จีนเตรียมกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ปีนี้ หลัง GDP ปี 2018 โตเพียง 6.6% ต่ำสุดในรอบ 28 ปี - Forbes Thailand

จีนเตรียมกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ปีนี้ หลัง GDP ปี 2018 โตเพียง 6.6% ต่ำสุดในรอบ 28 ปี

จีนเตรียมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ หลัง GDP ปี 2018 ต่ำที่สุดในรอบ 28 ปี ผลกระทบจากสงครามการค้า ความเชื่อมั่นลงทุนลดเเละการบริโภคในประเทศต่ำ

สำนักงานสถิติแห่งชาติของจีน (National Bureau of Statistics – NBS) เปิดเผยว่า อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน โดยรวมในปี 2018 อยู่ที่ 6.6% มากกว่าที่ทางการเคยตั้งเป้าหมายไว้ที่ 6.5% เเต่ถือว่าลดลงจากปี 2017 ซึ่งอยู่ที่ 6.8% เเละเป็นการชะลอตัวลงสู่ระดับต่ำที่สุดในรอบ 28 ปี นับตั้งเเต่ปี 1990  ขณะที่จีนกำลังพยายามปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ จัดการปัญหาหนี้สินและผลกระทบจากสงครามการค้ากับสหรัฐฯ

เศรษฐกิจจีนซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก มีอัตราขยายตัวในปี 2018 ไตรมาสที่ 4 อยู่ที่ 6.4% เเละไตรมาส 3 อยู่ที่ 6.5 % ลดลงจากไตรมาส 1 และ 2 ซึ่งอยู่ที่ 6.8% และ 6.7% ตามลำดับ

จีนมีแนวโน้มที่จะเผชิญปัญหาเศรษฐกิจต่อเนื่อง ซึ่งนักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัวหนักขึ้น โดยมีเหตุปัจจัยหลักจากการบริโภคในประเทศที่ลดลง ประกอบกับกำแพงภาษีของสหรัฐฯ ที่ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อการผลิตเพื่อการส่งออกทำให้การลงทุนก็ลดลงตามไปด้วย

โดยความกังวลของนักลงทุนที่มีเพิ่มขึ้นจากเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวนั้น จะเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจโลกโดยรวม อีกทั้งยังฉุดกำไรของบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ต่างๆ อย่างบริษัทผู้ผลิตรถยนต์เเละบริษัทเทคโนโลยีอย่าง Apple Inc เป็นต้น

ก่อนหน้านี้ ทางการจีนเคยประกาศว่า จะมีการดำเนินมาตรการเพื่อสนับสนุนทางเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้นในปี 2019 เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการว่างงาน อย่างไรก็ตามคงจะไม่ใช้มาตรการเเบบ “flood” ที่เคยทำกับกรุงปักกิ่ง ที่เเม้จะส่งผลต่อการขยายตัวของ GDP ได้ทันใจก็จริงแต่ก็ส่งผลให้เกิดหนี้สินขึ้นในระบบมหาศาลเช่นกัน

นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนในปีนี้ น่าจะเป็นไปในรูปแบบการปรับลดภาษีเเละค่าธรรมเนียมต่างๆ ที่มีมูลค่าราว 2 ล้านล้านหยวน พร้อมกับการปล่อยพันธบัตรรัฐบาลอีกอย่างน้อย 2 ล้านล้านหยวน

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งหลายที่กำลังจะมีออกมานั้น จะยังไม่ส่งผลให้เห็นโดยเร็ว ดังนั้นในไตรมาสเเรกของปีนี้ จึงคาดว่า GDP ของจีนจะลดลงต่อเนื่อง เเละอาจลดลงต่ำสุดถึง 6.3% ก่อนจะกระเตื้องขึ้น เเละเเม้ว่าจีนจะเจรจายุติสงครามการค้ากับสหรัฐฯได้สำเร็จ เเต่ก็ต้องใช้เวลาฟื้นตัวเพื่อสร้างความเชื่อมั่น ดึงดูดการลงทุนเเละกระตุ้นให้ผู้บริโภคภายในประเทศหันมาจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น

Chen Xingdong นักเศรษฐศาสตร์ของ BNP Paribas ให้ความเห็นว่า เหล่านักลงทุนไม่ได้คาดหวังว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของทางการจีนจะได้ผลลัพธ์เหมือนช่วงวิกฤตเศรษฐกิจโลกในปี 2008-09 ที่ทำให้กรุงปักกิ่งเติบโตอย่างรวดเร็ว  สิ่งที่จีนสามารถทำได้ในปีนี้ คือการป้องกันภาวะเงินฝืด ภาวะเศรษฐกิจถดถอยเเละการดิ่งลงอย่างหนักของระบบเศรษฐกิจ

  ที่มา ภาพ GREG BAKER / AFP