ผลประชุม National People’s Congress จีน กับ การเปลี่ยนแปลงหลัง สงครามการค้า - Forbes Thailand

ผลประชุม National People’s Congress จีน กับ การเปลี่ยนแปลงหลัง สงครามการค้า

การประชุม National People’s Congress หรือการประชุมสภาประชาชนจีน คือ การประชุมสุดยอดผู้นำในทุกๆ ภาคส่วนของจีน

ไม่ว่าจะเป็น สภาประชาชนที่มาจากการเลือกตั้งจากหน่วยเลือกตั้ง 35 หน่วย ผู้นำในองค์กรท้องถิ่นต่างๆ หน่วยงานกลาโหม รวมไปถึงหน่วยงานสำคัญในฮ่องกงและไต้หวัน สำหรับการประชุม NPC ครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมทั้งสิ้น 2,987 ราย โดยในปีนี้ทางการจีนได้จัดการประชุมในวันที่ 5 มี.ค. 2019

ผลการประชุมครั้งนี้มีอะไรน่าสนใจ

สิ่งสำคัญของการประชุม National People’s Congress ในครั้งนี้ คือการกำหนดกรอบเป้าหมายการเติบโตของเศรษฐกิจปี 2019 ที่กรอบ 6.0-6.5% ซึ่งกรอบล่างของเป้าหมายถือเป็นการเติบโตที่น้อยที่สุดในรอบ 30 ปี แต่ถือว่าสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติระยะยาวของจีนที่มุ่งเน้นจะเติบโตอย่างยั่งยืน โดยมีเป้าหมายในการลดปริมาณหนี้ในระบบเศรษฐกิจและขจัดความยากจน การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงที่เป็นการชะลอตัวเชิงโครงสร้าง (Structural) ไม่ใช่การชะลอตามวัฏจักรเศรษฐกิจ สำหรับตัวเลข GDP ไตรมาส 4/2018 ที่ผ่านมาเศรษฐกิจเติบโต 6.6% ถือว่าสอดคล้องกับตัวเลขที่ทางการจีนได้เคยให้ประมาณการไว้ในการประชุม ประจำปี 2018 ที่ 6.5% ด้านเงินเฟ้อทางการจีนได้ให้เป้าหมายเงินเฟ้อที่ 3% ตามนักวิเคราะห์คาด และยังสูงกว่าระดับเงิน เฟ้อในปัจจุบันที่ระดับ 1-2% เท่านั้น ทำให้ประเมินได้ว่าทางการจีนยังสามารถใช้นโยบายผ่อนคลายเพิ่มเติมได้ นอกจากนี้นาย Li Keqiang ได้บอกว่าทางการจีนเตรียมรับมือกับภาวะเศรษฐกิจที่มีความท้าทายโดยได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการคลังดังข้อมูลเพิ่มเติมด้านล่าง นโยบายการคลัง รัฐบาลได้ปรับเพิ่มเป้าขาดดุลการคลัง (Fiscal Deficits) ขึ้นเป็น -2.8% ของ GDP จาก -2.6% ในปีก่อน สะท้อนรัฐบาลกลับมากระตุ้นเศรษฐกิจในปี 2019 ลดภาษีมูลค่าเพิ่ม (ประเมินมูลค่ารวม 8 แสนล้านหยวน หรือ 0.9% ของ GDP) ภาคการผลิต - ลดภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ลง 3% จาก 16% เหลือ 13% ภาคบริการ - ลดภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ลง 1% จาก 10% เหลือ 9% ลดค่าสมทบประกันสังคม สำหรับบริษัทเอกชนในอุตสาหกรรมชั้นนำจาก 20% เป็น 16% เพิ่มโควต้าออกพันธบัตรรัฐบาลท้องถิ่น จาก 1.35 ล้านล้านหยวนในปี 2018 เป็น 2.15 ล้านล้านหยวนปี 2019 นอกจากเป้าหมายด้านเศรษฐกิจแล้ว จุดที่น่าสนใจใน Speech ครั้งนี้ของนาย Li Keqiang หลังจากมีประเด็นกีดกันการค้ากับสหรัฐฯ สรุปได้ดังนี้ นาย Li Keqiang ได้มีการระบุทางการจีนจะพัฒนาระบบอัตราแลกเปลี่ยนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นและจะรักษาระดับค่าเงินหยวนให้อยู่ในระดับที่สมดุล ซึ่งประเด็นนี้ไม่เคยมีการกล่าวถึงในปี 2017-2018 – เชื่อว่าเป็นผลมาจากการที่ ประธานาธิบดีทรัมป์ ได้เคยกล่าวทางการจีนเข้าแทรกแซงค่าเงินหยวนให้อ่อนค่าเพื่อประโยชน์ทางการค้า ไม่ได้มีการกล่าวถึงโครงการ Made in China 2025 เหมือนการประชุมครั้งก่อน - เชื่อว่าโครงการ Made in China 2028 เป็นหนึ่งในเหตุผลที่หลายฝ่ายวิเคราะห์ว่าเป็นสาเหตุให้สหรัฐฯ เริ่มทำสงครามการค้ากับจีน ไม่ได้มีการพูดถึงการสนับสนุนภาคส่งออกสินค้าและบริการของจีนเหมือนการประชุมในปีก่อนๆ มีการกล่าวถึงโครงการ The Belt and Road หรือ เส้นทางสายไหม แต่เลี่ยงที่จะกล่าวถึงโครงการนี้ที่จะหนุนการส่งออกสินค้าและบริการของจีนในอนาคต หากพิจารณาจากข้อสรุป Speech ด้านบน เราพอจะประเมินได้ว่าทางรัฐบาลจีนมีแนวโน้มที่จะโอนอ่อนลงบ้างในเชิงนโยบายต่างๆ ที่จะมีโอกาสขัดแย้งกับทางสหรัฐฯ ซึ่งในทางยุทธศาสตร์อาจจะเป็นการดีต่อเศรษฐกิจโดยรวม ที่ต้องการเติบโตอย่างมีเสถียรภาพท่ามกลางการปฏิรูปเศรษฐกิจของประเทศ นอกจากนี้การถอยในระยะสั้นเพื่อรอการเปลี่ยนแปลงการเมืองในสหรัฐฯ ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นได้ในอนาคต เพราะต้องไม่ลืมว่าอีกไม่ถึง 2 ปี จะครบกำหนดการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในช่วงปลายปี 2020 อาจมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเกิดขึ้นได้ ในขณะที่การปกครองของจีนภายใต้ประธานาธิบดี Xi Jingping ไม่ได้มีข้อกำหนดการครบวาระ ดังนั้นการโอนอ่อนลงบ้างในครั้งนี้ เพื่อที่จะกลับมาใช้ยุทธศาสตร์ระยะยาวของจีนยังคงรอได้เสมอ ภาพเปิดโดย: www.npc.gov.cn