ถึงเวลายุติ “กฎหมายการุณยฆาต” - Forbes Thailand

ถึงเวลายุติ “กฎหมายการุณยฆาต”

ในปี 2002 เบลเยียมผ่านกฎหมายการุณยฆาตอันเลือดเย็นที่ไม่ต่างอะไรกับการฆาตกรรม หลังจากเนเธอร์แลนด์ได้ผ่านกฎหมายเดียวกันเมื่อ 1 ปีก่อนหน้านั้น กฎหมายนี้อนุญาตให้หมอและพยาบาลฆ่าคนไข้โดยความยินยอมของพวกเขา

วิถีปฏิบัติที่ชวนให้คิดถึงสิ่งที่นาซีเยอรมนีทำก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 กับผู้ที่บกพร่องทางจิตและผู้พิการทางกายขั้นรุนแรงนี้ ถูกทำให้ชอบธรรมและแน่นอนว่าไม่ใช่โดยทฤษฎี “ทำเผ่าพันธุ์ให้บริสุทธิ์” ของ Hitler แต่ในฐานะเป็นวิธีที่มีมนุษยธรรมในการจัดการกับผู้ที่ป่วยเป็นโรคร้ายและเจ็บปวดแสนสาหัส ตั้งแต่เนเธอร์แลนด์และเบลเยียมผ่านกฎหมายที่น่ารังเกียจทางศีลธรรมนี้ มีผู้ป่วยถูกทำให้เสียชีวิตแล้วหลายพันคน เบลเยียมอนุญาตให้ใช้กฎหมายการุณยฆาต (Euthanasia) แม้แต่กับเด็ก โดยในช่วงระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2016 ถึง 31 ธันวาคม 2017 เด็ก 2 คนในวัย 9 และ 11 ขวบ ซึ่งป่วยเป็นโรคเนื้องอกในสมองและโรคทางพันธุกรรมชนิดรุนแรง (Cystic Fibrosis) รวมทั้งผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อเจริญผิดเพี้ยนแบบ Duchenne วัย 17 ปี ได้จบชีวิตด้วยการทำการุณยฆาต ผู้ที่เห็นด้วยบอกว่าเด็กๆ ให้ความยินยอม เช่นเดียวกับผู้ปกครองของพวกเขา ให้ตายเถอะ นี่เราเชื่อว่าเด็กๆ ควรจะตัดสินใจเรื่องแบบนี้ด้วยตัวเองหรือ เนเธอร์แลนด์ตกเป็นเป้าโจมตีหลังเกิดเรื่องอื้อฉาวเมื่อคนไข้ถูกฉีดยาให้เสียชีวิตโดยปราศจากความยินยอมเพื่อให้เตียงคนไข้ “ซึ่งเป็นที่ต้องการ” ว่างลง เหตุผลของเรื่องนี้มีว่าคนเหล่านี้กำลังจะตายในไม่ช้าอยู่ดี ที่เบลเยียม รายงานข่าวแจ้งว่าหนึ่งในสมาชิกคณะกรรมการกลางเพื่อการควบคุมและประเมินการทำการุณยฆาตได้ลาออกเมื่อปีที่แล้ว “เพื่อประท้วงการทำให้ผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมเสียชีวิตโดยปราศจากการตรวจสอบ” สิ่งที่เกิดขึ้นคือความเสื่อมทรามอันอัปลักษณ์ แทนที่หาทางบรรเทาความเจ็บปวดของผู้เจ็บป่วยและคิดสร้างสรรค์แนวทางเพื่อการนี้ให้ดียิ่งขึ้น เราเพียงแค่ “พาพวกเขาให้พ้นจากทุกขเวทนา” ไม่ต่างจากที่เราทำกับบรรดาสัตว์เลี้ยงทั้งหลาย ไม่เพียงแต่เบลเยียมและเนเธอร์แลนด์ที่เราได้เห็นปรากฏการณ์อันน่าอดสูนี้ ผู้ป่วยเรื้อรังในแคนาดารายหนึ่งกำลังฟ้องร้องรัฐบาล โดยกล่าวหาว่าบุคลากรทางการแพทย์พยายามขู่เข็ญให้เขาเลือกหนทางการฆ่าตัวตายด้วยความช่วยเหลือทางการแพทย์เพื่อประหยัดเงิน “ทำไมต้องบังคับให้ผมจบชีวิตตัวเอง” ผู้ร้องทุกข์ตั้งคำถาม เป็นธรรมดาที่ใครสักคนจะชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษรเมื่อพวกเขามีสุขภาพกายที่ดีและจิตใจที่สมบูรณ์ว่า ไม่ต้องการให้มีการดำเนินมาตรการ “ที่น่ายกย่อง” ใดๆ และให้บุคลากรทางการแพทย์ “ปล่อยให้ทุกสิ่งเป็นไปตามครรลองของธรรมชาติ” มันต่างกันโดยสิ้นเชิงกับการที่บุคลากรทางการแพทย์ลงมือฆ่าผู้ป่วยดังที่กำลังเกิดขึ้นในเบลเยียม เนเธอร์แลนด์ และที่อื่นๆ ผลการวิจัยพบว่าเหยื่อการทำการุณยฆาตและการฆ่าตัวตายโดยความช่วยเหลือทางการแพทย์จำนวนมากป่วยเป็นโรคซึมเศร้า พวกเขาควรได้รับการรักษา มิใช่ทอดทิ้ง ในด้านความทุกข์ทรมานทางกาย การจัดการความเจ็บปวดอย่างมีประสิทธิภาพทั้งด้วยตัวยาดั้งเดิมที่ใช้กันมานานและตัวยาที่ใหม่กว่าดีกว่านั้นมันไม่เกินความสามารถของการแพทย์สมัยใหม่ เป็นความจริงที่ในสหรัฐฯ เรามีวิกฤตการณ์รุนแรงเกี่ยวกับการใช้ยาระงับปวดที่ทำจากฝิ่น อย่างไรก็ตาม คำตอบของปัญหานี้ ไม่ควรที่จะลดความสนใจเรื่องการจัดการความเจ็บปวด หากแต่ทางเลือกหนึ่งนั้น คือมุ่งเน้นลดการใช้ยาในทางที่ผิด และในท้ายที่สุด กำจัดพฤติกรรมนี้เสีย ความปรารถนาที่จะใช้การุณยฆาตเป็นทางออกมีแต่จะเพิ่มขึ้นเมื่อประชากรเข้าสู่วัยชรา ขณะที่รัฐบาลและบริษัทประกันต่างพยายามรัดเข็มขัดด้วยการหาทางลดค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพที่เพิ่มมากขึ้น ความจริงที่ว่าชีวิตเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ควรจะเป็นข้อกังขาสำหรับคุณ ไม่ว่าคุณเคร่งศาสนาหรือไม่ ไม่นานมานี้ เราได้เห็นความก้าวหน้าทางการแพทย์ครั้งใหญ่ที่ไม่เพียงช่วยยืดชีวิต แต่ยังช่วยปรับปรุงคุณภาพชีวิตขณะที่เราแก่ตัวลง คำตอบของการรับมือกับค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพที่เพิ่มขึ้นคือการสร้างตลาดเสรีที่แท้จริง ที่จะทำให้ความขาดแคลนกลายเป็นความอุดมสมบูรณ์ มีอะไรไม่มากนักไปปิดกั้นตลาดเสรีของธุรกิจการดูแลสุขภาพ ฝ่ายที่สามคือรัฐบาลและบริษัทประกันยังคงครอบครองตลาดเป็นส่วนใหญ่ หาใช่ผู้ป่วยไม่ สิ่งนี้กำลังเริ่มเปลี่ยนไปในสหรัฐฯ ด้วยเหตุนี้ การสร้างความเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่จึงควรเป็นเป้าหมายเร่งด่วน ไม่ใช่ยอมจำนนให้กับสวัสดิการที่ได้รับการแบ่งสรรปันส่วนหรือดิ่งลงสู่เหวแห่งการุณยฆาตและ “การตายโดยความช่วยเหลือทางการแพทย์” ไม่ว่าจะในแง่ศีลธรรมหรือแง่ปฏิบัติ วิถีเหล่านี้ไม่ควรมีอยู่ในสังคมที่มีอารยธรรมและมนุษยธรรม