อายิโนะโมโต๊ะ ตั้งเป้าองค์กรสู่ธุรกิจคาร์บอนต่ำ ลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมลง 50% ภายในปี 2573 - Forbes Thailand

อายิโนะโมโต๊ะ ตั้งเป้าองค์กรสู่ธุรกิจคาร์บอนต่ำ ลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมลง 50% ภายในปี 2573

FORBES THAILAND / ADMIN
25 Mar 2024 | 02:30 PM
READ 352

อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) บริษัทชั้นนำของโลกในธุรกิจเกี่ยวกับอาหาร
สานต่อความเป็นผู้นำในการสร้างความอยู่ดีมีสุขให้กับสังคมไทยอย่างยั่งยืน ด้วยการสร้าง Well-being หรือ “การอยู่ดีมีสุข” ครอบคลุมทุกมิติทั้งสังคมและสิ่งแวดล้อม พร้อมอัปเดตแผนการดำเนินงานด้วยพันธกิจยืดช่วงอายุขัยของการมีสุขภาพดีให้กับคนทั่วโลกด้วย “ศาสตร์แห่งกรดอะมิโน” และการดำเนินงานมุ่งสู่องค์กรธุรกิจคาร์บอนต่ำ เพื่อลดผลกระทบ
ต่อสิ่งแวดล้อมลง 50% ได้สำเร็จ ภายในปี 2573


    เค็นจิ ฮะระดะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “เพื่อเป็นไปตาม ยุทธศาสตร์ด้านความยั่งยืนปี 2573 ของกลุ่มบริษัทฯ ในระดับโลก อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) มุ่งนำ ศาสตร์แห่งกรดอะมิโน (AminoScience) มาสร้างสรรค์นวัตกรรมเกี่ยวกับอาหารและสุขภาพ ด้วยการสร้าง Well-being หรือ การอยู่ดีมีสุข ตามพันธกิจในการยืดช่วงอายุขัยของการมีสุขภาพดีให้กับผู้คน 1 พันล้านคนทั่วโลก


เค็นจิ ฮะระดะ และโคะเฮ อิชิกะวะ

    โดยนำ 4 หน้าที่หลักของกรดอะมิโน ได้แก่

    
1) การปรุงรสชาติอาหารให้อร่อย

    2) การนำสารอาหารไปสู่ร่างกาย

    3) การส่งเสริมสุขภาพที่ดี

    4) การตอบสนองที่นำไปสู่การสร้างฟังก์ชันใหม่

    มาสร้างสุขภาพที่ดีให้กับผู้คน โดยกรดอะมิโนถือเป็นหัวใจสำคัญของผลิตภัณฑ์หลักของบริษัทฯ คือ ผงชูรสอายิโนะโมะโต๊ะ พร้อมต่อยอดไปจนถึงผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร คือ อะมิโนไวทัล (BCAAs) ที่ช่วยฟื้นฟูและเสริมความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อสำหรับนักกีฬาและผู้ที่รักการออกกำลังกาย และอะมิโนมอฟ (ลิวซีน) ซึ่งช่วยเรื่องการสร้างกล้ามเนื้อและข้อต่อเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเคลื่อนไหวในผู้สูงอายุ โดยบริษัทฯ ยังคงมีการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่จะช่วยส่งเสริมความอยู่ดี มีสุขให้แก่ผู้คนทั่วโลกผ่านองค์ความรู้ในด้านศาสตร์แห่งกรดอะมิโน

    “พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ก็ได้มีแผนการดำเนินงานที่คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ เริ่มตั้งแต่กระบวนการผลิตในโรงงาน การจัดหาวัตถุดิบอย่างยั่งยืน การต่อยอดสู่ภาคครัวเรือน และภาคเกษตรกรรม 
ภายใต้แนวคิด Ajinomoto Biocycle เพื่อมุ่งสู่องค์กรธุรกิจคาร์บอนต่ำ บรรลุเป้าหมายในการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมลง 50% ได้สำเร็จ ภายในปี 2573”



แผนการดำเนินงานสู่เป้าหมายด้านความยั่งยืนในปี 2573

    เปิด 5 แนวทางดำเนินงานเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการดำเนินธุรกิจ ประกอบด้วย

    1) ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 50%

    2) ดูแลรักษาแหล่งน้ำ 80%

    3) ลดขยะพลาสติกให้เป็นศูนย์ ด้วยการใช้พลาสติกรีไซเคิล

    4) ลดการสูญเสียอาหารและขยะอาหารจากกระบวนการผลิต

    5) จัดหาวัตถุดิบอย่างยั่งยืนทั้ง 100%

    จึงเกิดเป็นผลการดำเนินงานเพื่อความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมที่เป็นรูปธรรม ดังนี้

    ภาคการผลิตในโรงงาน อาทิ ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ด้วยการใช้พลังงานทางเลือกและพลังงานหมุนเวียนต่างๆ ในกระบวนการผลิตแทนการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งสามารถลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้กว่า 380,000 ตันต่อปี การลดใช้น้ำและพลาสติกจากการดำเนินงาน การปรับเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์พลาสติกให้เป็นวัสดุ
ที่สามารถนำไปรีไซเคิลได้ ลดปริมาณการสูญเสียอาหารและขยะอาหาร ได้ถึง 70% หรือประมาณ 1,300 ตัน



    นอกจากนี้ ยูนิฟอร์มของพนักงานอายิโนะโมะโต๊ะยังถูกผลิตขึ้นจากขวดน้ำพลาสติกที่ใช้แล้ว นับเป็นการช่วย
ลดปริมาณขยะพลาสติกที่เกิดขึ้น ทั้งหมดนี้คือการดำเนินงานของเราอย่างต่อเนื่อง เพื่อบรรลุเป้าหมายสู่การเป็นองค์กรธุรกิจคาร์บอนต่ำ

    ภาคการจัดหาวัตถุดิบอย่างยั่งยืน โดยมุ่งเน้นในการพิจารณาเพื่อลดความเสี่ยงและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม ที่เกี่ยวเนื่องกับการได้มาซึ่งวัตถุดิบหรือสินค้าในห่วงโซ่อุปทาน โดยช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ประสบความสำเร็จ
ในการดำเนินการเลือกใช้กระดาษที่ผ่านการรับรอง FSC ได้ทั้งหมด 100% การเลือกใช้น้ำมันปาล์มและผลิตภัณฑ์จากปาล์ม ที่ผ่านการรับรอง RSPO กว่า 100% และการเลือกใช้เนื้อหมูที่ได้จากการเลี้ยงที่คำนึงถึง Animal welfare

    ภาคครัวเรือน จัดโครงการ Too Good To Waste กินหมดลดโลกร้อน เพื่อสร้างความตระหนักรู้ในการร่วมลดขยะอาหารแก่ผู้บริโภคผ่านสูตรอาหารรักษ์โลก

    ภาคเกษตรกรรม ต่อยอดองค์ความรู้ด้านกรดอะมิโนของเรา ผ่านผลิตภัณฑ์ร่วมที่ได้จากกระบวนการผลิตผงชูรส เข้าไปสนับสนุนเกษตรกรให้สามารถผลิตผลผลิตได้อย่างยั่งยืน ภายใต้แนวคิด Ajinomoto Biocycle ซึ่งเป็นแนวทางวัฏจักรชีวภาพในกระบวนการผลิต


นัฏทพนธ์ พานิชดี


    นัฏทพนธ์ พานิชดี ผู้จัดการ โรงงานอายิโนะโมะโต๊ะ จังหวัดกำแพงเพชร เผยว่า “โรงงานอายิโนะโมะโต๊ะ กำแพงเพชร เป็นฐานการผลิตสำคัญในการดูแลด้านกินดีของคนไทยทั่วประเทศ และ 40 ประเทศทั่วโลก ซึ่งถือเป็นต้นแบบโรงงานสีเขียวเพื่อสิ่งแวดล้อม ด้วยการใช้พลังงานทดแทน เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เช่น เทคโนโลยีหม้อต้มไอน้ำพลังงานชีวมวล, การก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมจากชีวมวลที่นำแกลบและชานอ้อยที่เหลือจากภาคการเกษตรมาเป็นเชื้อเพลิงสำหรับกระบวนการผลิตภายในโรงงาน, การติดตั้งระบบหลังคาโซลาร์บนหลังคา, 
การจัดการน้ำในโรงงานอย่างมีประสิทธิภาพ โดยนำหลัก 3Rs (Reduce, Reuse, Recycle) มาใช้ในการจัดการในโรงงาน, 
การลดปริมาณการใช้พลาสติกระหว่างกระบวนการผลิต เพื่อลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมแบบบูรณาการ และสร้างวงจรเชิงบวกอย่างยั่งยืน”

    โคะเฮ อิชิกะวะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ เอฟ ดี กรีน (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า “ในฐานะที่อายิโนะโมะโต๊ะเป็นบริษัทชั้นนำของโลกในธุรกิจเกี่ยวกับอาหาร การดูแลวัตถุดิบให้มีคุณภาพตั้งแต่ต้นน้ำ ครอบคลุมไปจนถึงการดูแลทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับวัฏจักรแห่งห่วงโซ่คุณค่าของเราจึงเป็นสิ่งที่บริษัทฯ ให้ความสำคัญ

    จากความมุ่งมั่นนี้ จึงได้มีการเปิดตัว บริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ เอฟ ดี กรีน (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อเป็นบริษัทต้นแบบทางธุรกิจเพื่อสิ่งแวดล้อมของกลุ่มบริษัทฯ ตั้งเป้าหมาย
รุกภาคการเกษตร เพื่อสร้างความยั่งยืนในการจัดการกับผลิตภัณฑ์ร่วมที่ได้จากกระบวนการผลิตผงชูรสและพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อประโยชน์ทางการเกษตร ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ มี 11 ผลิตภัณฑ์ แบ่งเป็น 2 หมวดหมู่ ได้แก่

    
1) ผลิตภัณฑ์ด้านการเกษตร เช่น กระเทียม เมล็ดกาแฟ

    2) ผลิตภัณฑ์เพื่อการเกษตร ประกอบด้วยผลิตภัณฑ์สำหรับพืช และอาหารสำหรับสัตว์

    ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา อายิโนะโมโต๊ะได้ต่อยอดองค์ความรู้เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่จะช่วยสนับสนุนประสิทธิภาพการเพาะปลูกที่ดีขึ้นของเกษตรกรอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดได้แนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ ‘ปุ๋ยอามินา’ ที่มาจากความเชี่ยวชาญ
ในด้านเทคโนโลยีการหมักของบริษัทอายิโนะโมะโต๊ะ มาพัฒนาเป็นปุ๋ยชีวภาพอันอุดมด้วยแบคทีเรียที่ดีต่อพืช มีคุณสมบัติ
ในการส่งเสริมการเจริญเติบโตของรากและเพิ่มสารอาหารในดิน จึงทำให้ผลผลิตของเกษตรกรเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน



    “เราเชื่อว่าถ้าเกษตรกรอยู่ดีมีสุข ธุรกิจของเราก็มั่นคงไปด้วย เราจึงดำเนินกิจกรรมเพื่อตอบโจทย์ความยั่งยืน ด้วยการดูแล เกษตรกรไทยกว่า 1,376 ครอบครัวในจังหวัดกำแพงเพชรและนครสวรรค์ ซึ่งเป็นแหล่งเพาะปลูกมันสำปะหลังแหล่งใหญ่
ของประเทศไทย ในการทำการเกษตรอย่างยั่งยืนทุกขั้นตอน”

    โดยมี 2 โครงการหลักได้แก่

    1) โครงการ Thai Farmer Better Life Partner ยกระดับความความอยู่ดีมีสุขให้กับเกษตรกรพร้อมสร้างวงจรเชิงบวกอย่างยั่งยืน ทั้งไร่มันสำปะหลัง ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตผงชูรสอายิโนะโมะโต๊ะ 
ต่อยอดมาสู่ไร่กาแฟ ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตกาแฟเบอร์ดี้ ภายใต้แนวคิด Ajinomoto Bio-cycle โดยนำเอาน้ำหมักที่เหลือจากกระบวนการผลิตมาต่อยอดเป็นปุ๋ยอินทรีย์ที่ดีกับสิ่งแวดล้อม พร้อมร่วมมือกับภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความรู้ แนะนำ และดูแลการรับซื้อในราคาเป็นธรรม

    2) โครงการ Green Coffee Bean (GCB) Farmer Sustainability ด้วยการสนับสนุนปุ๋ยเคมีอินทรีย์ที่พัฒนามาจากศาสตร์แห่งกรดอะมิโนให้แก่เกษตรกร เพื่อลดปริมาณการใช้สารเคมีในการเพาะปลูก รวมทั้งช่วยพัฒนาความรู้ ตั้งแต่การปลูกต้นกาแฟ การดูแล ไปจนถึงการเก็บเกี่ยว เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ โดยตั้งเป้าเติบโตในธุรกิจภาคการเกษตร 2.5 เท่า และพัฒนาระบบการตรวจสอบย้อนกลับแหล่งที่มา (traceability) ของมันสำปะหลัง
ที่เข้าร่วมในโครงการ Thai Farmer Better Life Partner 100% เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมอื่นๆ ได้สำเร็จภายในปี พ.ศ. 2573


เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : A5 อวดกำไรปี 66 กว่า 500 ล้านบาท เผยมติเคาะปันผลหุ้นละ 0.05 บาท กำหนดจ่าย 20 พ.ค.นี้

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine