาเรียกว่าเป็น “คริปโตเคอร์เรนซีของประชาชน”
ไม่เพียงเท่านี้ Musk ยังได้ทำการแก้ไขชีวประวัติบนทวิตเตอร์ส่วนตัวด้วยการใส่แฮชแท็ก #bitcoin ซึ่งก็ได้ส่งผลให้มูลค่าของสินทรัพย์ดิจิทัลดังกล่าวพุ่งขึ้นกว่า<a style="color: #333333;" href="https://www.coindesk.com/bitcoin-surges-to-37k-after-elon-musk-adds-crypto-to-twitter-bio">ร้อยละ</a><a style="color: #333333;" href="https://www.coindesk.com/bitcoin-surges-to-37k-after-elon-musk-adds-crypto-to-twitter-bio"> 15 ในระยะเวลาเพียง 15 นาที</a>
อย่างไรก็ดี ในเอกสารรายงานดังกล่าว Tesla ได้กล่าวเตือนนักลงทุนถึง “ความผันผวนสูง” ของสกุลเงินดิจิทัลและกฎเกณฑ์การควบคุมที่กำลังอยู่ระหว่างการดำเนินการ ขณะที่ Elon <a style="color: #333333;" href="https://www.theblockcrypto.com/linked/93225/elon-musk-bitcoin-on-verge-broad-acceptance-traditional-finance-people">Musk</a> ได้แสดงความคิดเห็นว่า "บิตคอยน์กำลังได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางและอาจกลายเป็นสกุลเงินหลักในอนาคต" แต่ก็ต้องรอดูข่าวคราว และข้อมูลเพื่อคาดการณ์กันต่อไป
ช่วงต้นเดือนมกราคม 2021 บิตคอยน์ปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ 40,000 เหรียญต่อบิตคอยน์ ซึ่งนับเป็นระดับราคาที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ ก่อนที่จะปรับตัวลงมาที่ 30,534 เหรียญในช่วงปลายเดือน และค่อยๆ ปรับตัวขึ้นอีกครั้งในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา
ล่าสุด หน่วยงานกำกับดูแลในรัฐบาลชุดใหม่ภายใต้การนำของประธานาธิบดี Joe Biden ได้ให้ความสำคัญกับการเคลื่อนไหวของคริปโตเคอร์เรนซีเป็นอย่างมาก โดยในที่นี้ Janet Yellen รัฐมนตรีว่าการกระทวงการคลังได้ออกมากล่าวว่า คริปโตเคอร์เรนซีอย่างบิตคอยน์ “อาจสร้างความกังวล” หากถูกนำไปใช้ในขบวนการผิดกฎหมาย อาทิเช่น การก่อการร้าย
แปลและเรียบเรียงโดย ชญาน์นัทช์ ธนินท์พงศ์ภัค จากบทความ Bitcoin Soars To New High After Tesla Says It Invested $1.5 Billion เผยแพร่บน Forbes.com

อ่านเพิ่มเติม: <a style="color: #003300;" href="https://forbesthailand.com/commentaries/special-report/%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%a5%e0%b8%87%e0%b8%97%e0%b8%b8%e0%b8%99%e0%b8%97%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%84%e0%b8%b3-%e0%b8%9b%e0%b8%b5-64-safe-haven-%e0%b8%9a%e0%b8%b2%e0%b8%87%e0%b8%aa.html">การลงทุนทองคำ ปี ’64 Safe Haven บางส่วน ตอนที่ 1</a>

บิตคอยน์แตะระดับสูงสุดในประวัติศาสตร์ หลัง Tesla เข้าลงทุน 1.5 พันล้านเหรียญ

ภายหลังสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ออกจดหมายด่วน โดยคณะกรรมการ มีมติให้บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด (Bitkub) แก้ไขระบบงานเพื่อคุ้มครองผู้ลงทุนตามประกาศของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในการประชุมครั้งที่ 2/2564 เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2564 นั้น

ทาง บิทคับ ได้นำข้อเสนอแนะเข้าที่ประชุมบริษัทฯ และแจ้งให้พนักงานเตรียมการและวางแผนดำเนินงานให้ได้ตามเงื่อนไขที่ทาง ก.ล.ต. แจ้งมาและวางแผนดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุด ทางบริษัทได้ปฏิบัติงานเพื่อปรับปรุงระบบและการให้บริการเบื้องต้น ดังต่อไปนี้

- ปิดการรับสมัครลูกค้าใหม่ เพื่อจัดการสะสางยอดผู้สมัครใหม่ที่รอการยืนยันตัวตน บริษัทได้ทำการเพิ่มพนักงานสัญญาจ้างชั่วคราวจำนวน 120 อัตรา เพื่อรองรับลูกค้าที่สมัครเปิดบัญชีใหม่และทำการขอยืนยันตัวตนเข้ามาในช่วงก่อนหน้านี้ รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบรายการยืนยันตัวตนคงค้างให้เสร็จสิ้น โดยปัจจุบันดำเนินการแล้วเสร็จกว่าร้อยละ 90 และอยู่ระหว่างดำเนินการตรวจสอบรายการคงค้างที่เหลือ

- ปรับปรุงระบบการจัดการเรื่องร้องเรียน ดำเนินการเพิ่มพนักงานสัญญาจ้างชั่วคราวจำนวน 300 อัตรา เพื่อรองรับการให้บริการลูกค้าใหม่ที่เพิ่มเข้ามาในระบบ โดยการให้บริการจะดำเนินการผ่านช่องทางหลัก ได้แก่ ไลฟ์แชท โทรศัพท์ และจดหมายอิเล็กทรอนิกส์(อีเมล) รวมถึงมีการขยายคู่สายการให้บริการทางโทรศัพท์ จาก 30 คู่สาย เป็น 240 คู่สาย

- ปรับปรุงระบบ พัฒนาและขยายระบบภายในและแอปพลิเคชันให้สามารถใช้งานได้ ดำเนินการออกแบบและเตรียมปรับปรุงวิธีการแสดงผล ทั้งเว็บไซต์และโมบายแอปพลิเคชัน ให้มีการแสดงผลสินทรัพย์ที่ถือครองอย่างถูกต้อง

- ดำเนินการพัฒนาแผนการที่สามารถรองรับการประกอบธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง (Business Continuity Plan: BCP) ตามที่กำหนด พัฒนาระบบตรวจสอบการซื้อขายภายในและระบบการกู้คืน Trading Function หากเกิดปัญหาขึ้น ซึ่งบริษัทฯ กำลังดำเนินการร่างแผนงานอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อรองรับสถานการณ์เมื่อเกิดเหตุขัดข้องในอนาคต

- พัฒนาระบบการตรวจสอบการซื้อขายตามที่กำหนด ดำเนินการทำระบบการแจ้งเตือนนักลงทุน เมื่อราคาต่างกับตลาดอื่นๆอย่างผิดปกติ โดยจัดทำทั้งบนเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน โดยงานในส่วนนี้จะมีการออกประกาศเรื่องแนวทางการขึ้นเครื่องหมายเพื่อให้นักลงทุนทราบถึงสถานะของเหรียญนั้น ภายในวันที่ 23 มกราคม 2564 และแผนในระยะยาวจะทำการเสริมทีม Market Surveillance เพื่อตรวจสอบพฤติกรรมการส่งคำสั่งไม่เหมาะสมในตลาด

รายละเอียดของแผนงานต่างๆ จะถูกนำเสนออย่างเป็นรูปธรรมให้สำนักงานกำกับดูแลโดยตรง ทั้งนี้การดำเนินการแก้ไขปัญหาของบริษัทฯ ตามที่ได้ชี้แจงไปข้างต้นนั้นสอดคล้องกับประกาศของคณะกรรมการกำกับตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) อ้างอิงจากประกาศของ ก.ล.ต. ในการประชุมครั้งที่ 2/2564 เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2564 อาศัยอำนาจตามมาตรา 35 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกำหนด การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 มีมติให้บริษัทส่งแผนการแก้ไขให้ ก.ล.ต. และดำเนินการแก้ไขระบบงานที่เป็นประเด็นปัญหาให้แล้วเสร็จภายใน 5 วัน โดยมีรายละเอียดตามประกาศนี้ <a href="https://www.sec.or.th/TH/Pages/News_Detail.aspx?SECID=8747">https://www.sec.or.th/TH/Pages/News_Detail.aspx?SECID=8747</a>

ส่วนความคืบหน้านั้น บริษัทฯ สามารถนำระบบโมบายแอปพลิเคชันกลับมาให้ใช้งานได้บางส่วน เมื่อเวลา 14.30 น. ของวันที่ 20 มกราคม 2564 โดยให้ลูกค้าสามารถล็อกอินเข้ามาในระบบเพื่อทำการยกเลิกคำสั่งซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ตั้งไว้ระหว่างช่วงเวลา 14:30 น. - 15:00 น. และ เปิดให้ระบบกลับมาใช้งาน ซื้อ - ขาย - ฝาก - ถอนสินทรัพย์ดิจิทัล และฝาก - ถอนเงินสกุลไทยบาท ได้ตั้งแต่เวลา 15:00 น. วันที่ 20 มกราคม 2564 เป็นต้นไป

ทั้งนี้ ฟังก์ชันที่ไม่สามารถใช้งานบนโมบายแอปพลิเคชันได้ชั่วคราว มีดังต่อไปนี้
<ul>
 	<li>การเพิ่มบัญชีธนาคาร</li>
 	<li>ฟังก์ชันแก้ไขการลืมรหัสผ่าน</li>
 	<li>การฝากเงินบาทโดยโอนผ่านบัญชีธนาคาร (แต่ยังสามารถฝากเงินบาทผ่านการใช้ QR Code ได้ตามปกติ) และมีการแจ้งเพิ่มเติมว่าระบบอาจจะมีการใช้งานที่ช้ากว่าปกติในช่วงแรก เนื่องจากมี</li>
</ul>
การจำกัดเข้าถึงและจะกลับมาเป็นปกติในไม่ช้า และเว็บไซต์อยู่ในระหว่างการพัฒนาระบบให้สามารถกลับมาใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพตามที่กำหนด และหากท่านใดมีคำร้องหรือข้อสงสัยสามารถติดต่อบริษัทได้ที่ <a href="mailto:support@bitkub.com">support@bitkub.com</a>

คณะผู้บริหาร พนักงาน รวมถึงผู้มีส่วนเกี่ยวข้องของบริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด ล้วนมีความเสียใจและไม่นิ่งนอนใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น บริษัทจะพยายามอย่างสุดความสามารถในการเพิ่มบุคคลากรและพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อเร่งแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นให้คลี่คลายได้เร็วที่สุด โดยมีเป้าหมายนำระบบให้บริการสามารถกลับมาให้บริการได้เต็มรูปแบบอีกครั้ง และสร้างประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานแก่ลูกค้าได้ดังเดิม

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B9%87%E0%B8%A1%E0%B8%9A%E0%B8%B5-%E0%B8%84%E0%B8%B0%E0%B9%81%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B8%B6.html">ทีเอ็มบี คะแนนโดดเด่นขึ้นแท่นเบอร์หนึ่ง “การเงินที่เป็นธรรม” สองปีซ้อน</a>
<div class="single-content-writer-box">
<div>

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

</div>
</div>

"บิทคับ" ออกจดหมายแถลงความคืบหน้า หลังกลับมาเปิดให้บริการแอปฯ อีกครั้ง

<h2>มูลค่า ‘บิตคอยน์' สกุลเงินดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในโลก ณ วันเสาร์ที่ 2 มกราคม ได้ปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ <a style="color: #333333;" href="https://finance.yahoo.com/news/bitcoin-price-crosses-31-000-134912400.html?guccounter=1">33,000 เหรียญสหรัฐ</a>ต่อบิตคอยน์ ซึ่งนับเป็นระดับราคาที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ ก่อนที่จะปรับตัวลงมาที่ 32,000 เหรียญในช่วงบ่ายของวันเดียวกัน ท่ามกลางแนวโน้มความผันผวนสูง</h2>
<img class="alignnone wp-image-39865" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/01/bbbb.jpg" alt="บิตคอยน์" width="720" height="480" />

โดยในช่วงต้นเดือนกันยายน 2020 ที่ผ่านมา ราคาซื้อขายมักจะอยู่ในช่วง 10,000 เหรียญต่อบิตคอยน์ และไม่เคยปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 20,000 เหรียญเลย จนกระทั่งเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2020 ก่อนที่จะ<a style="color: #333333;" href="https://www.forbes.com/sites/billybambrough/2021/12/28/is-this-why-bitcoin-ethereum-litecoin-and-other-cryptocurrencies-have-suddenly-shot-higher/?sh=586127d14a5b">พุ่งสู่ 28,000 เหรียญหลังจากวันคริสต์มาส จน</a>กล่าวได้ว่า ในเดือนธันวาคมเพียงเดือนเดียว มูลค่าบิตคอยน์ปรับตัวมากถึงร้อยละ 50 และแตะระดับที่สูงที่สุดในวันเสาร์ที่ 2 มกราคม  ด้วยอัตราการเติบโตมากถึงร้อยละ 9

ในที่นี้ <a style="color: #333333;" href="https://www.forbes.com/sites/billybambrough/2020/12/16/bitcoin-just-smashed-through-20000-whats-next/?sh=55877cb24d89">Glen Goodman</a> นักเขียนด้านการเงินและการลงทุนได้กล่าวกับ Forbes ผ่านทางอีเมลเมื่อเดือนที่แล้วว่า “อย่าเพิ่งแห่ซื้อบิตคอยน์โดยพิจารณาแค่การปรับตัวของมูลค่าในช่วงนี้เพียงอย่างเดียว เนื่องจากอนาคตยังไม่แน่นอน และยังมีข้อมูลอีกมากมายที่ยังไม่เห็น เพราะเมื่อ 4 ปีที่แล้วก็เกิดเหตุการณ์อย่างนี้เช่นกัน บิตคอยน์แตะระดับสูงสุดในประวัติศาสตร์ก็จริง แต่หลังจากนั้นเพียง 2 สัปดาห์ ราคาก็ตกลงมากกว่าหนึ่งในสามเสียอีก”

ด้าน <a style="color: #333333;" href="https://edition.cnn.com/2021/01/02/investing/bitcoin-price-30000/index.html?utm_content=2021-01-02T19%3A30%3A08&amp;utm_term=link&amp;utm_source=twCNNi&amp;utm_medium=social">Nicholas Pelecanos</a> หัวหน้าแผนกการซื้อขายจาก NEM บริษัทคริปโตเคอร์เรนซี คาดการณ์ว่า ราคาบิตคอยน์จะปรับตัวสูงถึง 50,000 เหรียญในช่วงวาเลนไทน์ ขณะที่เมื่อกลางเดือนธันวาคมที่ผ่านมา Scott Minerd ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนจาก Guggenheim Investments ได้ให้สัมภาษณ์กับทาง <a style="color: #333333;" href="https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-01-02/bitcoin-breaches-30-000-as-rally-extends-into-new-year">Bloomberg</a> ว่า “ในที่สุด ราคาบิตคอยน์อาจทะยานสู่ 400,000 เหรียญก็เป็นได้”

นอกจากบิตคอยน์แล้ว ในปี 2020 สกุลเงินดิจิทัลอื่นๆ อาทิเช่น <a style="color: #333333;" href="https://www.forbes.com/sites/billybambrough/2021/12/28/is-this-why-bitcoin-ethereum-litecoin-and-other-cryptocurrencies-have-suddenly-shot-higher/?sh=586127d14a5b">ethereum และ litecoin</a> ก็ปรับตัวขึ้นสูงเช่นเดียวกัน โดยหนึ่งในปัจจัยสำคัญมาจากการเข้าลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลของสถาบันทางการเงินต่างๆ ที่เพิ่มมากขึ้น 

อาทิเช่น ในเดือนพฤศจิกายน <a style="color: #333333;" href="https://uk.reuters.com/article/ruffer-cryptocurrency-idUKKBN28Q1M7">Ruffer Investment Management</a> บริษัทจัดการกองทุนสัญชาติอังกฤษ ที่มีทรัพย์สินมากถึง 2.7 หมื่นล้านเหรียญได้เข้าซื้อบิตคอยน์รวมเป็นมูลค่ากว่า 745 ล้านเหรียญ ขณะที่ในเดือนก่อนหน้านั้น Paypal ผู้ให้บริการด้านการจ่ายเงินระดับโลก ได้อนุญาตให้ลูกค้าสามารถซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลต่างๆ รวมถึงบิตคอยน์ได้ ผ่านทางบัญชี Paypal ส่วนตัวที่มีอยู่

และล่าสุดในเดือนธันวาคม Massachusetts Mutual Life Insurance Company ได้เข้าซื้อคริปโตเคอร์เรนซีเป็นมูลค่ากว่า 100 ล้านเหรียญเพื่อการลงทุน 

โดยในที่นี้ Danny Scott ซีอีโอของ CoinCorner บริษัทซื้อขายบิตคอยน์และสกุลเงินดิจิทัลอื่นๆ กล่าวระหว่างให้สัมภาษณ์กับ <a style="color: #333333;" href="https://fortune.com/2021/01/02/is-bitcoin-a-bubble-will-it-crash-again-history/">Forbes</a> ว่า “ผมมองว่าปี 2021 จะเป็นยุคทองของบิตคอยน์ แม้ในช่วงที่ผ่านมามูลค่าจะมีความผันผวนสูงเป็นอย่างมากก็ตาม"

อย่างไรก็ดี ประวัติศาสตร์ในปี 2017 ได้ชี้ให้เห็นว่า ณ เวลานั้น บิตคอยน์ได้สร้างสถิติการปรับตัวสู่ระดับที่สูงสุดที่ 20,000 เหรียญต่อบิตคอยน์ แต่หลังจากนั้นอีก 12 เดือนถัดมา มูลค่าก็ตกลงมากกว่าร้อยละ 80 เลยทีเดียว

แปลและเรียบเรียงโดย ชญาน์นัทช์ ธนินท์พงศ์ภัค จากบทความ Bitcoin Climbs Above $33,000 For The First Time Ever เผยแพร่บน Forbes.com

อ่านเพิ่มเติม: <a style="color: #003300;" href="https://forbesthailand.com/commentaries/special-report/เจาะลึก-aeoi-กฎหมายภาษีเป.html">เจาะลึก “AEOI” กฎหมายภาษีเปลี่ยนโลก</a>

&nbsp;

มูลค่า ‘บิตคอยน์' แตะระดับสูงสุดในประวัติศาสตร์ที่ 33,000 เหรียญสหรัฐ

<h2>สตางค์ชี้ ปี 2564 ตลาดคริปโตเคอร์เรนซี่ คึกคัก มูลค่าตลาดรวม (Market Cap) ของบิตคอยนพุ่งขึ้นไปถึง 5 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ โตขึ้นกว่า 277 %</h2>
ระยะเวลาเกือบ 1 ปีที่วิกฤตจากโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ การลงทุนของโลก แต่มูลค่าตลาดรวม (Market Cap) ของบิตคอยน์กลับพุ่งขึ้นไปถึง 5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โตขึ้นกว่าร้อยละ 277  จากเมื่อต้นปีที่ 1.35 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ  เติบโตแซงหน้ายักษ์ใหญ่เจ้าเดิมในระบบ Payment อย่าง VISA, Mastercard และ สถาบันการเงิน อย่าง JPMorgan Chase ธนาคารอันดับ 1 ของโลก ขณะที่ ภาพรวมของการเทรด คริปโตเคอร์เรนซี่ในตลาดโลกมีมูลค่าตลาดรวม 7.2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โตขึ้นกว่าร้อยละ 236 จากเมื่อต้นปีซึ่งอยู่ที่ 1.9 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ” (ที่มา: <a href="http://coinmarketcap.com">coinmarketcap.com</a> ข้อมูล ณ วันที่ 28 ธันวาคม 2563)

ปรมินทร์ อินโสม ผู้ก่อตั้งและกรรมการ สตางค์ คอร์ป ผู้นำด้านการให้บริการธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล เปิด สรุปมุมมองต่อภาพรวมของตลาดคริปโตเคอร์เรนซี่ ในปี 2563 และทิศทางของตลาดในปี 2564 ว่า “ปีที่ผ่านมาโควิด-19 เป็นตัวเร่งสำคัญที่ทำให้ตลาดคริปโตเคอร์เรนซี่กลายเป็นธุรกิจขาขึ้นที่สวนกระแสในเศรษฐกิจขาลง และในปี 2564 บิตคอยน์ จะเปลี่ยนสถานะจากสินทรัพย์เก็งกำไร เป็นสินทรัพย์คงคลังสำรองของสถาบันการเงินและนักลงทุนรายใหญ่” 

“ปัจจัยหนุนสำคัญที่ทำให้ราคาบิตคอยน์กลับมาทำสถิติราคาสูงสุดที่ 28,354 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (ที่มา: cointelegraph ราคา ณ วันที่ 28 ธันวาคม 2563) นั้นเกิดจากนักลงทุนสถาบัน และบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ต่างกระจายความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง นำเงินไปลงทุนในบิตคอยน์เพื่อเป็นสินทรัพย์คงคลังสำรอง (Reserve Asset) ซึ่งสินทรัพย์อื่นๆ เช่นน้ำมัน ทอง หรือหุ้นต่างให้ผลตอบแทนไม่ดีเท่าบิตคอยน์ ที่โดยเฉลี่ยจะได้ผลตอบแทน 6.5% ต่อเดือน” ปรมินทร์ กล่าว และเสริมว่า

“นอกจากโควิด-19 แล้วอีกสองปัจจัยที่มีผลทางจิตวิทยาทำให้ตลาดคริปโตเคอร์เรนซี่อยู่ในความสนใจของผู้คนมากขึ้นก็คือ ความเป็นไปได้ของ Facebook Coin ที่พลิกแผนธุรกิจจาก Libra รีแบรนด์เป็น Diem ที่เปลี่ยนแนวคิดในการสร้างเหรียญโดยจะใช้ดอลลาร์สหรัฐฯ ตรึงมูลค่าเพียงสกุลเดียว จากแผนเดิมในรูปแบบตะกร้าเงินหลายสกุล เพื่อลดความกังวลของหน่วยงานกำกับทั่วโลก ปัจจัยสุดท้ายก็คือการเกิดขึ้นของ Central Bank Digital Currency (CBDC) เงินสกุลดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลางทั่วโลก ที่กำลังเร่งศึกษาและทดลองใช้ อย่างในกรณีดิจิทัลหยวนของจีนซึ่งอยู่ในระหว่างทดลองใช้งานกับประชาชนใน 3 เมืองหลักของจีน”

<figure><img class="wp-image-39875 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/01/BTC_Graph-001.jpg" alt="ตลาดคริปโตเคอร์เรนซี่" width="650" height="317" /><figcaption> กราฟราคา บิตคอยน์ 3 ปีย้อนหลัง</figcaption></figure>

&nbsp;

ปรมินทร์ วิเคราะห์ว่า ในปี 2564 บิตคอยน์จะเป็นที่ต้องการในตลาดราคาของบิตคอยน์มีแนวโน้มขึ้นไปถึง 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ และตลาดคริปโตเคอร์เรนซี่ก็จะยังคงคึกคัก จากการซื้อขายของนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายย่อย เศรษฐกิจโดยรวมยังคงได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ดังนั้นความต้องการขายเพื่อ cash out นำเงินสดมาดำรงชีวิตประจำวันรวมทั้งการรักษาธุรกิจยังคงมีอยู่ ขณะที่ บริษัทใหญ่ๆ ทั้งหลายต้องหาทางกระจายความเสี่ยงสภาพคล่องมาลงทุนโดยใช้บิตคอยน์เป็น Reserve Asset จึงทำให้มีการซื้อล็อตใหญ่ๆ เป็นหลายๆ รอบ ทำให้

คำแนะนำสำหรับนักลงทุนรายย่อยก็คือ คาดว่าราคาของบิตคอยน์จะคงอยู่ที่ 20,000 – 26,000 ดอลลาร์สหรัฐไปจนถึงต้นเดือนมกราคม หลังจากนั้นจะมีโอกาสลงมาปรับฐานและหลังจากเดือนเมษายนก็อาจมีการปรับตัวขึ้นอีกรอบ ดังนั้นต้องระวังไม่ถือยาว ต่อเมื่อสถานการณ์โควิด-19 เริ่มดีขึ้น จึงเล่นตามเทรนด์ของตลาด อย่างไรก็ตามต้องบริหารความเสี่ยงและการลงทุนให้ดี เนื่องจากธรรมชาติของคริปโตเป็นสินทรัพย์เสี่ยงที่มีความผันผวนสูง

ถ้าสนใจลงทุนเกี่ยวกับบิตคอยน์นักลงทุนสามารถศึกษาหาความรู้ด้วยตัวเองก่อนจากเว็บไซต์ ก.ล.ต.โดยตรง ตามลิงค์<a href="about:blank"> https://เสี่ยงสูง.com/</a> ระวังการถูกล่อลวงไปลงทุนแบบแชร์ลูกโซ่ ต้องตรวจสอบข้อมูล ทำความเข้าใจเกี่ยวกับการลงทุน ควรตรวจสอบรายชื่อบริษัทนั้นๆ ว่าได้รับอนุญาตให้ประกอบการถูกต้อง ตามกฎหมายหรือไม่ ควรเลือกลงทุน กับบริษัทที่ได้รับอนุญาตประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลจาก ก.ล.ต.เท่านั้น

Satang Pro เป็นหนึ่งในเว็บเทรดฯ ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต. และเป็นศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลเดียวในประเทศไทยที่ได้รับมาตรฐาน ISO 27001 และ ISO 27701 ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลสำหรับระบบการจัดการความปลอดภัยของระบบสารสนเทศและข้อมูล ที่จะช่วยป้องกันสินทรัพย์ดิจิทัลและข้อมูลผู้ใช้งานไม่ให้รั่วไหลหรือถูกโจรกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“พึงระลึกไว้เสมอว่า ทุกการลงทุนมีความเสี่ยงถึงเสี่ยงสูงมาก โปรดใช้วิจารณญาณและศึกษาข้อมูลให้รอบด้านก่อนตัดสินใจลงทุน”

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/commentaries/special-report/%e0%b9%80%e0%b8%88%e0%b8%b2%e0%b8%b0%e0%b8%a5%e0%b8%b6%e0%b8%81-aeoi-%e0%b8%81%e0%b8%8e%e0%b8%ab%e0%b8%a1%e0%b8%b2%e0%b8%a2%e0%b8%a0%e0%b8%b2%e0%b8%a9%e0%b8%b5%e0%b9%80%e0%b8%9b.html">เจาะลึก “AEOI” กฎหมายภาษีเปลี่ยนโลก</a>
<div class="single-content-writer-box">
<div>

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

</div>
</div>

สตางค์ชี้ ปี 2564 "ตลาดคริปโตเคอร์เรนซี่" คึกคัก

"Band Protocol" ปั้นเงินดิจิทัล ด้วยโซลูชั่นบล็อกเชน

<h2 class="p1">Donald Trump ทวีตไม่ปลื้ม Libra เงินดิจิทัลจาก Facebook และคริปโตอื่นๆ ชี้ให้ไปขอใบอนุญาตดำเนินธุรกิจธนาคาร-อยู่ภายใต้กฎระเบียบของชาติ</h2>
Donald Trump ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา กล่าวโจมตีบิตคอยน์, เงินดิจิทัลของ Facebook อย่าง Libra และเงินคริปโตเคอร์เรนซีสกุลอื่นๆ พร้อมเรียกร้องให้บริษัทต่างๆ มายื่นขอใบอนุญาตเพื่อดำเนินธุรกิจธนาคาร และเข้ามาอยู่ภายใต้การควบคุมดูและของสหรัฐฯ และสากล หากต้องการ “เป็นธนาคาร”
“ผมไม่ใช่แฟนของบิตคอยน์และคริปโตเคอร์เรนซีอื่นๆ ซึ่งล้วนแล้วแต่ไม่ใช่เงิน และมูลค่าของเงินเหล่านี้ขึ้นอยู่กับอากาศอันเบาบาง และมีความไม่แน่นอนสูง” Trump ระบุในทวิตเตอร์
“หาก Facebook และบริษัทอื่นๆ ต้องการเป็นธนาคาร พวกเขาต้องมายื่นขอใบอนุญาตจัดตั้งธนาคารใหม่ และอยู่ภายใต้กฎระเบียบทั้งหมดของชาติและสากลเหมือนกับธนาคารอื่นๆ”
https://twitter.com/realDonaldTrump/status/1149472282584072192
ทั้งนี้ เดือนที่ผ่านมา Facebook แถลงว่าจะเปิดตัวเงินคริปโตของตนภายในปี 2020 โดย Facebook และพันธมิตรอีก 28 รายซึ่งรวมถึง Mastercard, Paypal Holdings และ Uber Technologies จะจัดตั้งสมาคม Libra เพื่อควบคุมคริปโตสกุลใหม่นี้ โดยปัจจุบันยังไม่มีธนาคารเข้ามาร่วมกลุ่มดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าไม่ใช่เพียงบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่เท่านั้นที่กระโดดเข้ามาในวงการคริปโต แต่ธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ (หากดูจากสินทรัพย์) อย่าง JPMorgan Chase &amp; Co ยังวางแผนเปิดตัวเงินดิจิทัลของตัวเองด้วย
สำหรับการแสดงความคิดเห็นของ Trump นั้นเกิดขึ้นใน 1 วันหลังจาก Jerome Powell ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด บอกกับฝ่ายนิติบัญญัติว่าแผนการของ Facebook ที่ต้องการสร้างเงินดิจิทัลนั้นอาจไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ เว้นแต่จะมีการแก้ไขในเรื่องข้อกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัว, การฟอกเงิน, การคุ้มครองผู้บริโภค และความมั่นคงทางการเงิน

<ul>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/commentaries/insights/%e0%b8%ad%e0%b8%b2%e0%b8%8a%e0%b8%8d%e0%b8%b2%e0%b8%81%e0%b8%a3%e0%b8%a3%e0%b8%a1-%e0%b9%80%e0%b8%87%e0%b8%b4%e0%b8%99%e0%b8%94%e0%b8%b4%e0%b8%88%e0%b8%b4%e0%b8%97%e0%b8%b1%e0%b8%a5.html">อาชญากรรมแฝงของ “เงินดิจิทัล” ปัญหาที่ทุกฝ่ายต้องหาทางป้องกัน</a></li>
</ul>
Powell ระบุอีกว่า เฟดได้จัดตั้งคณะทำงานเพื่อติดตามการทำงานของโครงการดังกล่าว และประสานงานกับธนาคารกลางของประเทศอื่น ซึ่งหลายประเทศยังคงกังวลเกี่ยวกับโครงการเงินดิจิทัลของ Facebook นี้
นอกจากนี้ยังมีการคาดการณ์ว่าสภาการกำกับระบบเสถียรภาพทางการเงินของสหรัฐฯ (U.S. Financial Stability Oversight Council) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่ระบุสิ่งที่เป็นความเสี่ยงต่อระบบการเงิน จะเข้ามาตรวจสอบโครงการเงินดิจิทัลของ Facebook ด้วย


<figure><img class="size-full wp-image-10577" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/07/trump.jpg" alt="" width="720" height="480" /><figcaption> Donald Trump (Photo Credit : Jamel Toppin)</figcaption></figure>
อย่างไรก็ตาม หลังจากการแสดงความเห็นของ Trump ทั้ง Facebook, ทำเนียบขาว และกระทรวงการคลัง ยังไม่ออกมาแสดงความคิดเห็นใดๆ ขณะที่โฆษกธนาคารกลางสหรัฐฯ ก็ปฏิเสธให้ความคิดเห็น
สำหรับสกุลเงินดิจิทัลที่เรารู้จักกันดีที่สุดอย่างบิตคอยน์นั้นถูกสร้างขึ้นในปี 2008 เป็นสกุลเงินทางเลือกนอกเหนือจากเงินที่ควบคุมโดยรัฐบาลและธนาคาร แต่การซื้อขายคริปโตและเงินดิจิทัลอื่นๆ ส่วนใหญ่ยังไม่ได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด โดยตลาดเงินคริปโตยังถูกกล่าวหาว่าเป็นที่ฟอกเงิน และเป็นแหล่งเงินของผู้ก่อการร้าย

<ul>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/news/it/%e0%b8%9a%e0%b8%b4%e0%b8%95%e0%b8%84%e0%b8%ad%e0%b8%a2%e0%b8%99%e0%b9%8c-%e0%b8%9e%e0%b8%a5%e0%b8%b1%e0%b8%87%e0%b8%87%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b9%84%e0%b8%9f%e0%b8%9f%e0%b9%89%e0%b8%b2.html">บิตคอยน์สูบ ‘พลังงานไฟฟ้า’ มากยิ่งกว่าสวิตเซอร์แลนด์ทั้งประเทศ</a></li>
</ul>
การทวีตต่อเนื่องของ Trump ในเรื่องคริปโตนั้นเกิดขึ้นในช่วงเวลาใกล้เคียงกับเหตุการณ์ในทำเนียบขาวที่เขากล่าววิพากษ์วิจารณ์บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ว่าปฏิบัติกับเสียงข้างอนุรักษนิยมอย่างไม่ยุติธรรม
ขณะที่สมาคมอินเทอร์เน็ต (Internet Association) กลุ่มการค้าที่เป็นตัวแทนของยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีอย่าง Facebook, Twitter และ Google กล่าวว่า “บริษัทอินเทอร์เน็ตนั้นไม่ได้เอนเอียงไปในอุดมการณ์การเมืองใดๆ และเสียงข้างอนุรักษนิยมก็ได้ใช้โซเชียลมีเดียเพื่อผลที่ยอดเยี่ยม”
&nbsp;

&nbsp;

ที่มา
<ul>
 	<li><a href="https://www.reuters.com/article/us-usa-trump-cryptocurrency/trump-blasts-bitcoin-facebooks-libra-demands-they-face-banking-regulations-idUSKCN1U701I">Trump blasts Bitcoin, Facebook's Libra, demands they face banking regulations</a></li>
</ul>
&nbsp;

&nbsp;

แปลและเรียบเรียงโดย กนกวรรณ มากเมฆ / Online Content Creator

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

Trump ไม่ปลื้ม Libra ของ Facebook แนะให้ไปจดทะเบียนเป็นธนาคาร

<h2 class="p3">นอกจากเสียงวิพากษ์วิจารณ์เรื่องความไม่เสถียรของราคา และการนำไปใช้ในธุรกรรมผิดกฎหมาย บิตคอยน์ยังปลุกประเด็นทางสังคมในแง่ของการบริโภค พลังงานไฟฟ้า อย่างมหาศาล</h2>
แปลและเรียบเรียงจาก <a href="https://www.forbes.com/sites/niallmccarthy/2019/07/08/bitcoin-devours-more-electricity-than-switzerland-infographic/?utm_source=newsletter&amp;utm_medium=email&amp;utm_campaign=daily-dozen#3cd6854021c0">Bitcoin Devours More Electricity Than Switzerland</a> เขียนโดย Niall McCarthy นักข่าวเชิงข้อมูลจาก forbes.com
มหาวิทยาลัย Cambridge เผยแพร่ดัชนี Cambridge Bitcoin Electricity Consumption Index ซึ่งนำการใช้ พลังงานไฟฟ้า ของเครือข่ายสกุลเงินคริปโตนี้ไปเปรียบเทียบกับการใช้พลังงานไฟฟ้าระดับประเทศทั่วโลก
การศึกษานี้พบว่า บิตคอยน์ใช้พลังงานไฟฟ้าประมาณ 61.76 เทราวัตต์ชั่วโมง (TWh) ต่อปี ซึ่งมากกว่าการใช้ไฟฟ้าของประเทศจำนวนมาก และคิดเป็นสัดส่วน 0.28% ของการใช้พลังงานไฟฟ้าทั้งโลก
หากว่าบิตคอยน์เป็นประเทศประเทศหนึ่ง เมื่อเปรียบเทียบการใช้ไฟฟ้าของประเทศต่างๆ ที่ใช้ไฟฟ้าปริมาณใกล้เคียงกัน ยกตัวอย่าง สาธารณรัฐเช็ก ใช้ไฟฟ้า 62.34 TWh ซึ่งมากกว่าเครือข่ายบิตคอยน์เพียงเล็กน้อย และบิตคอยน์ยังใช้ไฟฟ้ามากกว่าประเทศสวิตเซอร์แลนด์ที่มีการใช้ไฟฟ้า 58.46 TWh เป็นประเทศที่ใช้ไฟฟ้ามากอันดับที่ 41 ของโลก (ประเทศไทยใช้ไฟฟ้า 187.7 TWh เป็นอันดับ 22 ของโลก)
มหาวิทยาลัย Cambridge ยังประมวลข้อมูลให้ด้วยว่า พลังงานไฟฟ้าที่ระบบบิตคอยน์ใช้สามารถต้มน้ำในกาน้ำของพลเมืองอังกฤษไปได้ถึง 14 ปี หรือทั้งสหภาพยุโรป (ที่ยังรวมอังกฤษอยู่) ได้นาน 2.1 ปี ในทางกลับกัน ถ้านำพลังงานไฟฟ้าจากเครื่องใช้ในบ้านของชาวอเมริกันทั้งหมดที่เปิดเครื่องทิ้งไว้แต่ไม่ได้ใช้ มาเป็นแหล่งพลังงานให้บิตคอยน์ ก็จะสามารถเลี้ยงระบบนี้ไปได้นานถึง 3.5 ปีเลยทีเดียว
<img class="alignnone size-full wp-image-10453" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/07/445940-e1562838849372.jpg" alt="บิตคอยน์ พลังงานไฟฟ้า อินโฟกราฟิก" width="800" height="450" />
สกุลเงินบิตคอยน์ต้องการพลังงานมหาศาลเพราะระบบนี้ต้องการเครือข่ายระบบคอมพิวเตอร์ในการ ‘ขุด’ บิตคอยน์ ซึ่งก็คือการนำระบบคอมพิวเตอร์มาตรวจสอบความถูกต้องของการโอนเงินนั่นเอง
เพื่อแก้ปัญหาการใช้พลังงานไฟฟ้าสูงและปัญหาบิลค่าไฟที่จะติดตามมา เหล่านักขุดบิตคอยน์หลายรายจึงย้ายสถานที่ทำการของตัวเองไปในประเทศที่เหมาะสมกว่า เช่น ไอซ์แลนด์ ซึ่งผลิตไฟฟ้าจากพลังงานความร้อนใต้พิภพทำให้มีไฟฟ้าราคาถูกใช้งาน และยังมีสภาพภูมิอากาศหนาวเย็นจากลมทะเลอาร์กติกซึ่งช่วยลดความร้อนของเครื่องคอมพิวเตอร์
&nbsp;

อ่านเพิ่มเติม
<ul>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/world/asia/%e0%b8%81%e0%b8%a5%e0%b9%80%e0%b8%a1%e0%b9%87%e0%b8%94%e0%b8%99%e0%b8%b1%e0%b8%81%e0%b9%80%e0%b8%97%e0%b8%a3%e0%b8%94%e0%b9%80%e0%b8%87%e0%b8%b4%e0%b8%99%e0%b8%84%e0%b8%a3%e0%b8%b4%e0%b8%9b%e0%b9%82.html">กลเม็ดนักเทรดเงินคริปโต FBG Capital โต 10 เท่าใน 1 ปี</a></li>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/world/%e0%b9%80%e0%b8%96%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b9%81%e0%b8%81%e0%b9%88-%e0%b8%84%e0%b8%a3%e0%b8%b4%e0%b8%9b%e0%b9%82%e0%b8%95.html">เถ้าแก่ “คริปโต” มหาเศรษฐีนักขุดที่ไม่มีใครรู้จัก</a></li>
</ul>

บิตคอยน์สูบ ‘พลังงานไฟฟ้า’ มากยิ่งกว่าสวิตเซอร์แลนด์ทั้งประเทศ

คริปโตเคอเรนซี ปีนี้ไม่หวือหวา

อาชญากรรมแฝงของ "เงินดิจิทัล" ปัญหาที่ทุกฝ่ายต้องหาทางป้องกัน

กลเม็ดนักเทรดเงินคริปโต FBG Capital โต 10 เท่าใน 1 ปี

4 ปีก่อนหน้านี้ Coinbase ธุรกิจเกิดใหม่ผู้บุกเบิกตลาดเงินดิจิทัลปฏิเสธที่จะหันหลังให้กฎหมาย ผลก็คือมูลค่าบริษัทเติบโตขึ้นเป็น 500 ล้านเหรียญพร้อมได้กระแสตอบรับที่ดีจากบรรดาธนาคารข้ามชาติยักษ์ใหญ่และเหล่านักลงทุน VC

วันที่ 18 มีนาคม 2013 วันที่เสมือนว่ารัฐบาลได้โยนระเบิดใส่ Coinbase ธุรกิจเกิดใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยคนเพียงสองคนใน San Francisco ผู้ให้บริการ “กระเป๋าเงินออนไลน์” บนระบบคลาวด์สำหรับซื้อขาย ฝาก และใช้จ่ายเงินบิตคอยน์ให้กับผู้ใช้งานกว่า 30,000 รายในวันดังกล่าวองค์กรปราบปรามอาชญากรรมทางการเงินแห่งสหรัฐฯ (Financial Crimes Enforcement Network หรือ FinCEN) ระบุให้ผู้บริหารหรือผู้แลกเปลี่ยนเงินเสมือนจริงอย่างบิตคอยน์ถือว่าเป็น “ผู้ให้บริการทางการเงิน” ที่ต้องมีใบอนุญาต ต้องขึ้นทะเบียนกับหน่วยงานรัฐและอยู่ภายใต้ข้อกำหนด Bank Secrecy Act

ในคืนเดียวกันนี้ Ehrsam และ Brian Armstrong ผู้นั่งตำแหน่งซีอีโอของบริษัทจับเข่าปรึกษากันอย่างคร่ำเคร่งจนได้ข้อสรุป พวกเขาเห็นพ้องกันว่าการหลีกเลี่ยงไม่ขึ้นทะเบียนให้ถูกต้องเป็นเรื่องขัดกับหลักการดำเนินธุรกิจและแบรนด์ของตน

Coinbase นั้นดำเนินธุรกิจด้วยเงินทุน 600,000 เหรียญสหรัฐฯ ที่ได้รับจากนักลงทุนใระยะเริ่มแรกและกำลังพยายามระดมทุนในรอบ series A การตัดสินใจจดทะเบียนให้ถูกต้องตามกฎระเบียบหมายความว่า Coinbase ต้องรับภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นหลายล้านเหรียญแต่สิ่งที่ได้กลับมาคือจุดขายที่แข็งแกร่งและการได้จุดยืนของพวกเขาที่ต้องการดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมายช่วยให้พวกเขาสามารถปิดดีลการระดมทุนได้สำเร็จ

ทำให้เดือนพฤษภาคม 2013 Union Square Ventures เป็นผู้นำการระดมทุนรอบ series A มูลค่า 6.1 ล้านเหรียญให้กับ Coinbase ในเดือนพฤศจิกายนบริษัทได้ทำประกันคุ้มครองการฉ้อโกงและการเจาะข้อมูล (บริษัทผู้รับประกันคือ Aon)และในเดือนถัดมา Andreessen Horowitz เป็นผู้สนับสนุนเงินทุน 25 ล้านเหรียญในการระดมทุนรอบ series B ของบริษัท นับเป็นตัวเลขการลงทุนจาก VC ครั้งที่มีมูลค่าสูงที่สุดของบิตคอยน์ในเวลานั้น

ปัจจุบัน Armstrong วัย 33 ปีและ Ehrsam วัย 28 ปีมีพนักงานในทีม 117 คนและเป็นสองเสาหลักของธุรกิจ ผู้บริโภคจะผูกบัญชีอิเล็กทรอนิกส์เข้ากับบัญชีธนาคารและจ่ายค่าธรรมเนียมให้ Coinbase สำหรับการซื้อหรือขายสกุลเงินของแต่ละประเทศ โดยค่าธรรมเนียมอยู่ที่ 1.49% สำหรับผู้จดทะเบียนบัญชีในสหรัฐฯ

Coinbase มีผู้ใช้งาน 4.8 ล้านคนจาก 33 ประเทศทั่วโลกโดยใช้เพื่อซื้อขาย ฝาก และชำระเงินบิตคอยน์และเงินดิจิทัลสกุลใหม่อื่นๆ อย่างธุรกิจใหม่ Global Digital Asset Exchange หรือ GDAX

ก้าวแรก Armstrong และ Ehrsam ตั้งเป้าต้องการให้บิตคอยน์เป็นรากฐานของระบบการเงินที่เปิดกว้างไปทั่วโลกแต่วิสัยทัศน์ดังกล่าวพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเมื่อพวกเขาพบว่ามีการใช้บิตคอยน์ในช่องทางอื่นนอกเหนือจากการซื้อขายหรือชำระเงินค่าสินค้า เช่น ใช้เป็นสื่อกลางในการระดมทุนจากมวลชนโดยตรงผ่านโลกออนไลน์ไปยังธุรกิจจัดเก็บข้อมูลหรือเดิมพันผลการแข่งขันกีฬาระดับโลก

Armstrong เติบโตขึ้นที่ San Jose รัฐ California หลังจบปริญญาโทสาขาวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ Armstrong เคยลองทำงานด้านที่ปรึกษาและย้ายไปอยู่ที่อาร์เจนตินาระยะหนึ่งก่อนเปลี่ยนงานมานั่งตำแหน่งวิศวกรซอฟต์แวร์ที่ Airbnb ใน San Francisco ประสบการณ์เหล่านี้ทำให้เขาเห็นอุปสรรคข้อจำกัดของการแลกเปลี่ยนโอนเงินระหว่างประเทศอย่างใกล้ชิด เมื่อ Armstrong บังเอิญอ่านเจอเอกสารเผยแพร่ของผู้คิดค้นบิตคอยน์ (ในเวลานั้นยังไม่ได้เปิดเผยตัวตน) ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก

ในลักษณะเดียวกัน Ehrsam เคยผ่านประสบการณ์และเรียนรู้ถึงวิธีทำกำไรมหาศาลของตัวกลางอย่างสถาบันการเงิน เขาจบจาก Duke University โดยเรียนควบสองหลักสูตรในสาขาเศรษฐศาสตร์และวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์เช่นเดียวกับ Armstrong ในช่วงที่ Ehrsam ทำงานอยู่ที่ Goldman เขาเริ่มทวีความสนใจในบิตคอยน์ เขาแม้แต่ทำกำไรเล็กๆ น้อยๆ จากการซื้อขายบิตคอยน์ในเวลากลางคืน

ในเดือนตุลาคม 2012 เขาบังเอิญเจอกระทู้ของ Armstrong บน Reddit ที่อธิบายถึงโปรแกรมต้นแบบกระเป๋าเงินบิตคอยน์บนระบบคลาวด์สำหรับให้บริการผู้ใช้งานที่ไม่ได้ “เชี่ยวชาญเรื่องเทคโนโลยี” หรือไม่ต้องการเสี่ยงกับการเก็บข้อมูลบนคอมพิวเตอร์ของตัวเอง เขาส่งอีเมล์ถึง Armstrong ซึ่งได้พัฒนากระเป๋าเงินดิจิทัลผ่านการเข้าร่วมโครงการบ่มเพาะธุรกิจหน้าใหม่ Y Combinator รุ่นเดือนมิถุนายนปี 2012 พวกเขาเจอหน้ากันและเข้ากันได้อย่างลงตัว ความสามารถในการวิเคราะห์ภาพใหญ่ของ Ehrsam ช่วยเติมเต็ม Armstrong ที่มุ่งความสนใจไปยังรายละเอียดเชิงลึกของระบบเทคโนโลยี Armstrong จึงชักชวน Ehrsam ให้มาร่วมทีมเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง Coinbase

<img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/2d02b5fd277e7b993bd8ccae4f415299.png" alt="" />

ตั้งแต่ร่วมทีมกัน เงินดิจิทัลของพวกเขาเรียกกระแสฮือฮาได้อย่างรวดเร็ว เมื่อราคาบิตคอยน์พุ่งขึ้นมากกว่า 100 เท่า จากระดับต่ำกว่า 10 เหรียญทะยานขึ้นมากกว่า 1,100 เหรียญในปี 2013 ก่อนที่จะร่วงลงต่ำกว่า 200 เหรียญในเดือนมกราคม 2015 (ราคาซื้อขายเมื่อไม่นานมานี้อยู่ที่ราว 740 เหรียญหรือคิดเป็นมูลค่าตลาด 1.18 หมื่นล้านเหรียญสำหรับเงินบิตคอยน์ทั้งหมดที่หมุนเวียนอยู่ในระบบ)

เดือนมกราคม 2015 Coinbase จึงเปิดบริการซื้อขายเงินดิจิทัลของตัวเองภายใต้ชื่อเปิดให้ผู้ใช้งานซึ่งมีถิ่นที่อยู่ใน 47 รัฐของอเมริกา แคนาดา สหราชอาณาจักร ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป สิงคโปร์ และออสเตรเลีย สามารถซื้อหรือขายเงินดิจิทัลได้โดยตรงผ่านการกดปุ่มส่งคำสั่งซื้อขายด้วยตัวเองหรือใช้ระบบหุ่นยนต์ซื้อขายแบบอัตโนมัติ ทั้งนี้ Coinbase จัดเก็บเงินบิตคอยน์ประมาณ 6% ของที่หมุนเวียนทั่วโลกหรือคิดเป็นมูลค่าราว 700 ล้านเหรียญไว้บนระบบคอมพิวเตอร์ โดย ตลาดซื้อขายแห่งใหม่นี้มียอดการซื้อขาย 1 พันล้านเหรียญในปีแรก อาจด้วยคู่แข่งอย่าง Bitfinex ถูกจารกรรมเงินไป 72 ล้านเหรียญทำให้พวกเขาอยู่ในสถานะที่ดีกว่า

แม้ GDAX จะประสบความสำเร็จตั้งแต่ช่วงเริ่มต้น แต่ Coinbase เชื่อว่าการซื้อขายเงินดิจิทัลไม่ใช่หนทางที่จะทำให้คนยอมรับและหันมาใช้บิตคอยน์อย่างแพร่หลาย Ehrsam เล่าถึงผลตอบรับที่เงียบของตลาดในช่วงปี 2015 ซึ่งแอพฯ เกี่ยวกับบิตคอยน์ที่ดูมีศักยภาพมากที่สุดกลับไม่ได้รับความนิยม

เดือนพฤษภาคมปี2016 Coinbase เริ่มเปิดให้มีการซื้อขาย ether (สกุลเงินของ Ethereum) บน GDAX Ehrsam อธิบายถึงศักยภาพของระบบประมวลผลใหม่นี้ในบล็อกออนไลน์ว่า “Ethereum ได้นำเอาภาษาชุดคำสั่งพื้นฐานทั่วไปของบิตคอยน์มาพัฒนาต่อยอดให้กลายเป็นระบบประมวลผลที่เต็มรูปแบบ”

เทคโนโลยีประมวลผลบล็อคเชนของ Ethereum กระตุ้นให้เกิดหนทางใหม่ในการระดมทุนโดยใช้ “เหรียญในแอพพลิเคชั่น”หรือ “หน่วยโทเคน” เพื่อสนับสนุนธุรกิจเกิดใหม่และระบบเครือข่ายแบบไร้เซิร์ฟเวอร์ (peer-to-peer networks) ตัวอย่างหนึ่งได้แก่ Augur ในปี 2015 บริษัทได้ขายหน่วยโทเคน ซึ่งสร้างบนระบบ Ethereum รวมมูลค่า 5.3 ล้านเหรียญ โดยหน่วยโทเคนนี้มีชื่อว่า Reputation (Rep) ผู้ถือเหรียญ Rep และ ดิจิทัลอีกสกุลหนึ่งที่กำลังอยู่ในช่วงพัฒนาคือ Filecoin ที่มุ่งเป้าสนับสนุนและให้เงินทุนกับธุรกิจบริการจัดเก็บและแบ่งปัน ข้อมูลบนเครือข่ายที่กระจายการควบคุมไปยังคอมพิวเตอร์ต่างๆ ที่อาจสามารถแข่งขันกับ Amazon Web Services

ความสำเร็จของ Coinbase อาจขึ้นอยู่กับความสามารถในการปลุกปั้นภาพลักษณ์ในฐานะผู้นำตลาดเทคโนโลยีบล็อคเชน ที่ให้ความอิสระและสร้างสรรค์ขณะที่อยู่ “ข้างเดียว” กับกฎหมาย และสิ่งนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก

<hr />

<a href="http://goo.gl/qT690n">คลิกอ่านฉบับเต็ม "หมากชั้นดีของบิคอยน์" ได้ที่ Forbes Thailand Magazine ฉบับ กุมภาพันธ์ 2560</a>

<a href="https://goo.gl/qT690n"><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/93a16701dc17880c01dadd3fa399ba46.png" alt="" /></a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events