เมอร์เซเดส-เบนซ์ เผยเบื้องหลังการทำตลาดรถยนต์สมรรถนะสูง "เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี” ในไทย เผยสิ้นปี 61 ที่ผ่านมาโต 300% หลังปั้นแบรนด์เกือบ 2 ปี
Roland Folger ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงยอดขายที่เติบโตกว่า 300% หลังจากเปิดตัวแบรนด์อย่างเป็นทางการเมื่อปลายปี 2560 ส่วนสำคัญคือการใช้กลยุทธ์ “Customer Centric” (คัสตอมเมอร์ เซ็นทริค) เน้นให้ลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์อย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างครอบคลุมมากที่สุด และการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าของเมอร์เซเดส-เอเอ็มจี
นับย้อนไปเมื่อปลายปี 2560 หลัง
เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ดึง เอเอ็มจี มาทำตลาดตอบโจทย์กลุ่มคนรักรถยนต์สมรรถนะสูง ปัจจุบันได้เปิดตัว
เมอร์เซเดส-เอเอ็มจีไปแล้ว 19 รุ่น ครอบคลุมรถในหลากหลายเซกเมนต์และราคา และมีจำหน่ายในไทยเป็นจำนวน 17 รุ่น
แม้ไม่สามารถเปิดเผยจำนวนยอดขายในประเทศไทยได้ แต่ตัวเลขจำนวน 120,000 คัน จากทั่วโลกที่ Roland ได้สะท้อนถึงการเติบโตของเมอร์เซเดส-เอเอ็มจี โดยมียอดขายอันดับหนึ่งจากสหรัฐฯ กลุ่มประเทศตะวันออกกลาง และกลุ่มประเทศจากยุโรป ตามลำดับ พร้อมเผยว่า ญี่ปุ่น เป็นตลาดที่น่าสนใจและมีการเติบโตในกลุ่มคนที่ต้องการครอบครองรถยนต์สมรรถนะที่ต้องจับตามอง
ความจริงจังของการพัฒนารถยนต์สมรรถนะสูงนั้นถือว่าอยู่ในสายเลือดในทุกค่ายรถจากประเทศเยอรมันนี อย่างการแข่งขัน Deutsche Tourenwagen Masters หรือ DTM ทัวนาเม้นท์การแข่งรถสูตรที่มีค่ายรถยนต์อาทิ AUDI, BMW และ เมอร์เซเดส-เบนซ์ แม้ต้นปีที่ผ่านมา เมอร์เซเดส-เบนซ์ จะประกาศถอนตัวจากการแข่งขัน DTM เพื่อมาเดินหน้าพัฒนารถแข่งฟอร์มูล่าวันไฟฟ้าก็ตาม
ปรัชญาหลักในการผลิตเครื่องยนต์ที่ Roland เล่าให้ฟังที่ว่า
“One man, One Engine” คือการประกอบและปรับจูนรถยนต์ด้วยช่างฝีมือเพียงคนเดียว โดยจะมีลายเซ็นต์ของช่างที่ฝาครอบเครื่องเพื่อเป็นการรับรองคุณภาพ ซึ่งในรถที่ เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี จัดจำหน่ายจะมีเพียงรุ่น Mercedes-benz AMG GT 63 เพียงรุ่นเดียวที่ประกอบและปรับจูนตามปรัชญาดังกล่าว
แม้จะมีเพียงรถยนต์รุ่นเดียวที่สร้างแบบ “One man, One Engine” และวางจำหน่าย แต่รถทุกรุ่นที่ เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี ผลิตเป็นรถยังคงเชื่อมั่นได้ว่ามีสรรถนะการขับขี่ที่ดีและคงจิตวิญญาณนักแข่งไว้ภายในซึ่งรถยนต์แทบทุกคลาสและเป็นการวางแผนล่วงหน้ายาวนานถึง 7 ปี “เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี”ทั้ง 19 รุ่น เป็นทั้งรถนำเข้าและจดประกอบในไทย ซึ่งปี 2561 เป็นครั้งแรกที่ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทยสามารถประกอบเมอร์เซเดส-เอเอ็มจี เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ในรุ่น
C 43 4MATIC Coupe และปัจจุบันประกอบได้แล้วถึง 5 รุ่น
“การประกอบรถยนต์เองในประเทศทำสามารถแข่งขันด้านราคาและเพิ่มความหลากหลาย ผู้บริโภคในเมืองอย่างกรุงเทพฯ บางรายไม่ได้ต้องการสมรรถนะหรือเครื่องยนต์ที่แรงม้าสูงเพื่อสอดคล้องกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน เราก็มีเมอร์เซเดส-เอเอ็มจีในรุ่นที่เล็กลงมาเพื่อตอบสนองความต้องการเหล่านั้น และเมอร์เซเดส-เอเอ็มจีทำให้อายุผู้บริโภคของ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย เด็กลงอีกราว 5 ปี”
นอกจากนี้จุดแข็งสำคัญคือตัวแทนการขายและการบริการ Roland กล่าวว่า ตัวแทนการขายทั้ง 14 ราย ในปัจจุบันครอบคลุมการขายและบริการตั้งแต่ภาคเหนือจรดภาคใต้ ซึ่งหากเกิดปัญหาระหว่างเส้นทางทำให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่าจะมีฝ่ายบริการเข้าไปอำนวยความสะดวก โดยดีลเลอร์ทุกรายต้องผ่านการฝึกอบรมเพื่อให้เข้าใจรถยนต์อย่างแท้จริง เพราะปัจจุบันกลุ่มลูกค้าที่เดินเข้าโชว์รูมล้วนทำการบ้านมาอย่างดีเพิ่มประกอบการตัดสินใจซื้อ
Roland กล่าวทิ้งท้ายถึงความสำเร็จของยอดขายก้าวกระโดดกว่า 300% มาจากแนวคิดของ Ola Källenius ประธานคณะกรรมการบริหาร Daimler AG และ หัวหน้ารถยนต์นั่งส่วนบุคคล เมอร์เซเดส-เบนซ์ ที่นำนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัยจากรถแข่งสู่รถยนต์บนท้องถนนโดยมีแบรนด์มอร์เซเดส-เอเอ็มจีเป็นจุดขายที่สามารถนำจิตวิญญาณ “one man one engine” สู่เครื่องยนต์เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี ให้ผู้รักรถยนต์สมรรถนะสูงไทยได้ขับขี่ได้