<h2>แด่เกมเมอร์ผู้ทรงเกียรติทั่วเอเชีย ภารกิจยามดึกมักหมายถึงการดื่ม เครื่องดื่มชูกำลังสักกระป๋อง ฟาสต์ฟู้ด หรือขนมขบเคี้ยวเพื่อให้ตื่นตัว</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แต่จะทำอย่างไรกับรอยนิ้วมือมันๆ บนคีย์บอร์ดกันละ? ไหนจะยังอันตรายจากการวางเครื่องดื่มไว้ใกล้อุปกรณ์เล่นเกมอีก?&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป Nissin ภูมิใจนำเสนอทางออกด้วยบะหมี่ถ้วยเติมกาเฟอีน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ประชากรคนเล่นเกมในญี่ปุ่นเติบโตขึ้นทุกปี โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชน กล่าวกันว่าตัวเลขทะลุ 50 ล้านไปแล้ว” ผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรายใหญ่กล่าวในข่าวที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 4 กันยายนที่ผ่านมา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เพื่อตอบสนองความต้องการดังกล่าว Nissin Foods จึงเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่เป็นมิตรต่อเกมเมอร์เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของบริษัทภายใต้แบรนด์ดังอย่าง Cup Noodles และ Nissin Curry Meshi”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปใส่กาเฟอีนมีให้ลิ้มลองกันในสองรสชาติ หนึ่งคือกระเทียมพริกไทยดำพร้อมกุ้ง เนื้อหมู ไข่ และกะหล่ำปลี ส่วนอีกรสชาติเป็นแกงกะหรี่หมูและผัก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผลิตภัณฑ์ทั้งสองเป็นแบบซอสและ “ปราศจากน้ำซุป ไร้กังวลเรื่องงมือเปื้อนหรืออุปกรณ์เลอะเทอะ ทำให้สินค้านี้กลายเป็นอาหารที่เหมาะจะรับประทานขณะกำลังเล่นเกมอย่างยิ่ง” คือข้อความบรรยายในข่าวเผยแพร่​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false" style="width: 75%; min-width: 100%;"><figure style="margin: auto; width: 75%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/09/dLomFDc7nuiutJ3FcnwA.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="dLomFDc7nuiutJ3FcnwA.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="75%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="75," origin-size="900,440" style="width: 100%;" data-index="0"></figure></div>บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสกระเทียมพริกไทยและแกงกะหรี่ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเติมกาเฟอีนนี้จะวางจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่วันที่ 18 กันยายน 2023 เป็นต้นไป โดยรสกระเทียมพริกไทยดำราคา 280 เยน ส่วนรสแกงกะหรี่จะอยู่ที่ 298 เยน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หลังจากที่ข่าวนี้เผยแพร่ออกไปก็เป็นฮือฮาบนโซเชียลมีเดียของญี่ปุ่นอย่างมาก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทางบริษัทยังบอกด้วยว่าบะหมี่เหล่านี้เป็น “อาหารเสริมความสามารถที่แข็งแกร่งที่สุด” ล้อกับการที่เกมต่างๆ มักมีอาหารหรือยาที่เพิ่มความสามารถ เช่น พลังโจมตี พลังป้องกัน การฟื้นฟู ความเร็ว และอื่นๆ อีกมากมาย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หลายสิบปีมาแล้วที่ญี่ปุ่นเป็นผู้บุกเบิกวัฒนธรรมการเล่นเกมทั่วโลก ตั้งแต่เกมสุดคลาสสิกอย่าง Super Mario และ Sonic the Hedgehog ซึ่งมีบทบาทสำคัญทางวัฒนธรรม ไปจนเครื่องเล่นเกม Sega Mega Drive และตลับ Game Boy ที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของช่วงเวลาอันรุ่งโรจน์ โตเกียวคือผู้นำวงการเกมมานับทศวรรษ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“หากไม่ใช่เพราะแรงสนับสนุนจากญี่ปุ่นแล้ว เราคงไม่มีอุตสาหกรรมวิดีโอเกม” Blacke J. Harris ผู้เชี่ยวชาญด้านวิดีโอเกมและผู้เขียนหนังสือ Console Wars บอกกับทาง CNN ในปี 2017&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ข้อมูลจากบริษัทรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับเกม Newzoo อุตสาหกรรมเกมและอีสปอร์ตได้รับความนิยมถล่มทลายในระดับนานาชาติ คาดว่าตลาดเกมทั่วโลกจะสร้างรายได้รวมกันถึง 1.87 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปีนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แม้อิทธิพลทางวัฒนธรรมจากแดนอาทิตย์อุทัยจะแผ่วเบาลงช่วงต้นยุค 2000 เป็นต้นมา ตลาดเกมญี่ปุ่นกลับเติบโตต่อเนื่อง สร้างรายได้ 2.21 หมื่นล้านเหรียญในปี 2021 จากข้อมูลโดย Newzoo&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจุบันรายได้จากวิดีโอเกมของญี่ปุ่นครองอันดับสามของโลก ตามหลังสหรัฐอเมริกาและจีน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แปลและเรียบเรียงจาก Why Cup Noodles is going gamer-friendly ซึ่งเผยแพร่บน cnn.com &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อ่านเพิ่มเติม :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/preview/71283" alt="สตาร์ทอัพช่วยจับผิด สินค้าของคุณละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่?">สตาร์ทอัพช่วยจับผิด สินค้าของคุณละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่?</a>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>​

Cup Noodles เอาใจเกมเมอร์ เติมกาเฟอีนพร้อมลุยตลอดคืน

Forbes Thailand พูดคุยกับ “พจนา พะเนียงเวทย์” ถึงอีกก้าวย่างสำคัญของผู้นำตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบรนด์ไทย “มาม่า” ที่มองโอกาสกว้างไกลมากกว่า 68 ประเทศที่ทำตลาดอยู่ โดยตั้งเป้าว่าภายใน 5 ปี จะทำยอดส่งออกให้มีรายได้เท่ากับยอดขายในประเทศ ควบคู่ไปกับการสร้างสรรค์นวัตกรรมอาหารเสิร์ฟลูกค้าทั่วโลก

https://youtu.be/7RJu5iBHSCE

&nbsp;

<hr />

รับชมบทสัมภาษณ์ของบุคคลที่น่าสนใจ กดติดตามแชลเนลวิดีโอของเราบนยูทูบได้ที่ <a href="https://www.youtube.com/user/ForbesThai">Forbes Thailand Magazine</a>

พจนา พะเนียงเวทย์ นำทัพ “มาม่า” เสิร์ฟลูกค้าทั่วโลก (Video)

<h2 class="p1">Monde Nissin บริษัทบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ซึ่งอยู่ภายใต้การบริหารของ Betty Ang และครอบครัว วางแผนที่จะลดงบประมาณการใช้จ่ายในปีนี้ เพื่อรักษาฐานเงินสด ท่ามกลางราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และผลกระทบจากการระบาดใหญ่ของ โควิด-19 ที่มีต่อระบบเศรษฐกิจ</h2>
<img class="alignnone wp-image-60709" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/03/720.jpeg" alt="Monde Nissin Betty Ang" width="720" height="480" />
ล่าสุด กำไรสุทธิของบริษัทลดลงเหลือ 3.2 พันล้านเปโซ (6.13 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) ในปี 2021 ลดลงราวร้อยละ 60 จากปีก่อนหน้า โดยมีสาเหตุหลักมาจากค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการไถ่ถอนหุ้นกู้แปลงสภาพ ตลอดจนแรงกดดันด้านอัตรากำไรจากราคาวัตถุดิบหลักที่พุ่งสูงขึ้น อาทิเช่น ข้าวสาลีและน้ำมันปาล์ม เป็นต้น แม้ยอดขายสุทธิจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 2 เป็น 6.93 หมื่นล้านเปโซ
ท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่กำลังท้าทาย Monde Nissin อยู่นี้ บริษัทมีเป้าหมายที่จะลดรายจ่ายทางด้านต้นทุนจากเดิมที่ตั้งงบประมาณไว้สำหรับปี 2022 ที่ 9 พันล้านเปโซ
“เราจำเป็นต้องรักษาฐานเงินสดไว้ เพื่อให้เรามีความยืดหยุ่นในช่วงเวลาที่ผันผวนอย่างไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนนี้” Jesse Teo ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงินกล่าว พร้อมระบุว่า Monde Nissin มีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด 1.39 หมื่นล้านเปโซ ณ สิ้นปี 2021 ในขณะที่บริษัทมีหนี้คงค้างอยู่ที่ 7 พันล้านเปโซ
สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนมูลค่า 4.86 หมื่นล้านปีโซจากการนำบริษัทเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เมื่อเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว ซึ่งนับได้ว่าเป็นการ IPO ที่ใหญ่ที่สุดของฟิลลิปปินส์เลยทีเดียว บริษัทเผยว่า ได้นำเงินในส่วนนี้ 1.56 หมื่นล้านเปโซไปใช้<a style="color: #333333;" href="https://mondenissin.com/monde-nissin-pays-down-majority-of-remaining-term-loans/">เพื่อชำระหนี้บางส่วนในเดือนสิงหาคมเพื่อลดค่าใช้จ่ายด้านดอกเบี้ย</a>
นอกจากนี้ Monde Nissin ยังได้ลดต้นทุนการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นด้วยการเสริมสร้างความต่อเนื่องในห่วงโซ่อุปทาน เพื่อให้มั่นใจว่ามีวัตถุดิบหลักเพียงพอ Henry Soesanto ซีอีโอของ Monde Nissin กล่าว
“ในขณะที่เราเริ่มต้นปี 2022 อย่างแข็งแกร่ง ความท้าทายหลักสำหรับเรา คือ วิธีที่เราจัดการกับวิฤตเงินเฟ้อในสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลก” Henry Soesanto ซีอีโอกล่าวในแถลงการณ์ “มีเพียงไม่กี่ปัจจัยที่เราสามารถทำให้ห่วงโซ่อุปทานของเรามีคุณภาพได้ หลังจากนั้นจึงเป็นเรื่องที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะส่งผลกระทบ (ด้านราคา) ต่อผู้บริโภค”
อย่างไรก็ดี Soesanto ยืนยันว่า บริษัทไม่ได้ตั้งใจที่จะส่งต่อค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นให้กับผู้บริโภคโดยสิ้นเชิง และนั่นก็มีแนวโน้มที่จะกระทบต่อกำไรขั้นต้นอย่างแน่นอน “เราตระหนักอยู่เสมอว่าผู้บริโภคของเรากำลังเจ็บปวดจากแรงกดดันด้านเงินเฟ้อในปัจจุบัน”
ด้าน Monde Nissin ก่อตั้งขึ้นในปี 1979 ภายใต้ความร่วมมือระหว่าง<a href="https://www.forbes.com/profile/betty-ang/?sh=5084f7eb3fb5"> Ang </a>และมหาเศรษฐีชาวอินโดนีเซีย Hidajat Darmono ซึ่งครอบครัวของเขาเป็นเจ้าของโรงงานผลิตบิสกิต Khong Guan ก่อนที่จะขยายผลิตภัณฑ์สู่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในปี 1989 
และในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา Monde Nissin ได้ก้าวขึ้นเป็นผู้ผลิตอาหารแพลต์เบส หลังเข้าซื้อกิจการบริษัท Quorn ของอังกฤษในราคา 550 ล้านปอนด์ (724.5 ล้านเหรียญ) ในปี 2015
ปัจจุบัน Ang วัย 67 ปี ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานบริษัท สมรสกับ Hoediono Kweefanus บุตรชายของ Darmono วัย 69 ปี ซึ่งดำรงตำแหน่งรองประธานบริษัท ซึ่ง Forbes ประเมินมูลค่าสุทธิรวมของพวกเขาอยู่ที่ประมาณ 1.2 พันล้านเหรียญ
แปลและเรียบเรียงจากบทความ Philippine Billionaire Betty Ang’s Monde Nissin To Cut Spending Amid Challenging Business Environment โดย ชญาน์นัทช์ ธนินท์พงศ์ภัค เผยแพร่บน Forbes.com

อ่านเพิ่มเติม: <a style="color: #003300;" href="https://forbesthailand.com/world/asia/%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%88%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%ad%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b8%94%e0%b8%b1%e0%b8%9a-50-%e0%b8%a1%e0%b8%ab%e0%b8%b2%e0%b9%80%e0%b8%a8%e0%b8%a3%e0%b8%a9%e0%b8%90%e0%b8%b5-9.html">การจัดอันดับ 50 มหาเศรษฐีฟิลิปปินส์ ประจำปี 2021</a>

Monde Nissin เตรียมลดงบประมาณรายปี รับมืออัตราเงินเฟ้อ

<h2>Nissin Foods Top Ramen บริษัทผู้ผลิตเส้นราเมนกึ่งสำเร็จรูป ประกาศตำแหน่งงานในฝัน Chief Noodle Officer (CNO)</h2>
Nissin Foods สหรัฐฯ ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในแคมเปญ แม้จะเป็นตำแหน่งชั่วคราว แต่ผู้ชนะจะได้รับรางวัล พร้อมด้วยเงินรางวัล 10,000 เหรียญสหรัฐฯ และประสบการณ์การทำงานแบบหนึ่งต่อหนึ่งกับ Mike Price ซีอีโอ แห่ง Nissin Foods

โดยมี Melissa King ผู้ชนะ Top Chef All Stars เป็นผู้ตัดสินผู้สมัครที่เข้ามารับตำแหน่ง CNO เป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ 50 ปี ของ Top Ramen

“Top Ramen ทำให้นึกย้อนความทรงจำในวัยเด็กที่ต้องมีราเม็งรสชาติต่างๆ ติดบ้าน” ​King กล่าวถึงประสบการณ์ราเม็งของเธอ “ฉันเริ่มกินราเม็งจาก Top Ramen ตั้งแต่วัยเด็ก แม้กระทั่ง วัยเรียน วัยทำงาน” ผลิตภัณฑ์จาก Top Ramen มีส่วนสำคัญในการอาชีพการทำงานของเธอในรายการ Top Chef  ซีซันแรก เธอชนะรางวัล 10,000 เหรียญฯ ในการแข่งขันทำราเม็งจานด่วนโดยนำรสชาติอันโดดเด่นจากเมนูดังของชาวอิตาลี “cacio e pepe” พาสต้าพริกไทดำและชีส

<figure><img class="wp-image-35649 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/10/Nissin-Foods_003.jpg" alt="Nissin Foods" width="600" height="400" /><figcaption> Melissa King ผู้ชนะ Top Chef All Stars</figcaption></figure>

สำหรับผู้สนใจสมัครในตำแหน่ง CNO ของ Top Ramen ผู้สมัครสามารถแชร์สูตรราเม็งของ Top Ramen ที่ชื่นชอบพร้อมด้วยรูปถ่ายบนโซเชียลมีเดีย และใส่แฮชแท๊ก #HowDoYouTopRamen และส่งจดหมายแนะนำตัวราว 3-5 บรรทัด ไปที่ <a href="mailto:TopRamenCNO@citizenrelations.com">TopRamenCNO@citizenrelations.com</a>

พร้อมให้อธิบายว่าเหตุใดตนเองคือผู้สมัครที่ใช่ที่สุดสำหรับตำแหน่ง CNO นี้ ภายในสิ้นเดือนตุลาคม (ผู้สมัครต้องมีสัญชาติสหรัฐฯ อายุ 18 ปีขึ้นไป) “สิ่งสำคัญยิ่งคือการนำเส้นราเม็งพัฒนาสู่สูตรต่างๆ มีความหลงใหลในเส้นราเม็งและสนใจในเรื่องนวัตกรรมอาหาร”

“ฉันกำลังมองหาสิ่งที่เป็นความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม” King กล่าว เรื่องราวของอาหารเป็นสิ่งสำคัญ เหมือนที่กรรมการจาก Top Chef มองหาแรงบรรดาลใจใหม่ๆ สู่เมนูจานอาหาร และได้เห็นผู้คนสนุกกับการสร้างราเม็งที่แตกต่างไปด้วยน้ำซุปและเครื่องเคียง “ฉันอยากจะเห็นผู้คนยกระดับราเม็งสู่ขั้นต่อไป”

เรียบเรียงใหม่จาก บทความ Top Ramen Announces Nationwide Search For Chief Noodle Officer, Judged By Top Chef Melissa King เผยแพร่บน Forbes.com

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/other/david-attenborough-%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%8A.html">“David Attenborough” กับผลงานสารคดีธรรมชาติที่ดีที่สุดแห่งปีบน Netflix</a>

&nbsp;

<hr />

ไม่พลาดบทความด้านกลยุทธ์องค์กรและธุรกิจ ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>
และ <a href="https://twitter.com/Forbes_TH">ทวิตเตอร์ Forbes Thailand</a>

ครบรอบ 5o ปี Nissin Foods เปิดรับตำแหน่ง Chief Noodle Officer

<h2 class="p1">ตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมูลค่า 1.7 หมื่นล้านบาท ปีนี้ขยายตัวได้ 5% เป็นการกลับมาฟื้นตัวในรอบ 3 ปี จากมาตรการชิม ช้อป ใช้ของภาครัฐ ขณะที่กลุ่มบะหมี่พรีเมียมโตแรง "ไวไว" เร่งขยายตลาดรับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภค</h2>
 ยศสรัล แต้มคงคา ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท โรงงานผลิตภัณฑ์อาหารไทย จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ไวไว กล่าวว่า ตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในประเทศไทยมีมูลค่าประมาณ 1.7 หมื่นล้านบาท คาดว่าปีนี้จะกลับมาขยายตัวได้ถึง 5% จากช่วง 3 ปีที่ผ่านมาตลาดโดยรวมไม่เติบโต
 ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกลับมาเติบโตอีกครั้งในปีนี้มาจากมาตรการชิม ช้อป ใช้ของภาครัฐ ทำให้เกิดการซื้อสินค้าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมากขึ้นในช่องทางร้านค้าทั่วไป และอีกปัจจัยมาจากการขยายตัวของตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบบพรีเมียมที่มีราคามากกว่า 6 บาทขึ้นไป ซึ่งเข้ามาตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภคที่นิยมรับประทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปนำเข้าจากเกาหลีที่ได้รับอิทธิพลจากการรีวิวผ่านโซเชียลมีเดีย
 “ในอดีตตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอาจจะเป็นดัชนีสะท้อนภาวะเศรษฐกิจไทย ถ้าเศรษฐกิจไม่ดี คนจะกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมากขึ้น แต่ปัจจุบันไม่ใช่แล้ว การบริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของคนไทยเกิดจากกระแสความนิยมที่ได้รับอิทธิพลจากการรีวิวผ่านโชเชียลมีเดีย ทำให้ตลาดพรีเมียมมีการเติบโตสูง และเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อ ถือเป็นการทำลายกำแพงด้านราคาของตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ผู้บริโภคก็สามารถซื้อสินค้าในราคามากกว่า 6 บาทได้” ยศสรัลกล่าว
 สำหรับตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในกลุ่มพรีเมียมมีอัตราการเติบโตเป็นตัวเลขสองหลัก ขณะที่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในกลุ่มทั่วไป หากไม่ได้รับอานิสงส์จากมาตรการชิม ช้อป ใช้ ในปีนี้ยอดขายโดยรวมไม่ขยายตัวและมีแนวโน้มลดลง ซึ่งผู้ประกอบการในธุรกิจบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรายใหญ่ได้หันมาขยายธุรกิจในกลุ่มพรีเมียมเป็นหลัก


<figure><img class="wp-image-25202 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/12/waiwai02.jpg" alt="" width="720" height="480" /><figcaption> จากการขยายตัวของตลาดบะหมี่ฯ แบบพรีเมียม เพราะไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้ไวไวรุกขยายตลาดบะหมี่ฯ แบบพรีเมียมในรูปแบบชาม (Bowl) เพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง</figcaption></figure>
 ยศสรัลกล่าวถึงผลิตภัณฑ์ไวไวว่า บริษัทได้ให้ความสนใจในการรุกขยายตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบบพรีเมียมในรูปแบบชาม (Bowl) เพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง โดยนำรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์และได้รับความนิยม ทั้งรสชาติไวไวปรุงสำเร็จ, ไวไวรสต้มยำน้ำพริกเผา, ไวไวต้มยำ (สูตรดั้งเดิม) และไวไวหอยลายผัดฉ่า ชนิดแห้ง วางจำหน่ายผ่านร้านสะดวกซื้อ (Convenience Store), ซูเปอร์มาร์เก็ต และห้างสรรพสินค้า ซึ่งได้รับการตอบรับค่อนข้างดี พร้อมวางแผนเพิ่มรสชาติใหม่ 2-3 รสชาติ และวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในกลุ่มพรีเมียมแบบซองออกสู่ตลาดในปี 2563
 ทั้งนี้ ปัจจุบันตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในประเทศไทยมีผลิตภัณฑ์มาม่า ของบริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) ครองส่วนแบ่งตลาด 50% ตามด้วยกลุ่มผลิตภัณฑ์ไวไว ประกอบด้วยแบรนด์ไวไว ควิก และซือดะ มีสัดส่วน 23-24% และแบรนด์ยำยำ 21-22% ที่เหลือเป็นแบรนด์อื่น โดยยอดขายของแบรนด์ต่างๆ ในกลุ่มไวไว แบ่งเป็น ไวไว 50% ควิก 25% เส้นหมี่ขาว 15% ซือดะ 10% ที่เหลือเป็นผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเครื่องปรุงรส
&nbsp;

อ่านเพิ่มเติม
<ul>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/news/%e0%b8%95%e0%b8%a5%e0%b8%b2%e0%b8%94%e0%b8%ad%e0%b8%b4%e0%b9%88%e0%b8%a1%e0%b8%95%e0%b8%b1%e0%b8%a7-%e0%b9%80%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%ab%e0%b8%a5%e0%b8%b5%e0%b8%84%e0%b8%a3%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b9%80.html">ตลาดอิ่มตัว-เกาหลีครองเมือง ‘ไวไว’ เปิดตำราสู้ศึกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป</a></li>
</ul>
&nbsp;

<hr />

<article id="post-25126" class="post-25126 post type-post status-publish format-standard has-post-thumbnail hentry category-people category-the-next-tycoons tag-hi-kool tag-10763 tag-7193 tag-10765 tag-10764 tag-10767 tag-4679">
<div class="body-content post-content-wrap post-detail">

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

</div>
</article>

บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปฟื้นรอบ 3 ปี อานิสงส์ชิมช้อปใช้ "ไวไว" เร่งขยายตลาด

<h2>สงครามของคนมีเส้นที่เปิดฉากช่วงชิงส่วนแบ่งพื้นที่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปคู่ครัวคนไทยนานกว่า 46 ปี พร้อมส่งไม้ต่อถึง ยศสรัล แต้มคงคา รุ่น 3 ร่วมนำทัพเลือกใช้อาวุธการตลาดมัดใจผู้บริโภคควบคู่สร้างการเติบโตตามความเปลี่ยนแปลงเพื่อสานต่อความยั่งยืนมากกว่าการเดินเกมรุกครองบัลลังก์ธุรกิจ</h2>
อาหารสามัญประจำครัวของคนไทยที่รู้จักกันดีและได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องยาวนานมากกว่า 4 ทศวรรษจากเทรนด์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของญี่ปุ่นและไต้หวันสู่ความพยายามสร้างการยอมรับในยุคเริ่มต้นที่ต้องใช้ความมุ่งมั่นก้าวผ่านความท้าทายจนเหลือยักษ์ใหญ่ทางธุรกิจไม่กี่รายที่ร่วมกันแชร์ส่วนแบ่งตลาดมูลค่า 1.7 หมื่นล้านบาทในประเทศไทย

“บริษัทเริ่มตั้งแต่รุ่นคุณปู่และเพื่อนประมาณ 6-7 คน ซึ่งแต่ละคนมีธุรกิจเป็นของตัวเองอยู่แล้ว แต่เห็นโอกาสจึงลงขันกันทำธุรกิจโดยหนึ่งในหุ้นส่วนเป็นชาวไต้หวัน เราจึงไปดูโรงงานที่ไต้หวันและนำ know-how มาเริ่มต้นที่นี่” ยศสรัล แต้มคงคา ผู้อำานวยการฝ่ายการตลาด บริษัท โรงงานผลิตภัณฑ์อาหารไทย จำกัด ทายาทรุ่น 3 ของแบรนด์ไวไวเล่า

ถึงการบุกเบิกตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในปี 2515 ซึ่งมีความท้าทายทั้งการพัฒนาเทคโนโลยีให้สามารถผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปได้คุณภาพมาตรฐาน การทำการตลาดสร้างการยอมรับและขยายการจำหน่ายให้ครอบคลุมทุกช่องทาง

แม้จะเป็นหลานของชาญ แต้มคงคา ผู้ร่วมก่อตั้งธุรกิจ แต่ยศสรัลให้ความสำคัญกับการสั่งสมความรู้และประสบการณ์จากนอกองค์กร ด้วยความมุ่งมั่นสานต่อธุรกิจของครอบครัว

“คุณพ่อให้อิสระ ไม่ได้บังคับ แต่เราอยากเข้ามาช่วยจึงเลือกเรียนการตลาดและ MBA รวมถึงตั้งใจเก็บประสบการณ์ให้มากก่อนมาที่นี่ ซึ่งเป็นองค์กรใหญ่”

ยศสรัลย้ำถึงความมุ่งมั่นสานต่อธุรกิจที่เริ่มจากตำแหน่ง Management Trainee ในปี 2554 ขยับขึ้นเป็น Trade Marketing Manager และ Assistant Marketing Director จนกระทั่งนั่งเก้าอี้ Marketing Director เมื่อปี 2558

สำหรับกุญแจสำคัญที่ทำให้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทได้รับการยอมรับอยู่ที่การมุ่งเน้นคุณภาพและคุณค่าทางโภชนาการอาหารที่ถูกหลักอนามัย สะอาด และตรงตามมาตรฐานสากลรวมถึงการพัฒนารสชาติที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไวไว ควิกแสบ และซือดะ (ฮาลาล) เส้นหมี่อบแห้งไวไว เส้นหมี่กึ่งสำเร็จรูปไวไวและซือดะ (ฮาลาล) เส้นก๋วยเตี๋ยวอบแห้งไวไว และผงปรุงรสรสเด็ด

<img class="alignnone size-full wp-image-5435" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/03/ไวไว-03.jpg" alt="" width="638" height="366" />
<h2>ทุ่ม 50 ล้านมัดใจคนไทย</h2>
โค้งสุดท้ายของปีที่ผ่านมา ยศสรัลได้แสดงฝีไม้ลายมือของลูกไม้ใกล้ต้น ด้วยการสร้างกระแสให้แบรนด์ได้รับการกล่าวขานถึงในวงกว้างกับประโยค “ทำวันนี้ ทำไวไว” ที่มาพร้อมกลยุทธ์มิวสิกมาร์เก็ตติ้ง เพื่อให้เข้าถึงคนไทยได้ง่ายขึ้น ภายใต้คอนเซปท์ที่ย้ำาถึงทุกวินาทีของทุกคนมีคุณค่า อย่าปล่อยให้เวลาเสียเปล่าโดยการคิดแต่ไม่ลงมือทำ แต่ให้คิดอย่างสร้างสรรค์และลงมือทำอย่างตั้งใจโดยใช้งบประมาณ 50 ล้านบาท

“เราไม่ได้หวังว่าจะเป็นเบอร์ 1 หรือ generic name เพราะเป็นสิ่งที่ค่อนข้างยาก แต่เราต้องการให้เป็นแคมเปญที่คนได้ยินชื่อไวไวและนึกถึงแบรนด์ หรือนึกถึงบะหมี่นึกถึงไวไวเป็นวัตถุประสงค์หลัก และทำกิจกรรมเพื่อกระตุ้นให้เกิดการลงมือทำ ซึ่งเราใช้เวลาประมาณ 2 ปีกว่าจะได้แคมเปญที่สอดคล้องกับชื่อไวไวและสนับสนุนให้เกิดการลงมือทำในสังคมไทย”

กลยุทธ์ในปีนี้ยศสรัลจึงให้น้ำหนักทั้งผลิตภัณฑ์หลักที่สามารถสร้างยอดขายให้กับบริษัทอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ บะหมี่ กึ่งสำเร็จรูปและเส้นหมี่อบแห้ง โดยเฉพาะรสชาติที่แตกต่างจากคู่แข่ง เพื่อรักษาฐานผู้บริโภคและพัฒนารสชาติใหม่เพิ่มการเติบโตให้มากขึ้น รวมถึงการสร้างธุรกิจเกี่ยวเนื่องอื่นๆ เช่น ร้านอาหาร Quick Terrace จำหน่ายอาหารที่ใช้วัตถุดิบของบริษัท ได้แก่ บะหมี่ เส้นหมี่ปรุงอาหาร ซึ่งได้มีการชิมลางเปิดสาขาแรกเป็นโมเดลทดลองที่ด้านหน้าโรงงานในจังหวัดนครปฐม

สำหรับแผนการขยายสาขาจะมุ่งเน้นยังพื้นที่สถานศึกษา แหล่งท่องเที่ยว และบริเวณที่มีประชากรหนาแน่น ด้วยขนาดพื้นที่วางไว้เฉลี่ย 30-70 เมตรหรือ 30-40 ที่นั่ง เพื่อต่อยอดธุรกิจเดิมและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ของบริษัท รวมทั้งการเปิดร้านในลักษณะรถเคลื่อนที่หรือ quick truck จำหน่ายในสถานศึกษาและงานอีเวนต์ โดยอยู่ระหว่างการพิจารณาพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญด้านการบริการและการบริหารทรัพยากรบุคคล ตลอดจนระบบการจัดการเฉพาะ

<img class="alignnone size-full wp-image-5440" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/03/ไวไว-04.jpg" alt="" width="638" height="404" />

ด้านแผนการขยายตลาดในอนาคตไม่จำกัดเฉพาะการเพิ่มผลิตภัณฑ์ในประเทศแต่ยังให้ความสนใจตลาดต่างประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาเกิดขึ้นจากความสนใจติดต่อนำผลิตภัณฑ์ของบริษัทจำหน่ายหรือเป็นตัวแทนจำหน่าย เนื่องจากโรงงานที่มีเพียง 2 แห่งเทียบกับคู่แข่งที่มีจำนวนมากกว่า รวมถึงตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในประเทศไทยที่เริ่มอิ่มตัว ทำให้บริษัทพิจารณาการสร้างทีมงานรุกตลาดต่างประเทศที่แข็งแกร่งและความเป็นไปได้ในการสร้างโรงงานหรือฐานการผลิตในต่างประเทศ เพื่อความสะดวกด้านโลจิสติกส์และต้นทุนการผลิตที่คุ้มค่า

ยศสรัลกล่าวถึงความจำเป็นในการพัฒนาธุรกิจและกลยุทธ์ทางการตลาด ภายใต้เป้าหมายการสานต่อธุรกิจเดิมให้สามารถเติบโตอย่างยั่งยืนและสร้างธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพ ด้วยตัวเลขรายได้เติบโตเฉลี่ย 5% ทุกปีจาก 6.5 พันล้านบาทและกำไรสุทธิ249.6 ล้านบาทในปี 2560 ซึ่งสอดคล้องกับความมุ่งมั่นของครอบครัวที่พยายามเพิ่มยอดขายและกำไรสุทธิในอัตราต่อเนื่องสม่ำเสมอนับตั้งแต่แรกก่อตั้ง

ขณะที่ความท้าทายนับตั้งแต่เริ่มต้นช่วยธุรกิจของครอบครัวอยู่ที่การประสานงานกลุ่มคนรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ในองค์กรที่มีจำนวนมากกว่า 4,000 คน ซึ่งแต่ละส่วนงานต่างมีมุมมองความคิดและลักษณะการทำงานที่แตกต่างกัน ซึ่งยศสรัลให้ความสำคัญกับการรับฟังความเห็นของทุกฝ่าย โดยเฉพาะบุคลากรในองค์กรที่มีประสบการณ์ทำงานกับบริษัทเป็นระยะเวลานาน ด้วยหลักการและคำสอนที่ได้รับการถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นยศสรัลปิดท้ายถึงหลักสำคัญหรือหัวใจของธุรกิจที่ได้รับถ่ายทอดจากบิดาและปู่เพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน

“แต่ละคนมีความต่างกันต้องรู้เขา รู้เรา ต้องพูดคุยกัน ความขัดแย้งสามารถเกิดขึ้นได้เป็นเรื่องปกติ เก่งอย่างไรก็ทำงานไม่สำเร็จ ถ้าไม่มีทีมที่ดี ดังนั้นเราต้องสร้างทีมและสามารถทำงานทั้งสถานะหัวหน้า เพื่อนร่วมงาน จนถึงลูกน้องได้ดีโดยต้องมีการสื่อสารและมีความเข้าใจกันส่วนการทำธุรกิจภายนอก เราต้องซื่อสัตย์กับลูกค้าและส่งมอบคุณภาพที่ดีที่สุดเป็นนโยบายหลัก ถ้าสินค้ามีปัญหา เราพร้อมรับคืนหมด 100%”

<hr />

<a href="http://bit.ly/ForbesthailandFEB19">คลิกอ่านฉบับเต็ม "ยศสรัล แต้มคงคา นำทัพปลุกกระแสไวไว" ได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand Magazine ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ในรูปแบบ e-Magazine</a>
<img class="alignnone wp-image-5124 size-medium" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/02/ชวัลวัฒน์-ทิพพาภรณ์-เนรมิตฝัน-MQDC-แสนล้าน-พลังจอเงินสู่โปรเจกต์พลิกโลก-228x300.jpg" alt="" width="228" height="300" />

ยศสรัล แต้มคงคา นำทัพปลุกกระแสไวไว

ดร. ชวัลวัฒน์ อริยวรารมย์ และ ทิพพาภรณ์ อริยวรารมย์ (เจียรวนนท์) คู่ชีวิตและคู่คิดทางธุรกิจร่วมกันจัดตั้งบริษัท ที แอนด์ บี มีเดีย โกลบอล (ประเทศไทย) (T&amp;B Media Global (Thailand) Co., Ltd.) บริหารจัดการและลงทุนในคอนเทนต์ภาพยนตร์และรายการโทรทัศน์ทั่วโลก รวมถึงริเริ่มโครงการ Blue Carbon Society องค์กรไม่แสวงหากำไร เพื่อกระตุ้นสังคมไทยให้ร่วมอนุรักษ์และฟื้นฟูระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่ง ทั้งยังสร้าง Blue City เมืองที่เน้นการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่มีระบบเศรษฐกิจภายในของตัวเอง

ภายในฉบับพบกับ คงภัทร ตันติจิรสกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท พีน่าเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ทายาทรุ่นสองวัย 36 ปี ของพีน่า กรุ๊ป ผู้ผลิตและจำหน่ายเสื้อผ้า รวมถึงเจ้าของสิทธิ์แบรนด์ทิมเบอร์แลนด์ เจ้าของโครงการพรีเมียมเอาท์เล็ท ซานโตรินีพาร์ค โรงแรม และร้านอาหาร รวมรายได้ปี 2560 จำนวน 4.73 พันล้านบาท นำโดยเอาท์เล็ทมอลล์จำนวน 1.84 พันล้านบาทและกลุ่มเสื้อผ้าจำนวน 1.04 พันล้านบาท

ด้าน ยศสรัล แต้มคงคา ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท โรงงานผลิตภัณฑ์อาหารไทย จำกัด ทายาทรุ่นสามวัย 35 ปี ของธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปและเส้นหมี่อบแห้งแบรนด์ไวไวและควิก ซึ่งครองส่วนแบ่งทางการตลาดอันดับ 2 กับบทสัมภาษณ์ที่ตอกย้ำแบรนด์ด้วยการตลาดโดนใจและเพิ่มสัดส่วนผลิตภัณฑ์พรีเมียมและการต่อยอดสู่ธุรกิจ

ฐิติพัฒน์ ศุภภัทรานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธัญ-ออริซ่า จำกัด กับเจ้าของแบรนด์ผลิตภัณฑ์สปา THANN ผู้ผสานการใช้สมุนไพรไทยกับประสบการณ์อาชีพนักการตลาดสู่การส่งออกสินค้าไป 56 ประเทศทั่วโลก คาดการณ์รายได้ปี 2561กว่า 650 ล้านบาทเติบโตไม่ต่ำกว่า 25% ต่อปีมาแล้ว 4 ปีต่อเนื่องจากความนิยมเครื่องหอมที่กำลังขยายตัว พร้อมเดินหน้าสร้างธุรกิจใหม่ THANN Wellness Destination บนที่ดิน 30 ไร่ ใน อ.บางไทร จ.อยุธยา พร้อมเปิดตัวเดือนมีนาคม 2562

พบบทสัมภาษณ์พิเศษของ NGUYEN THI PHUONG THAO มหาเศรษฐีหญิงอันดับ 1 ของเวียดนาม ผู้ก่อตั้งสายการบินเวียตเจ็ท แอร์เตรียมเปิดโมเดลใหม่ในธุรกิจการบินที่เรียกว่า “Consumer Airlines” โดยนำแพลตฟอร์มดิจิทัลมาใช้เชื่อมโยงฐานข้อมูลลูกค้าของบริษัทในเครือและภายนอก อาทิ ธนาคาร สถานีบริการน้ำมัน ทั้งนี้ เธอเตรียมสร้างพอร์ตนักบินจากกว่า 30 ชาติ รองรับการเติบโตของฟลีทเครื่องบินที่จะมีการเติบโตถึง 7 เท่าภายในปี 2568

พบการจัดอันดับ 50 มหาเศรษฐีอินโดนีเซีย ประจำปี 2019 โดยปีนี้ทรัพย์สินรวมของพวกเขาได้ทำสถิติใหม่สูงถึง 1.29 แสนล้านเหรียญสหรัฐ และร่วมอ่านบทความและเรื่องราวธุรกิจอันหลากหลายเพื่อสร้าง “แรงบันดาลใจของผู้ใฝ่ความสำเร็จ” จาก Forbes Thailand ฉบับกุมภาพันธ์ 2562 (อ่านแบบ e-Magazine ได้ที่ http://bit.ly/ForbesThailandFeb2019)

<hr />

<a href="http://bit.ly/ForbesThailandFeb2019"><img class="alignnone size-full wp-image-4126" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/01/forbes-thailand-ฉบับ-กุมภาพันธ์-2562-01.jpg" alt="" width="638" height="784" /></a>
<img class="alignnone size-full wp-image-4127" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/01/forbes-thailand-ฉบับ-กุมภาพันธ์-2562-02.jpg" alt="" width="638" height="729" />
<a href="http://bit.ly/ForbesThailandFeb2019"><img class="alignnone size-full wp-image-4128" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/01/forbes-thailand-ฉบับ-กุมภาพันธ์-2562-03.jpg" alt="" width="638" height="774" /></a>

นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับกุมภาพันธ์ 2562 -  ชวัลวัฒน์-ทิพพาภรณ์ เนรมิตฝัน MQDC แสนล้าน พลังจอเงินสู่โปรเจกต์พลิกโลก

<h2>ตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเริ่มเติบโตช้ามาต่อเนื่อง 3-4 ปี และยังถูกกระแส ‘บะหมี่นอก’ จากเกาหลีเข้ามาตีชิงส่วนแบ่ง เบอร์ 2 ของตลาดนี้อย่าง ‘ไวไว-ควิก’ จึงต้องแก้เกมทุกช่องทาง</h2>
ไวไว แบรนด์หนึ่งภายใต้ บริษัท โรงงานผลิตภัณฑ์อาหารไทย จำกัด เพิ่งออกวางจำหน่าย 3 สินค้าใหม่ ได้แก่ รสต้มยำกุ้งน้ำข้นพริกเผาชนิดชาม, รสหมูสับ (ปรับสูตรและแพ็กเกจใหม่) และรสต้มยำสูตรดั้งเดิม พร้อมๆ กับการออกโฆษณาและเพลงแบบมิวสิก มาร์เก็ตติ้งโปรโมตแคมเปญใหม่ “ทำวันนี้ ทำไวไว” มาสู้ศึกตลาดอิ่มตัว

ยศสรัล แต้มคงคา ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท โรงงานผลิตภัณฑ์อาหารไทย จำกัด เปิดเผยข้อมูลตลาดรวมของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปว่า ช่วง 6 เดือนแรกปี 2561 ตลาดมีการเติบโตราว 2-3% คาดว่ามูลค่าตลาดทั้งปีจะอยู่ที่ 1.7 หมื่นล้านบาท ซึ่งเติบโตขึ้น 3-4% จากปีก่อนที่มีมูลค่า 1.65 หมื่นล้านบาท

“ปีนี้ถือว่าโตเยอะแล้วเพราะคนไทยรับประทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปประมาณ 40 ซองต่อคนต่อปี เป็นอัตราที่สูงมากแล้ว และยังมีอาหารทดแทนเข้ามาอีก เช่น อาหารพร้อมทานที่ราคาไม่ได้แพงมาก” ยศสรัลกล่าว

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/f1b812d7da0bcc633b22ba28f6ad4b82.jpg" alt="" width="638" height="453" /><figcaption> ยศสรัล แต้มคงคา</figcaption></figure>

ในขณะที่โรงงานผลิตภัณฑ์อาหารไทย ช่วง 9 เดือนแรกปี 2561 เติบโตสูงกว่าตลาดที่ 5% ยศสรัลกล่าวว่า แรงผลักดันสำคัญมาจากแบรนด์ควิก ซึ่งได้อานิสงส์นโยบายบัตรประชารัฐของรัฐบาล มียอดขายจากช่องทางร้านค้าดั้งเดิม (TT) เพิ่มขึ้น รวมถึงเส้นหมี่ขาวไวไวที่เป็นเบอร์ 1 ในตลาดยังเติบโตได้ดี ส่วนบะหมี่กึ่งฯ ไวไวนั้นยังเติบโตเทียบเท่ากับตลาด
<h2>แท็กไลน์ใหม่ การตลาด emotional</h2>
ยศสรัลกล่าวว่าปัจจุบัน บริษัทครองส่วนแบ่งเป็นอันดับ 2 ของตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ 24% แบ่งเป็นแบรนด์ไวไว 16% และแบรนด์ควิก 8% โดยมองว่าภาวะตลาดนี้การจะดึงส่วนแบ่งมาเพิ่มค่อนข้างลำบาก แต่ต้องทำให้สัดส่วนไม่ตกลง ดังนั้น ปีนี้จึงมีการออกแคมเปญใหม่ผ่านกลยุทธ์มิวสิก มาร์เก็ตติ้งเพลง “ทำวันนี้ ทำไวไว” จากบอย โกสิยพงษ์, ปู-พงษ์สิทธิ์ คำภีร์ และวง Room39 สื่อสารให้ชื่อของแบรนด์ “ไวไว” สนับสนุนการลุกขึ้นมาทำตามความฝันของคน โดยเฉพาะวัยรุ่นวัยเรียน

<img class="" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/928de54a28ddee0d8ba89a61f4674b97.jpg" alt="" width="476" height="771" />

“เราเน้นโปรโมตเรื่องเส้นเหนียว นุ่ม ไม่อืด มาตลอด ซึ่งคิดว่าไปถึงผู้บริโภคได้แล้ว ดังนั้นจึงมีคอนเซปท์โฆษณาใหม่นี้ที่เราจะใช้ต่อเนื่องไปอีก 2 ปี ไอเดียมาจากคำว่า ‘ไวไว’ ที่เรามักจะใช้พูดกันในชีวิตประจำวัน แต่ว่ายังไม่ใช่คำที่สื่อถึงบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เราอยากให้คนรับรู้คำว่าไวไวแล้วนึกถึงบะหมี่กึ่งฯ มากขึ้น แน่นอนว่าไม่ได้จะไปแทนที่ชื่อ generic name ของบะหมี่กึ่งฯ เพราะทำได้ยาก แต่อยากให้ไวไวได้เป็น brand in mind”

&nbsp;
<h2>เจาะตลาดพรีเมียม ดักกระแสบะหมี่กึ่งฯ เกาหลีบูม</h2>
อีกหนึ่งกลยุทธ์คือไลน์สินค้าใหม่อย่างไวไวรสต้มยำกุ้งน้ำข้นพริกเผาชนิดชาม ราคา 25 บาท จัดเป็นสินค้าพรีเมียมชิ้นใหม่ของไวไว ซึ่งที่ผ่านมาจัดจำหน่ายเฉพาะในเซเว่นอีเลฟเว่น แต่ปีนี้จะเริ่มจำหน่ายทุกช่องทางเพื่อทดสอบการตอบสนองของตลาด

ยศสรัลกล่าวว่า ปัจจุบันผลิตภัณฑ์พรีเมียมในบริษัทมีสัดส่วนเพียง 2% การนำสินค้าชนิดชามออกจำหน่ายนอกร้านสะดวกซื้อ นับเป็นจุดเริ่มของการรุกตลาดพรีเมียมของไวไวและควิก ซึ่งสินค้าชนิดชามน่าจะเป็นเทรนด์ที่กำลังมาในหมู่ผู้บริโภคและบริษัทเตรียมจะผลิตจำหน่ายมากขึ้น จากสัดส่วน 2% เชื่อว่าจะเพิ่มสัดส่วนเป็น 10% ภายใน 2-3 ปี และยังเตรียมจะผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบบซองในระดับพรีเมียมภายใต้แบรนด์ควิกในปี 2562 ด้วยราคาจำหน่าย 30 บาท

“บะหมี่กึ่งฯ แบบชามในตลาดรวมเองก็ยังมีสัดส่วนน้อยเพียง 2% เช่นกัน แต่มีแนวโน้มเติบโต ผู้บริโภคนิยมซื้อไปรับประทานที่บ้านเพราะลักษณะชามสามารถใส่วัตถุดิบอื่นๆ เช่น ไข่ เนื้อสัตว์ ได้ง่ายกว่าแบบถ้วย และสะดวกกว่าแบบซอง”

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/18265176685fec34f2a407ab2741adaa.jpg" alt="" width="638" height="413" /><figcaption> 3 รสชาติใหม่ของไวไวปี 2561: รสหมูสับสูตรใหม่ รสต้มยำกุ้งน้ำข้นพริกเผาชนิดชาม และรสต้มยำสูตรดั้งเดิม</figcaption></figure>

ตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูประดับพรีเมียมนี้มาพร้อมกับกระแสบะหมี่กึ่งฯ จากเกาหลีที่ฮิตในประเทศไทยมาแล้วหลายปี โดยเฉพาะ 2 ปีล่าสุดที่ยศสรัลบอกว่า มีบะหมี่กึ่งฯ แบรนด์เกาหลีอย่างน้อย 4 ยี่ห้อที่เข้ามาทำตลาดอย่างจริงจัง และผลักให้สัดส่วนสินค้ายี่ห้ออื่นๆ เติบโตมาแตะ 10% ของตลาดรวม รวมถึงเติบโตได้ดีกว่าโดยโตปีละมากกว่า 10% สะท้อนให้เห็นว่าตลาดยอมรับกับตลาดพรีเมียมเพราะบะหมี่กึ่งฯ ของเกาหลีนั้นส่วนใหญ่ขายในราคาสูง เป็นโอกาสของไวไวและควิกที่จะชิงส่วนแบ่งนี้กลับมา

&nbsp;
<h2>เปิดประตูบานใหม่ ดันสินค้า “เครื่องปรุงรส”</h2>
สำหรับอีกเส้นทางหนึ่งที่โรงงานผลิตภัณฑ์อาหารไทยกำลังเดินหน้าคือการผลักดันสินค้าใหม่กลุ่มตลาดเครื่องปรุงรส ทั้งนี้ บริษัทมีสินค้าที่อยู่ในตลาดนี้อยู่แล้ว ได้แก่ ผงปรุงรสแบรนด์ “รสเด็ด” ซึ่งยศสรัลแจกแจงว่าบริษัทมีการผลิตมานับสิบปีแล้ว แต่เพิ่งเริ่มติดตลาดเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมาหลังจากปรับกลยุทธ์จากการขายในโมเดิร์นเทรดมาเป็นร้านค้าดั้งเดิม อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับตลาดรวมของผงปรุงรสที่มีมูลค่าราว 1 หมื่นล้านบาท รสเด็ดยังมีส่วนแบ่งที่เล็กมากไม่ถึง 1%

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/54a66c5c66c52a863d05d6ab92c16930.jpg" alt="" width="638" height="474" /><figcaption> ผงปรุงรส รสเด็ด ของโรงงานผลิตภัณฑ์อาหารไทย</figcaption></figure>

แต่ตลาดเครื่องปรุงรสทั้งแบบผง ก้อน และน้ำนั้นมีมูลค่าสูงประมาณ 4 หมื่นล้านบาท วิสัยทัศน์บริษัทจึงต้องการจะบุกตลาดนี้เพิ่มขึ้น นอกจากผลักดันผงปรุงรสรสเด็ดที่มีอยู่เดิม ปีนี้ยังมีการลงทุนไลน์ผลิตใหม่เพื่อผลิตสินค้าชนิดใหม่ด้วย

“สินค้าใหม่อาจจะเป็นรูปแบบน้ำ ยังไม่ตัดสินใจว่าจะใช้แบรนด์รสเด็ดหรือไวไว ตอนนี้ยังอยู่ระหว่างศึกษาตลาด แต่ได้มีการลงทุนไลน์ผลิตแล้ว คาดว่าจะเปิดตัวสินค้าได้ช่วงไตรมาส 2-3 ปีหน้า” ยศสรัลกล่าว “บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเติบโตน้อยลง กำไรน้อยเพราะขึ้นราคาไม่ได้ เราจึงต้องหาสินค้าอื่นมาเสริมซึ่งเครื่องปรุงรสมีมาร์จิ้นที่ดีกว่า”

ต้องติดตามต่อไปว่ากลเม็ดของไวไว-ควิกจะทำให้รักษาฐานตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปผนวกกับการเปิดตลาดใหม่ได้สำเร็จหรือไม่

&nbsp;
<h3>Forbes Facts</h3>
<ul>
 	<li>ยศสรัลเปิดเผยเพิ่มเติมว่า ส่วนแบ่งตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปปัจจุบันอันดับ 1 คือมาม่า 47-48%, ไวไวและควิก 23-24%, ยำยำ 20-21% และอื่นๆ อีก 9-10%</li>
 	<li>ส่วนถ้าหากแบ่งตลาดรวมตามประเภทแพ็กเกจจิ้ง แบบซองจะมีสัดส่วนมากที่สุดที่ 68% รองมาคือแบบถ้วย 30% และแบบชามมี 2%</li>
 	<li>ไวไวมีทั้งหมด 16 รสชาติ และควิกมี 11 รสชาติ สำหรับไวไวมีรสชาติขายดีคือ ไวไวปรุงสำเร็จ, หมูสับต้มยำ และหอยลายผัดฉ่า เป็น 3 รสหลักที่ทำรายได้สัดส่วน 70-80% ของไวไว</li>
 	<li>รสต้มยำสูตรดั้งเดิมเป็นการหวนคืนตลาดอีกครั้ง หลังจากที่รสนี้เคยจำหน่ายในไทยเมื่อ 20 ปีก่อน</li>
</ul>

ตลาดอิ่มตัว-เกาหลีครองเมือง ‘ไวไว’ เปิดตำราสู้ศึกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป

เรื่อง: นพพร วงศ์อนันต์ และ เสาวรภย์ ปัญญาชีวิน ภาพ: ทวีศักดิ์ ภักดีหุ่น

เขาคือ มหาเศรษฐีพันล้านเหรียญคนแรก และคนเดียวของเนปาล เขาทำงานตั้งแต่อายุ 18 ปี ทิ้งโอกาสการเรียนมหาวิทยาลัยเพื่อบริหารธุรกิจครอบครัว และขยายต่อไปจนมีทรัพย์สินเกือบ 4 หมื่นล้านบาท จาก 80 บริษัทในหลากธุรกิจตั้งแต่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไปจนถึงโรงแรมห้าดาว

เมื่อ 3 ทศวรรษที่แล้ว ทุกครั้งที่ Binod Chaudhary นักธุรกิจชาวเนปาล เชื้อสายอินเดีย เจ้าของธุรกิจแป้งสาลี และโรงงานผลิตขนมปังกรอบเนปาลในขณะนั้น เดินทางไปและกลับจากต่างประเทศผ่านสนามบินกรุงKathmandu (กาฐมาณฑุ) เขามักเห็นผู้โดยสารชาวเนปาลหอบหิ้ว ไวไว บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกลับมาจากประเทศไทยทีละหลายกล่อง เขาเปลี่ยนภาพที่คุ้นตาเป็นโอกาสทางธุรกิจ แปลงส่วนเกินของแป้งสาลีของโรงงานไปเป็นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปสำหรับชาวเนปาล 20 ล้านคน

ภายหลังจากการเจรจากับ บริษัท โรงงานผลิตภัณฑ์อาหารไทย จำกัด เจ้าของ “ไวไว” ตัวจริง เขายอมลงทุนทุกอย่าง “ผมบอกว่า ไม่ต้องห่วง ผมลงทุนเองหมดทุกอย่าง ผมจะสร้างโรงงานและดำเนินการผลิตเองทั้งหมด ขอเพียงถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีในการผลิตให้เท่านั้น” เขากล่าวกับ Forbes Thailand ณ สำนักงานชั่วคราวของโรงแรม Glow ในซอย สุขุมวิท 16 ซึ่งเขาเป็นเจ้าของด้วย และจะเปิดให้บริการในเดือนพฤษภาคม 2015

จากก้าวแรกเมื่อ 33 ปีที่แล้ว จนถึงวันนี้ เส้นกราฟของไวไวในเนปาลเติบโตชนิดฉุดไม่อยู่ปัจจุบัน ไวไวมีส่วนแบ่งตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในเนปาล 65% ความสำเร็จในเบื้องต้นอาจเป็นได้ทั้งโชคและความบังเอิญ แต่ความสำเร็จที่ยั่งยืนต้องอาศัยมากกว่าโชคและความบังเอิญ Chaudhary มองตลาดได้ทะลุเจาะตรงไปที่กลุ่มเป้าหมาย คือคนเนปาลที่อาศัยอยู่ทั่วโลกราว 5 ล้านคนเขาปรับรสชาติของไวไวที่ผลิตในเนปาลให้เข้ากับรสนิยมของคนเนปาล ผสมผสานกับรสชาติดั้งเดิมเช่น รสต้มยำกับรสชาติท้องถิ่น เช่น Masala หรือแกงกะหรี่

ปัจจุบันธุรกิจบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักร Chaudhary Group หรือ CG ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปปีละ 1.8 พันล้าน หลากแบรนด์ และรสชาติ ส่งจำหน่ายราว 30 ประเทศทั่วโลก ไวไว เป็นสัดส่วน 70% ของยอดผลิตทั้งหมด

<hr />

<a href="http://goo.gl/APDH22">ติดตามอ่าน “มหาเศรษฐีเนปาล ผู้ขาย “ไวไว” ปีละกว่าพันล้านซอง” ฉบับเต็มได้ใน Forbes Thailand ฉบับ FEBRUARY 2015</a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events